นางถามมู่เสี่ยวซิง “เขาเข้ามาได้อย่างไร?”
มู่เสี่ยวซิงหยุดงานบ้านในมือ เล่าเรื่องที่ซ่างกวนสุ่นเข้ามาทั้งก่อนและหลังให้ฟังจนหมด แต่นางไม่รู้ว่าเขาเข้ามาได้อย่างไร
มู่จิ่วรู้สึกงุนงง เมื่อคำนวณเวลาดู เขาถูกจองจำสามเดือนน่าจะครบกำหนดแล้ว แต่ประตูทางเข้าแต่ละแห่งของค่ายทหารสวรรค์ต่างมีคนเฝ้าอยู่ ตามเหตุผลแล้วเขาต้องเข้ามาไม่ได้ แต่ทำไมเขาถึงซ่อนอยู่นอกประตูลานบ้านได้? ยังมีอีก ลูกตุ้มดาวตกคู่นั้นมาจากไหน? วันนั้นตอนที่นางไล่ตามเขาไม่เห็นเขานำออกมาเลย!
ใช่แล้ว ยังมีอสุนีบาตอีก มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมฟาดลงมาที่ลู่ยาพอดี?
นางรู้สึกอยู่รางๆ ว่าเรื่องนี้ยังซ่อนข้อสงสัยไว้อีกมาก แต่ไม่มีกำลังจะวิเคราะห์อย่างละเอียดได้
ดังนั้นจึงพูดว่า “หลายวันนี้เจ้าจับตาดูให้เข้มงวดหน่อย หากเจ้านกนั่นกลับมาอีก รีบหาวิธีบอกข้าโดยทันที!”
มู่เสี่ยวซิงก็โกรธซ่างกวนสุ่นที่หิ้วนางราวกับเป็นลูกเจี๊ยบ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เก็บมาใส่ใจ จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางรับปาก
หลินเจี้ยนหรูออกมาจากลานจื่อหลิง ความรู้สึกเปลี่ยนไปราวกับผิวน้ำทะเลที่มีฝนตกห่าใหญ่
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่จิ่วจะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว นางพูดกับเขาชัดเจนว่านางไม่มีพ่อแม่ไม่มีญาติ และวันนั้นต่อหน้าหลิวจวิ้น กระจกฟ้าดินก็สะท้อนภาพว่านางเป็นหญิงตัวคนเดียวแน่นอน แต่ว่าเมื่อครู่ข้างกายนางกลับมีคู่หมั้นโผล่หน้าออกมากะทันหัน?
เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
เขาเติบโตมาถึงขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคนคิดเรื่องอนาคตแทนเขา หรือกังวลครุ่นคิดเรื่องของเขามาก่อน และไม่เคยมีใครทำอะไรเพื่อเขาโดยไม่หวังผลตอบแทน มู่จิ่วเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเคยชินกับการอยู่กับนาง และวางใจที่จะเผยเรื่องน่าอายทั้งหมดของตนเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
แต่เมื่อเขาเพิ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ นางกลับมีคู่หมั้นโผล่มากะทันหัน…
และยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่สำเร็จเป็นเซียนแล้ว!
สวรรค์ช่างชอบเล่นตลกกับเขา
แต่เขายังคงไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
แต่ไหนแต่ไรมามู่จิ่วไม่เคยพูดถึงคนคนนี้ และไม่เคยพูดว่าตนหมั้นหมายแล้ว เมื่อครู่ตอนคนผู้นั้นพูดว่าเป็นคู่หมั้นของนาง นางแสดงออกชัดเจนว่าเหลือเชื่อ แสดงว่านี่เป็นการรวมหัวกันพูดโกหกของพวกเขา!
แต่หากเป็นเรื่องโกหกจริง ทำไมการตรวจสอบของวังเฒ่าจันทราถึงได้ยืนยันเรื่องนี้เล่า?
เฒ่าจันทราดูแลเฉพาะเรื่องบุพเพสันนิสวาส นี่แสดงว่าระหว่างพวกเขาต้องมีวาสนาต่อกันถึงมีร่องรอยให้สืบเสาะได้
เขามองดวงจันทร์สว่างที่นอกหน้าต่าง พูดไม่ออกว่าในใจตอนนี้รู้สึกอย่างไร เขาก้มหน้าลงหยิบปิ่นหยกสลักดอกโบตั๋นออกมาจากแขนเสื้อ ถือไว้ในมือแล้วลูบเบาๆ วันนี้เขาซื้อมันมาจากเมืองต้าหนิง ตัวอักษรจิ่วด้านบนเขาอาศัยตอนที่นางไปศาลเจ้าลั่วเสินขอให้ช่างแกะสลักให้ ตั้งใจว่าจะมอบให้นาง คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันให้ไป นางกลับเป็นดอกไม้มีเจ้าของเสียแล้ว
เขากำปิ่นหยกไว้เบาๆ ก่อนปักมันไว้ตรงขมับ
ไม่ว่าพวกเขาจะหมั้นกันจริงหรือหลอก สรุปคือเขาเกรงว่าภายหลังจะไม่สามารถทำตัวใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อนได้แล้ว
เขาคิดถึงยามที่นางเคยช่วยเขาเอาชนะพวกจีหย่งฟาง คิดถึงตอนที่พวกเขาแย่งอาฝูมาจากคนของวิมานหลี่เฮิ่น คิดถึงนางที่หาร่องรอยของดอกบัวกลีบม่วงให้เขาโดยไม่พูดไม่จา ทั้งยังคิดถึงนางที่ร่วมผจญอันตรายกับเขา หาเอาคัมภีร์ฝึกพลังเซียนมาให้…
หลินเจี้ยนหรูรู้ว่านางช่วยเขาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใด ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนออกมาจากสำนักแรกพยับแล้ว เขาเปลี่ยนไปเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง อยู่ต่อหน้านางไม่ต้องกังวลเรื่องถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม และไม่ต้องกังวลว่านางจะพูดอย่างระแวดระวังเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีเขา ต่อหน้านางแล้วเขาไม่ได้พิเศษอะไร
ดังนั้นนางไม่มีเขาก็ไม่เป็นไร แต่หากเขาสูญเสียนางไป ความสูญเสียของเขาจะยิ่งใหญ่นัก
ปิ่นหยกที่ปักอยู่ตรงขมับแทงผิวจนเป็นรูเล็กๆ มีเลือดหยดออกมา
หยดเลือดไหลลงมาตามปิ่นช้าๆ เขาเช็ดมันออก ก่อนโยนปิ่นลงบนโต๊ะ
เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว หอวิหคแดงค่อยๆ เงียบสงบลง
การไปของหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนครานี้ แม้แต่อากาศในลานบ้านยังสดชื่นขึ้นมาก
มู่เสี่ยวซิงไปซื้อกับข้าวไม่ทันเพราะถูกซ่างกวนสุ่นก่อกวน อาหารเย็นจึงไปเอาจากโรงอาหารกลับมากินแทน หลังจากมื้ออาหาร มู่จิ่วก็ล้างผลไม้จานใหญ่ เห็นเรือนของอิ่นเสวี่ยรั่วยังสว่างอยู่ คิดแล้วจึงแบ่งผลไม้ครึ่งหนึ่งให้เสี่ยวซิงเอาไปส่งให้นาง ส่วนที่เหลือก็แบ่งออกมาอีกครึ่ง จากนั้นถือไปยังเรือนลู่ยา
ลู่ยาหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้อง ไม่รู้ทำอะไร เห็นมู่จิ่วเดินเข้ามาจึงค่อยกลับไปนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วยื่นมือมาหยิบลำไยจากถาดของนาง
มู่จิ่วตีมือเขา “ข้ามานี่เพราะมีธุระ”
ลู่ยาเหลือบมองนาง หยิบลำไยที่หล่นไปขึ้นมาใหม่
มู่จิ่วนั่งลง “เรื่องวันนี้เสี่ยงจริงๆ ยังดีที่สุดท้ายสงบลงได้ ตอนนี้ถึงแม้เรื่องจะมีบทสรุปแล้ว แต่มีบางอย่างที่ข้าต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน ก่อนหน้านี้พวกเราพูดถึงเรื่องหมั้นอะไรนั่น ในความเป็นจริงไม่นับว่าเป็นอะไรได้ รอจนเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าใครถามขึ้นเจ้าก็ห้ามรับ”
การรับสถานการณ์คับขันก็ส่วนเรื่องนั้น แต่เรื่องส่วนตัวต้องเข้าใจให้ชัดเจน
มิเช่นนั้นต่อไปหลิวหยางถามขึ้นมานางจะทำอย่างไร?
นิ้วของลู่ยาชะงักไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “เจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ก็เพื่อคนแซ่หลินนั่นใช่หรือไม่?”
มู่จิ่วอึ้งไป “เกี่ยวอะไรกับเขา? แค่ข้ากับเจ้าแต่เดิมไม่มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น!”
ลู่ยาค่อยๆ ลอกเปลือกลำไย เอาเนื้อของมันเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ ราวกับเคี้ยวเนื้อมังกร
มู่จิ่วผลักเขา “เจ้าพูดสิ!”
ฟันหน้าสองแถวของลู่ยากัดเมล็ดไว้ เหลือบมองนางพลางพูด “วางใจเถิด เจ้าหยาบกระด้างขนาดนั้น ข้าไม่มีทางชอบเจ้าหรอก”
นี่พูดอันใดกัน! มู่จิ่วไม่พอใจ “เจ้าพูดจาเกรงใจกันหน่อยได้หรือไม่?”
ลู่ยาพ่นเมล็ดออกมาดังฟู่ ยื่นมือออกไปแย่งถาดผลไม้ในมือนางมากอดไว้แนบอก ร่างทั้งร่างขดเข้าไปในเก้าอี้ตัวใหญ่ “ข้าหล่อเหลาขนาดนี้ แม่นางทั่วทั้งสี่ทะเลแปดทิศที่หลงใหลข้ามีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ พวกนางแต่ละคนงดงามอ่อนโยน นิสัยใจคอก็ดี ข้ายังไม่ชอบเลย แน่นอนว่ายิ่งต้องไม่ชอบเจ้า ข้าหวังเพียงว่าอนาคตข้างหน้า เจ้าไม่ต้องมาพัวพันข้าแบบไม่ปล่อยก็พอแล้ว”
แม่เด็กสมควรตาย! เร็วขนาดนี้ก็มาแยกแยะความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนแล้ว แค่ช่วงนี้เป็นคู่หมั้นของเขาแล้วจะทำไม? ก็ไม่ได้เสียเปรียบนี่! เขาไม่ใส่ใจแล้ว นางกลับขุดขึ้นมาพูด ใช่ว่าเขาจะเอาเชือกมารัดนางแล้วจับกลับไปแต่งงานเสียหน่อย? ไม่ใช่เพื่อนางหรือเขาถึงได้โกหกออกไป? เจ้าเด็กข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน!
“เช่นนั้นก็ดี!” มู่จิ่วพูดอย่างพอใจ “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ตามพัวพันเจ้าแน่นอน ข้าชื่นชมคนที่อ่อนโยนละเอียดอ่อน มีฝีมือแก่กล้าแบบท่านอาจารย์ อาจารย์ข้าพูดไว้แล้ว รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นเซียนให้ค่อยๆ ภาวนาอีก ยิ่งพลังล้ำลึกขึ้น ผู้ชายที่เจอจะยิ่งโดดเด่น ดังนั้นตอนนี้เป้าหมายของข้าคือเลื่อนขั้นเป็นเซียน!”
นางกำหมัดพูด
ตอนนี้ได้พูดชัดเจนแล้ว อารมณ์ของนางก็ดีขึ้น ยื่นมือไปหยิบเอาลูกท้อจากถาดมา
ลู่ยาจับอุ้งมือของนางไว้ทันใด “อาจารย์ของเจ้า?”
“ใช่” มู่จิ่วมองเขา “อาจารย์ของข้าตอนนี้เป็นจินเซียนแล้ว พลังฤทธิ์แก่กล้ากว่าเจ้ามาก ได้รับความรักความเทิดทูนจากพวกเราศิษย์พี่น้องมากด้วย”
………………………………………………