ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 65

เขาเป็นคนนอกงั้นหรือ?

 

แววตาของลู่ยาเปลี่ยนไปอึมครึม

นอกจากนางจะพออกพอใจคนแซ่หลินแล้ว แม้แต่อาจารย์ของตนก็ยังถูกตาต้องใจด้วย ที่สุดแล้วนางชอบแบบไหนกันแน่? ถึงแม้คนแซ่หลินจะเรียบๆ ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ยังหนุ่มแน่นทั้งยังรูปงาม แต่นึกไม่ถึงว่าในสายตาของนาง ชายชราที่เป็นจินเซียนแล้วก็ยังมีแรงดึงดูด ไหนจะยังสุภาพอ่อนโยน? ทั้งเป็นจินเซียนฝีมือแก่กล้า? ให้ตาย! นางไม่อายเลยด้วยซ้ำ!

“อาจารย์เจ้าชื่ออะไร?” ภายหลังเขาจะไปพบเขาเสียหน่อย

“หลิวหยางเจินเหริน” มู่จิ่วตอบ “แต่เขาเป็นคนปลีกตัวจากโลกภายนอก จิตใจสงบไม่เห็นแก่ลาภยศเงินทอง ลงจากภูเขาน้อยมาก เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”

ลู่ยาคิดครู่หนึ่ง ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจริงๆ

แต่เพียงแค่จินเซียนเล็กๆ คนหนึ่ง พอออกจากปากนางกลับกลายเป็นองอาจได้ขนาดนี้ ช่างทำให้คนรับไม่ได้เสียจริง

“หากเจ้ากลับภูเขาคราวหน้า พาข้าไปด้วย” เขาพูด

“ทำไม?” มู่จิ่วเคี้ยวลูกท้อ “ภูเขาของพวกเราไม่อนุญาตให้พาคนนอกเข้าไป”

ลู่ยาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชิงชิวอันตรายแค่ไหน? นั่นมันสระมังกรถ้ำเสือ[1]เชียวนะ! ข้าไม่รักชีวิตรับปากเสี่ยงพาเจ้าไปชิงชิวแล้ว เจ้ายังเห็นข้าเป็นคนนอกอีก?”

มู่จิ่วไร้คำพูดตอบกลับ

เขาพูดแบบนี้ นางก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธแล้ว

อย่างไรก็แล้วแต่ นางยังไม่รู้ว่าจะกลับไปเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าตอนนางกลับไปเขาอาจจะควบคุมพลังร้ายในร่างกายได้แล้ว และคงจากไปเสียก่อน คิดดูก็อย่าไปวุ่นวายกับเขาในเรื่องนี้เลย จึงตอบไปส่งๆ “ได้” แต่ในเมื่อพูดเรื่องชิงชิวขึ้นมาแล้ว นางก็จำต้องทำคอโล่งนั่งหลังตรง “เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องชิงชิว?”

“ไม่มีความคิดเห็น” ลู่ยาส่ายศีรษะโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ยังไม่ไปก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร”

สิ่งที่เขาต้องใคร่ครวญตอนนี้คือทำอย่างไรถึงจะหลบจากสายตาของจิ้งจอกเฒ่าแห่งชิงชิวนั่นไปได้ ราชาจิ้งจอกคือหลานของจิ้งจอกเก้าหางข้างกายหนี่ว์วา ตอนยังเล็กเคยวิ่งเล่นอยู่ที่สวรรค์ชั้นสามสิบเก้าบ่อยครั้ง เจ้านั่นรู้จักเขา ดังนั้นถึงแม้เขาจะผนึกพลังที่เหลือทั้งหมดไป จมูกของจิ้งจอกสักแปดส่วนก็ต้องดมสิ่งผิดปกติออกบ้าง

เขาต้องคิดหาวิธีดีๆ ในการหลบหลีก

เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาเกี่ยวเนื่องว่าเขาจะเสียหน้าไม่เสียหน้า แต่ยังเกี่ยวกับปัญหาเรื่องหลักการของเทพทั้งสี่อย่างพวกเขา

ปีนั้นตอนที่ฟ้าดินแต่งตั้งเทพได้แบ่งโลกออกเป็น เทพ มาร เซียน ปีศาจ มนุษย์ และวิญญาณทั้งหมดหกภพ อวี้ตี้ดูแลภพเทพ เซียน มนุษย์รวมสามภพ ที่เหลืออีกสามภพไม่ได้ควบคุม ให้มีกษัตริย์เป็นของตนเอง เพียงแค่ไม่ก่อเรื่อง สวรรค์ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว

หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่จัดการเรื่องราวเรียบร้อยหมดแล้วก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม นับจากนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องราวใดๆ บนภพทั้งหกอีก ตอนนี้ชิงชิวโกรธแค้นลัทธิฉ่าน ด้านหนึ่งคือจิ้งจอกเก้าหางลูกน้องของหนี่ว์วา อีกด้านคือไท่ซ่างเหล่าจวินหลานศิษย์ของเขา หากเขาปรากฏกายเข้าร่วม แน่นอนว่าแต่ละภพจะต้องนั่งไม่ติดที่ และเรื่องต้องบานปลายแน่

แต่เขากลับไม่มีทางวางตนออกห่างจากเรื่องนี้ได้

เหตุผลแรกคือชิงชิวกับลัทธิฉ่านมีเรื่องกันไม่เป็นผลดีต่อสามภพ ในฐานะที่เป็นศิษย์น้องของหงจวินและหนี่ว์วา เขามีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพื่อคลี่คลายบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขา เหตุผลที่สองคือนี่เป็นภาระหน้าที่ของเด็กสาวคนนี้ เขาไม่สนใจไม่ได้ อย่างไรก็กินอยู่เปล่าๆ กับนางมานาน ไม่ช่วยก็ผิดหลักเหตุผลใช่หรือไม่?

มู่จิ่วรออยู่นาน ไม่ได้ยินเขาพูดใจก็วุ่นวาย

หลิวจวิ้นให้เวลานางแค่สามเดือนในการทำคดี เวลาเริ่มนับถอยหลังจากวันนี้ นางตั้งใจลากเขาเข้ามาช่วย เขากลับบอกว่าไม่รู้? ไม่มีความคิดเห็น?

“ปกติไม่ใช่ว่าเจ้าฉลาดมากหรือ? อย่างไรเจ้าลองให้คำแนะนำข้าหน่อย ลองพูดว่าคดีนี้ข้าควรเริ่มลงมือจากตรงไหนก็ได้?”

ลู่ยาหยุดเคี้ยวแล้วมองดูนาง “ข้าไม่ว่าง”

ไม่ว่าง? มู่จิ่วรู้สึกประหลาดใจนัก ทั้งสวรรค์นี้นับได้ว่าเขาว่างที่สุด เขากลับบอกว่าไม่ว่าง?

นางดึงเก้าอี้มานั่งอยู่ตรงหน้าเขา “เจ้ายุ่งอะไรอยู่?”

“นอน” เขายิงฟันพ่นเอาเปลือกองุ่นออกมา พูดอย่างช้าๆ

มู่จิ่วถูกยอกย้อนจนสำลัก จึงแย่งถาดผลไม้ที่เขายังกินไม่หมดกลับมา ก่อนผลักประตูเดินออกไป

เช้าวันถัดมา หลังกินข้าวเช้ามู่จิ่วก็ไปที่หน่วย

ในเมื่อทำคดี แน่นอนว่าต้องมีบางเรื่องต้องเตรียมตัวก่อน เช่นไปเอาใบอนุญาตเข้าออกประตูสวรรค์แดนใต้ ใบอนุญาตไปโลกมนุษย์ และยังมีใบพาคนเดินทางไปด้วยกันอะไรพวกนั้น ทั้งหมดนี้ต้องมาทำที่หน่วยทั้งสิ้น

มู่จิ่วไปที่หน่วยลาดตระเวนก่อน หลิวจวิ้นกำลังยุ่ง ดังนั้นจึงไปทำขั้นตอนอื่นให้เสร็จก่อนค่อยกลับมาที่นี่อีก ตอนเข้าประตูไปเจอกับเทพเซียนถือพู่หางม้าสามคน รอจนพวกเขาเดินไปไกลแล้ว นางจึงเข้าไปในห้องทำงานของหลิวจวิ้น ก่อนถามขึ้น “สามท่านเมื่อครู่เป็นเซียนตำหนักไหน? ดูแล้วตำแหน่งไม่ต่ำกันเลย”

หลิวจวิ้นเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมองนาง “พวกเขาคือสามนักพรตข้างกายหลิงอวิ๋นเซียนจุนแห่งวังนิรกรรมในวิมารหลีเฮิ่น ทางวิมารหลีเฮิ่นรู้เรื่องที่จิ้งจอกแห่งชิงชิวไล่ล่าสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านแล้ว เมื่อครู่ส่งท่านเหล่านั้นมาเพื่อถามรายละเอียดและมากดดันพวกเรา” พูดถึงตรงนี้เขาก็วางพู่กันลง ดื่มชา จากนั้นก็วางแก้วลงไปหนักๆ

หลิงอวิ๋นเซียนจุนเป็นศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน ในโลกเซียนตำแหน่งค่อนข้างสูง ตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของวิมารหลีเฮิ่น รู้จักกันทั่วไปในฐานะจ่งก่วน (เลขาธิการ) ที่แท้สามท่านนี้เป็นนักพรตข้างกายหลิงอวิ๋นเซียนจุน ถึงว่าตอนอยู่ห่างกับคนเหล่านี้ในระยะไกลยังรู้สึกได้ว่าความองอาจพัดผ่านหน้ามา

มู่จิ่วมองดูสีหน้าของหลิวจวิ้น “ในเมื่อพวกเขามาด้วยตนเอง คงไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรดีๆ ไว้แน่กระมัง?”

นางกลับไม่แปลกใจที่ทางวิมารหลีเฮิ่นรู้เรื่องนี้ จิ้งจอกสังหารคนที่เป่ยอี๋ก่อนหน้านี้นานแล้ว โดยปกติข่าวคราวต้องไปถึงสวรรค์อยู่แล้ว เรื่องที่นางกับลู่ยาทำลายเขาของสำนักตะวันอำพราง อวี้ตี้ยังส่งอสุนีบาตสามสายมาลงโทษ เรื่องนี้พวกเขาจะไม่โกรธหรือ? เพียงแต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามคือชิงชิวที่ไม่น่าหาเรื่องด้วย ดังนั้นจึงมาที่หน่วยลาดตระเวนเพื่อกดดันแทน

หลิวจวิ้นก็โชคร้าย แต่ใครใช้ให้หน่วยลาดตระเวนดูแลคดีทั้งหลายบนโลกเซียนเล่า?

หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง วางเอกสารคดีที่เรียบร้อยแล้วในมือลงด้านหนึ่ง ปลายพู่กันจุ่มน้ำหมึกพลางพูด “เจ้าไม่ไปทำคดีของเจ้า มาทำอะไรที่นี่? อย่าลืมว่าเจ้าลงหนังสือสัญญาไปแล้ว อย่าคิดว่าทำๆ ไปก็จะปิดคดีได้ หลังจากสามเดือนผ่านไปเจ้าทำไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าเพิ่มแม้แต่ครึ่งเค่อ”

เมื่อคุ้นเคยกันแล้ว เขาก็เป็นคนที่คุยรู้เรื่อง ขนาดนี้แล้วยังไม่ล้มโต๊ะอีก

“ทราบแล้ว ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรือ” มู่จิ่ววางเอกสารที่ทำเสร็จแล้วไว้บนโต๊ะ พูดต่อว่า “พรุ่งนี้จะออกเดินทางไปชิงชิว”

หลิวจวิ้นดึงเอกสารนี้มาเปิดดู เหลือบมองนางก่อนพูด “เจ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมเมื่อวานถึงลากหลินเจี้ยนหรูมาด้วย?”

มู่จิ่วนิ่งตอบ “ใครพูดว่าข้ามีคู่หมั้นแล้วห้ามไปทำคดีกับเพื่อนร่วมงาน? หน่วยของพวกเราไม่มีกฎนี้มิใช่หรือ?”

สองเรื่องนี้เดิมทีก็เป็นคนละเรื่องกันนี่?!

หลิวจวิ้นไม่ได้พูดอะไร

กฎที่ว่านั้นไม่มี

เขาแค่เกรงว่าหลังบ้านนางจะคุกรุ่นหรอก

เจ้าเด็กแซ่ลู่นั่นสายตาดูแล้วสงบราบเรียบ คงไม่ใช่พวกไม่เอาถ่านหรอกกระมัง?

แต่เขาคร้านจะสนใจเรื่องเวรนี่ของนาง ยังไงไม่กระทบกับงานก็เป็นพอ

……………………………………………

[1] สระมังกรถ้ำเสือ หมายถึง สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset