ลู่ยาบ่นนางไปหนึ่งรอบ เห็นนางไม่เอ่ยอันใด ก็ส่งเสียงเฮอะออกมาสองครั้ง เตรียมกลับเข้าเขตพลังไป
ไหนเลยจะรู้ว่าประตูหินด้านนอกจะมีเสียง ‘ครืด’ ดังเข้ามา จากนั้นประตูหินที่ปิดแน่นพลันเคลื่อนไหว ขยับไปด้านข้าง เผยให้เห็นแสงสว่างกว้างหนึ่งฝ่ามือสาดส่องเข้ามาเส้นหนึ่ง!
“พวกเจ้าทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? หรือถูกเจ้านกแร้งกลืนลงไปในท้องเป็นคู่นกยวนยางไปแล้ว?”
ปากนกที่มีขนาดใหญ่เท่าจอกเหล้าโวยวายอยู่หน้าปากถ้ำ เสียงเจือไปด้วยความลำพองที่มากล้นจนรู้สึกได้
ลู่ยาอึ้งอยู่ตรงนั้น
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมอง อดตกใจไม่ได้ “ซ่างกวนสุ่น!”
ลู่ยาหรี่ตามองไปที่ปากถ้ำ เห็นเพียงนกตัวนี้ที่ไม่เพียงแต่ปากใหญ่ ร่างกายก็ไม่เล็ก ที่สำคัญหัวนั่นเชิดสูงกว่าคาง ดวงตาสีน้ำตาลกลมกว่าจอกในมือของเขาเสียอีก นี่ไม่ใช่ซ่างกวนสุ่นแล้วจะเป็นใครได้?
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
ทางเขายังไม่ทันเปล่งเสียง มู่จิ่วก็ตื่นเต้นจนกระโดดไปมา
ซ่างกวนสุ่นกดปากลง เบิกตานกกลมโต ภายในเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เกรงใจหน่อย เรียกข้าว่าองค์ชายเจ้าจะตายหรือ!”
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่คงไม่ใช่ว่าตกลงกับจิ้งจอกชั่วแล้วมาทำร้ายพวกเราหรอกนะ?”
“เหลวไหล!”
ซ่างกวนสุ่นพูดกับนาง “ตั้งแต่ที่ข้าจากลานบ้านของพวกเจ้ามาเมื่อวันก่อนก็ไม่ได้ออกไปจากสวรรค์ หลายวันมานี้อยู่ข้างนอกทั้งหิวทั้งหนาว เห็นพวกเจ้าเดินทางมาชิงชิวจึงแอบตามมาด้วย ข้าเห็นแก่ที่เจ้าบอกว่าจะช่วยสืบคดีที่เขาเนินอารามจึงได้ตามมา เจ้ายังสงสัยว่าข้าร่วมมือกับพวกเขาอีก? จิตใจดีงามของเจ้าถูกหมาเอาไปกินแล้วรึ!”
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดังไม่หยุด ไม่สนใจการพูดส่งเดชของเขาเลยสักนิด
…ดียิ่งนัก! ซ่างกวนสุ่นมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องรอความตายอยู่ที่นี่!
จิ้งจอกจอมยั่วยวนนั่นอย่าได้คิดจะใช้อุบายกับลู่ยาล่ะ!
“นี่เป็นการทำโทษเรื่องอะไร?” ซ่างกวนสุ่นผลักประตูหินอีกหน่อย เคลื่อนกายเข้ามา จ้องมองนางขึ้นๆ ลงๆ “ดูแล้วเหมือนไก่ย่างในร้านพะโล้ ล้างน้ำเกลือเสียหน่อยก็สับขึ้นโต๊ะได้ทันที”
“เจ้าสิไก่ย่าง!” มู่จิ่วจ้องเขา “เจ้าเป็นผีหิวโหยหรือไง? รู้จักแต่เรื่องกิน!”
เพิ่งพูดจบนางก็ร่วงหล่นลงบนเมฆ ลู่ยาไม่แม้แต่จะเอ่ยเตือนก็เก็บพลังไปเสียแล้ว
นางลูบต้นขาที่ปวดเมื่อยพลางยืนขึ้นมา มองพวกเขาทั้งสองอย่างเคืองๆ คราหนึ่ง ก่อนเดินตึงๆ ออกจากประตูไป
ลู่ยายื่นมือออกไปจับคอเสื้อของนางแล้วดึงกลับมา “เจ้าคิดจะออกไปก็โดนพวกจิ้งจอกจับเลยหรือไง?” พูดจบก็ไม่รอนางตอบ โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างไม่สบอารมณ์ ยื่นมือไปปิดประตูหินที่เปิดอยู่ จากนั้นขี่เมฆขึ้นไปบนผนังหินด้านบน!
ซ่างกวนสุ่นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบพุ่งตัวตามพวกเขาไป ตำแหน่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวจะชนผนังด้านบนแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพดานของถ้ำหินนี้จะกลายเป็นอากาศ ไม่มีสิ่งกีดขวาง แค่ผ่านออกไปตรงๆ…
“นี่ออกมาแล้วหรือ?”
มู่จิ่วยืนอยู่บนเมฆ มองดูพระจันทร์เหนือศีรษะ ยังมีผนังหินที่ไร้รอยขีดข่วนใต้เท้า ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ!
แต่ก่อนเคยเห็นแต่หลิวหยางหายตัวทะลุผ่านสิ่งของ นึกไม่ถึงว่าลู่ยาก็ทำได้ เขามีความสามารถแบบนี้นางจะกังวลอะไรอีก!
ซ่างกวนสุ่นพูด “หากรู้แต่แรกว่าพวกเจ้าออกมาได้ ข้าจะเหนื่อยเปลืองแรงไปทำไม? ทำเอาข้าต้องเปลืองความคิดหลอกคนเฝ้าประตูออกไปเสียนี่!”
ลู่ยามองเขา “ข้าไม่ได้ให้เจ้ามา”
ซ่างกวนสุ่นเกือบถูกเขาทำให้สำลักตาย เขาโกรธจนโบกสะบัดปีกเข้าไปครึ่งทาง ตอกกลับไปว่า “ข้าเห็นแก่ที่เจ้าทำคดี จะไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วย!”
ลู่ยาแค่นเสียงในจมูก กล้าเสียงดังใส่เขา เขายังไม่ทันคิดบัญชีกับด้วยเลย!
มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้วก็รีบสร้างความกลมเกลียว “อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย เรื่องการเรื่องงานเร่งรีบกว่า!” พูดจบก็กระโดดลงไปยังหลังคา
ด้านนอกห้องขังหินมืดมิด จากทางที่มาเมื่อครู่ดูแล้วน่าจะเป็นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวังจิ้งจอก ตอนนี้ดาวกระบวยขึ้นมาบนฟ้าแล้ว รอบด้านมีเพียงคบไฟหินสองจุดที่อยู่ห่างออกไป แต่กลับไม่มีใครเฝ้าไว้ มีเพียงพลลาดตระเวนถือหอกเดินอยู่ไกลหลายจั้ง
“คนทั้งหมดถูกเจ้าหลอกล่อให้ไปแล้วหรือ?” นางถามซ่างกวนสุ่น
ซ่างกวนสุ่นอารมณ์ไม่ดี “มีแค่สองคนยังใช้คำว่า ‘ทั้งหมด’ อีก! คนไม่มีการศึกษาช่างน่ากลัวนัก!”
มู่จิ่วสำลักจนพูดไม่ออก และก็คร้านจะสนใจเขา เพียงพูดว่า “ทำไมถึงมีเพียงแค่สองคน?”
จิ้งจอกเงินนั่นดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่ไม่ระมัดระวังขนาดนี้ ลู่ยารอดพ้นเงื้อมมือของเขามาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนแล้ว เขาไม่คิดบ้างหรือว่าอีกฝ่ายอาจจะหนีออกมาได้?
“พูดแล้วว่ามีเพียงสองคนก็มีเพียงสองคน ข้าหลอกเจ้าก็ไม่มีเนื้อกินหรอก!” ซ่างกวนสุ่นเชิดจมูกขึ้นฟ้า
ลู่ยารวมสมาธิมองไปรอบด้าน “ไม่มีคนอยู่แน่นอน”
นี่แปลกประหลาดนัก
“ถึงแม้ไม่มีคน ที่นี่ก็ไม่สมควรจะอยู่นาน พวกเราต้องรีบหาศพจิ้งจอกน้อยให้พบก่อนที่จิ้งจอกเงินจะรู้เรื่อง” ลู่ยาจริงจังขึ้นมา “ตามที่ข้ารู้ ชิงชิวมีแท่นหอมหมื่นลี้ที่เย็นอย่างมาก หากข้าเดาไม่ผิด ศพควรจะตั้งอยู่ที่นั่น พวกเราไปดูทางเหนือก่อน”
ลู่ยาเพ่งมองไปรอบด้าน จากนั้นชี้ไปยังทางเหนือที่มืดสนิทพลางพูด
ตอนนี้ต้องแอบเคลื่อนไหว ไม่สามารถวางก้ามใหญ่เดินอวดเบ่งไปทั่วเหมือนก่อนหน้านี้ ลู่ยาสามารถหายตัวได้ และมู่จิ่วก็มีชุดซ่อนเซียน ซ่อนจากหูตาคนไม่ใช่ปัญหา เห็นซ่างกวนสุ่นที่พร้อมจะเปลี่ยนตนเองเป็นหินทุกเมื่อ มู่จิ่วก็พูด “เจ้าตัวดำสูงใหญ่ ที่แท้เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“เจ้ามองข้าเป็นเจ้าตัวดำสูงใหญ่ได้ยังไง? ข้ารูปร่างหน้าตาหล่อเหลา หล่อจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร!” ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่นาง “เขาเนินอารามกับชิงชิวมีสัมพันธ์อันดี และข้าก็บำเพ็ญมาหมื่นปี ซ่อนร่างเปลี่ยนร่างนับเป็นอะไรได้? เฮอะ” คนไม่รู้ความ!
พูดจบก็กระพือปีก เปลี่ยนร่างเป็นผีเสื้อ บินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจพวกเขา
ลู่ยายื่นมือไปจับปีกผีเสื้อ ดึงให้เขากลับมา “ทางนี้!”
ซ่างกวนสุ่นเกือบถูกดึงจนเจ็บกล้ามเนื้อ กล้าโกรธไม่กล้าพูด ทำได้เพียงจ้องเขาไปพลาง ตามหลังไปพลางเท่านั้น
เดินไปทางทิศเหนือได้ไม่ไกลก็ถึงริมสวนดอกไม้ ความมืดมิดที่เห็นเมื่อครู่นี้ที่แท้เป็นภูเขาเตี้ย และไม่ใช่ภูเขาลูกเดียวกับที่พวกเขาเห็นตอนมา นอกจากนั้นก็เป็นหินสูงๆ ต่ำๆ มากมาย ยอดเขาหินเป็นกองหินที่มีระเบียบอย่างมาก แต่ละก้อนเรียงขึ้นไปกลายเป็นวิหารหินหลายชั้นที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เทียบกับวังจิ้งจอกหรูหราฟุ่มเฟือยที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่แล้วดูอลังการน่าเกรงขามจนเปรียบเทียบกันไม่ได้
รอบวิหารหินนี้ไม่มีหญ้าขึ้นเลย ทั้งยังรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่เสียดกระดูก นอกจากบนผนังจะสลักตัวอักษรกับภาพที่ดูไม่เข้าใจแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีก
“นี่คือแท่นหอมหมื่นลี้?” มู่จิ่วเดินมองสำรวจหินสลัก ไม่ได้สวยงามวิจิตร กลับดูใหญ่หนาและเก่าแก่ด้วยซ้ำ
ก่อนที่นางจะมาถึงชิงชิว เรื่องเล่าที่ได้ยินมาทั้งหมดเกี่ยวกับของพวกเขาต่างใช้ศัพท์พรรณนาที่สวยหรูมากทั้งนั้น อุดมสมบูรณ์มั่งมี ทั้งสี่ฤดูมีชีวิตชีวา ต่างพูดกันว่าเป็นที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามของเก้าทวีป
หลังจากนางมาพบเห็นภาพนั้นด้วยตนเอง ก็รู้สึกว่าเหมือนตามที่พูด แค่ดูภายในวังสระน้ำฮั่น เพียงมองเห็นก็รู้สึกเหมือนกับราชาจิ้งจอกซื้อหุ้นส่งเดชแล้วได้เงินมาก้อนหนึ่ง นางไม่ประหลาดใจ อย่างไรคนเขาก็มีเงิน มีเงินแล้วไม่อวดหรือจะเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หรือ?
ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าข้างในชิงชิวจะมีที่เก่ากันดารเช่นนี้
และที่อันตรายแห่งนี้ยังอยู่ห่างจากวังของพวกเขาไปไม่ถึงร้อยลี้ด้วย