ลู่ยาดูผนังหินอย่างละเอียด พูดขึ้นว่า “นี่คือวิหารหินที่ปฐมบรรพบุรุษจิ้งจอกเก้าหางในสมัยบรรพกาลเคยอยู่มาก่อน มาวันนี้ได้กลายเป็นแท่นบูชาของพวกเขา แท่นหอมหมื่นลี้จะอยู่ตรงกลางกลุ่มวิหารหินนี้ แต่ไม่ได้บอกตำแหน่งชัดเจน”
มู่จิ่วแปลกใจ “ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องเหล่านี้?”
“เพราะข้าฉลาด” ลู่ยาเหลือบมองนางพลางเดินไปข้างหน้า
มู่จิ่วถูกย้อนจนสำลัก ก่อนเดินตามไป “เจ้าคงไม่ได้ยังโกรธข้าอยู่หรอกนะ?”
“ไม่”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่รอข้า?”
“เจ้าไม่ใช่คนของข้า และยิ่งไม่ใช่ว่าไร้ขา ทำไมข้าต้องรอเจ้า?”
ลู่ยาเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย
มู่จิ่วหยุดลง
พูดไปก็ถูก พวกเขาเป็นแค่คนร่วมทำคดี เขาไม่มีหน้าที่ต้องรอนาง แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง? ปกติเขาดูไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรแบบนี้
ลู่ยาเดินไปหลายก้าว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า จึงหันกลับมาเห็นนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สุดท้ายก็พูดว่า “ยังไม่มาอีก?”
“มาแล้ว!” มู่จิ่วรีบเด้งตัวขึ้นมา กระโดดโลดเต้นตามไป
ซ่างกวนสุ่นอยู่ด้านหลัง มองดูคนทั้งสองอย่างเงียบๆ มาตลอด ดีร้ายอย่างไรเขาก็มาเพื่อช่วย พวกนั้นอย่าทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุได้หรือไม่?
มู่จิ่วย่อมไม่รู้ว่าซ่างกวนสุ่นที่อยู่ด้านหลังเกือบจะถลึงตาใส่หลังพวกนางจนทะลุแล้ว นางตั้งใจมองตามทางเล็กๆ ตรงกลางวิหารที่ทอดยาวไปด้านใน ผนังทั้งสองข้างยังคงสลักภาพและตัวอักษรมากมาย แต่กลับไม่ได้บอกตำแหน่งที่ชัดเจนของแท่นหอมหมื่นลี้ เดินต่อไปแบบนี้ คำนวณคร่าวๆ แล้ววิหารใหญ่เล็กมีนับร้อยหลัง แต่ละหลังมีประตูหินปิดไว้ จะดูออกได้อย่างไร?
“ตามหาแบบนี้ไม่ใช่หนทางที่ดี” ลู่ยาหยุดลงที่ด้านหน้าเสาหินกลมขนาดใหญ่สิบกว่าเสา จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนยอดวิหาร มองดูรอบกลุ่มวิหารหินจากข้างบน ก่อนหันกลับมาพูดกับมู่จิ่วที่ตามขึ้นมา “ลูกโลหิตมังกรของเจ้าล่ะ?”
มู่จิ่วอึ้งไปเล็กน้อย รีบเอาลูกโลหิตมังกรจากกระเป๋าเล็กออกมา
จากที่เขาเคยพูดไว้ว่าลูกกลมๆ นี้ไม่ธรรมดา ภายหลังนางจึงเก็บมันติดตัวไว้ตลอด
ลู่ยาวางลูกโลหิตมังกรไว้กลางฝ่ามือ เรียกพลังฤทธิ์ขึ้นมา เห็นเพียงลูกสีแดงเพลิงขนาดเท่าเม็ดบัวค่อยๆ เปล่งแสงสีแดง เป็นสีเบาบางอ่อนๆ ก่อนในตอนแรก จากนั้นสีแดงก็เข้มขึ้น ไม่นานแสงก็สาดส่องไปถึงครึ่งลี้! ขนาดของมันค่อยๆ ใหญ่ขึ้นจนเท่าแตงโม ลูกสีแดงจัดลอยอยู่กลางอากาศ แสงสีแดงนั่นยังปล่อยเสียงแหบแห้งออกมาด้วย
พลังอันแกร่งกล้าทำให้มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ซ่างกวนสุ่นที่วุ่นวายตอนนี้ก็เงียบลง
แสงสีแดงสาดส่องอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เอง ยอดวิหารฝั่งตรงข้ามห่างไปสามถึงห้าลี้ซึ่งมีหัวสัตว์ประหลาด พลันสาดแสงสีน้ำเงินราวกับสายฟ้ามุ่งเข้าโจมตีแสงสีแดง ทันใดนั้นแสงทั้งสองสายก็พัวพันเข้าด้วยกัน เสียงพลังฤทธิ์โรมรันกันกลางอากาศดังมาไม่ขาดสาย แม้แต่เสียงลมก็หยุดลง
ตอนที่มู่จิ่วเข้าใจว่าแสงทั้งสองกำลังตัดสินแพ้ชนะกันอยู่นั้น ลู่ยากลับเก็บพลังฤทธิ์กลับมา ลูกโลหิตมังกรก็กลับมามีขนาดเท่าเม็ดบัว แสงสีแดงพลันจางหาย และแสงสีน้ำเงินนั่นก็เหมือนกัน ตอนที่แสงสีแดงทางนี้หยุดลง มันก็หยุดในทันที เนินเขาที่เมื่อครู่ยังสาดแสงอยู่ตอนนี้สงบลงแล้ว
“หากต้องการรักษาร่างของจิ้งจอกน้อยไว้ ต้องวางไว้จุดที่หนาวเย็นที่สุด มืดมิดที่สุด ที่ตรงนั้นจะต้องมีน้ำ เมื่อครู่เป็นพลังน้ำ ลูกโลหิตมังกรแก่นเป็นไฟ น้ำกับไฟเป็นธาตุคู่พิฆาต เมื่อใช้พลังไฟ พลังน้ำจึงออกมา ดังนั้นจุดที่พลังน้ำแสดงตัวจะต้องเป็นที่วางร่างของจิ้งจอกน้อยแน่”
ลู่ยาพูดพลางคืนลูกโลหิตมังกรแก่มู่จิ่ว
มู่จิ่วเข้าใจว่าลูกโลหิตมังกรนี้มีประโยชน์แค่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คิดไม่ถึงว่าจะยังกระตุ้นพลังน้ำได้ด้วย นางจึงยิ่งมองมันเป็นของมีค่า
ซ่างกวนสุ่นกลับตื่นตระหนกมองไปรอบด้าน “เจ้าก่อการเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ที่นี่ ไม่กลัวถูกคนพบเข้าหรือ?”
เหล่าจิ้งจอกเก้าหางมีชื่อเรื่องคล่องแคล่วว่องไว
ลู่ยากวาดตามองเขาคราหนึ่ง จากนั้นมุ่งหน้าไปยังจุดที่พลังน้ำแสดงตัวออกมา “หากโดนจับได้ ข้าก็แค่บอกว่าเจ้าทำก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจเจ้าเด็กเหลือขอนี่ วันนั้นหากไม่ใช่เพราะซ่างกวนสุ่นไปก่อเรื่องที่หอวิหคแดง เรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้หรือ? ทำเอาทุกวันนี้เขาไม่เพียงแต่เสี่ยงจะเปิดเผยร่องรอยบนสวรรค์ แต่ยังต้องวิ่งมาโดนจิ้งจอกพวกนั้นบีบบังคับที่ชิงชิว ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่บัญชีแค้นนี้ยังไงก็ต้องติดไว้
มู่จิ่วไม่อยากให้เกิดปัญหาใหม่ จึงหันกลับไปทักซ่างกวนสุ่น “ยังไม่รีบมาอีก?”
ลู่ยาราวกับมีตางอกอยู่ข้างหลัง ลากนางขึ้นมา “ไปเดินข้างหน้า”
ซ่างกวนสุ่นถูกพวกเขาหยาบคายใส่ ก็โกรธจนอยากจะไปยังเบื้องหน้าราชาจิ้งจอกแล้วแจ้งเรื่องคนทั้งคู่เสีย! แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากบอกแล้วจะอธิบายเรื่องที่เขามาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร จึงจำต้องล้มเลิกความคิด เขาถลึงตาใส่แผ่นหลังของคนทั้งสอง ยกกรงเล็บขึ้นเตะหิน อดกลั้นอารมณ์ไว้ แล้วเดินตามไป
แต่มู่จิ่วก็อยากรู้ว่าทำไมลู่ยาจึงไม่กังวลว่าคนจะพบเจอ “ถึงแม้ซ่างกวนจะปากร้ายไปเสียหน่อย แต่พูดก็มีเหตุผล”
ลู่ยาเอามือไพล่หลังเดินไปตามทางอย่างช้าๆ “วางใจเถิด ที่นี่นอกจากสัตว์เทพแล้วก็ไม่มีคน และสัตว์เทพที่เฝ้าวังจะตื่นก็ต่อเมื่อมีผู้บุกรุกวัง การเคลื่อนไหวเมื่อครู่เหมือนกับอสุนีบาตฟาดเท่านั้น ไม่อาจทำให้คนตกใจได้”
มู่จิ่วพลันเข้าใจ
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยก็มาถึงวิหารหินที่มีพลังน้ำปรากฏ แต่รอบด้านไหนเลยจะมีร่องรอยของน้ำ? ประตูวิหารมีเพียงผนังหินสูงราวสามถึงห้าจั้ง กว้างราวหกเจ็ดจั้ง ผนังหินหยาบซึ่งเมื่อมองโดยรวมกลับดูราบเรียบมากฝังตัวอยู่กับเนินสูงที่ไม่เห็นยอด ไม่ต้องพูดถึงน้ำ แม้แต่ไอน้ำยังไม่มีด้วยซ้ำ
ลู่ยากัดนิ้วเบาๆ หยดเลือดลงไปบนผนังหิน จากนั้นก็ร่ายวิชาเซียน ผนังหินนั่นร่วงลงมาเสียงดัง ทว่าแม้แต่เศษหินก็ยังไม่มี เผยออกมาเพียงประตูหยกที่ปิดแน่นสูงสองจั้ง กว้างราวหนึ่งจั้ง…ย่ามันเถอะ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภาพมายา เกือบทำให้คนเชื่อแล้ว!
มู่จิ่วสบถในใจ ก้าวเท้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างละเอียด
ประตูหยกไม่สว่างสดใสอีกต่อไป สีอึมครึม และฝุ่นบนพื้นก็ดูออกว่าไม่ได้ขยับมาหลายปีแล้ว
สองประตูบานใหญ่แบ่งออกเป็นสามสิบหกช่อง แต่ละช่องมีรูปหล่อสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง บางส่วนดูออกว่าเป็นเสือเป็นงู แต่ส่วนใหญ่ถูกปกปิดหน้าตาดั้งเดิมไว้ บางตัวแม้แต่มู่จิ่วก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
ห่วงคล้องประตูขนาดหนาเท่าแขนเด็ก
มู่จิ่วชี้มัน “ประตูนี้ฝุ่นเยอะขนาดนี้ ดูแล้วน่าจะขยับมาหลายปี จิ้งจอกน้อยจะซ่อนอยู่ที่นี่หรือ?”
“มีคนพูดว่ากระต่ายมีหลายรัง จิ้งจอกเทียบกับกระต่ายแล้วไม่รู้ว่าเจ้าเล่ห์กว่ากี่เท่า จะมีทางเข้าออกทางเดียวได้อย่างไร?” ลู่ยาพูดพลางหยิบแผ่นยันต์จากแขนเสื้อออกมาติดบนประตู จากนั้นประตูนั้นก็เปิดออกเอง
การเปิดครั้งนี้ทำให้มู่จิ่วเห็นว่าประตูหนาหนึ่งฉื่อ และไม่มีสัตว์ปีศาจอะไรออกมา!
ลู่ยาเก็บแผ่นยันต์ลงไป “ยิ่งทางเข้าดูปกติ ยิ่งแสดงว่าด้านในนั้นอันตราย ต้องระวังให้มาก”
พูดจบเขาก็เดินนำเข้าไปก่อน