หลังจากที่คลื่นจิตพสุธาสงบ หกภพสมานฉันท์ สวรรค์อันสูงส่งมีความสุขอยู่หลายเดือน ก็เริ่มเตรียมงานแต่งเทพหญิงแห่งวังวิญญาณเทพกับลู่ยาเต้าจู่
แน่นอนว่านายหญิงแห่งวังวิญญาณเทพก็คือมู่จิ่ว ตอนนี้นางมีชื่อใหม่แล้วคือเซิ่งหลิงเหนียงเหนียง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ตอนแรกนั้นยังตื่นเต้นอยู่หลายส่วน จัดการตกแต่งต่างๆ นานา แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า คนข้างกายหากไม่ใช่เต้าจู่ก็เป็นเหล่าจู่ กระทั่งเหล่าสัตว์วิเศษที่คอยกวาดพื้นกวาดโต๊ะล้วนมีประสบการณ์มากกว่า นางจึงค่อยๆ หมดความสนใจไป ช่วงนี้เลยพาเสี่ยวซิงไปเล่นกับปีศาจดอกบัวม่วงหลายตนที่แม่น้ำหน้าวังชิงเสวียนอย่างสนุกสนาน ถกกระโปรงลงน้ำจับกุ้ง
เดิมทีลู่ยาตั้งใจให้นางคุ้นชินกับสถานที่ก่อนค่อยจัดงานแต่ง แต่เห็นนางออกไปเล่นข้างนอกทั้งวัน รู้สึกว่าซุกซนกว่าตอนอยู่หงชางนัก จึงได้แต่ต้องรีบจัดงานก่อน บนสวรรค์อันสูงส่งมีหนุ่มสาวหน้าตางดงามไม่น้อย บางทีหาอะไรให้นางทำบ้างจะได้ไม่ไปเที่ยวซน…
เหล่าเทพทั้งสี่บนสวรรค์อันสูงส่งมองเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก หุนคุนยกหน้าที่ดูแลสวนผักแก่จื่อจิ้งเพื่อเตรียมการ นี่ก็ครึ่งเดือนกว่าแล้วที่ไม่ได้ไปเหยียบสวนเลย หนี่ว์วาก็หยุดทอผ้าไปนานยิ่งนัก กระทั่งหงจวินที่มือเท้าไม่เคยขยับ ก่อนหน้านี้ไม่รู้หลงม้าอะไรนักหนา เก็บมาไว้ในวังไม่น้อย เมื่อมีงานนี้ก็ไม่มีเวลาไปเลือกม้าอีก
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่ของหกภพเท่านั้น แต่ยังเป็นงานแต่งแรกของสวรรค์อันสูงส่ง อีกทั้งลู่จีเคยอยากจะเข้าพิธีกับลู่ยามากขนาดไหน ถึงแม้แต่ละคนจะไม่ได้พูด แต่ในใจต่างก็เสียดายแทนนาง…ในความเป็นจริง หากไม่จริงจังลู่ยาก็คงไม่ทำ ดังนั้นตอนเริ่มแรกจึงให้ความเห็นและคำแนะนำมากมายอย่างกระตือรือร้น
หุนคุนคิดว่าหากจะทำแล้วก็ต้องทำให้ยิ่งใหญ่ เชิญเทพเซียนทั้งหมดทั้งบนฟ้าบนดินมาร่วมงาน อย่างไรพื้นที่ของสวรรค์อันสูงส่งก็กว้างใหญ่พอ แต่หนี่ว์วาค้านไว้ เพราะไม่ใช่ว่าเทพเซียนทุกคนจะโชคดีรับแรงกดดันบนนี้ไหว หากมีเรื่องเกิดขึ้นใครจะรับผิดชอบ? นางคิดว่าควรปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมการแต่งของลัทธิหรูอย่างเคร่งครัด และนางให้ชุดแต่งงานได้
หงจวินถกเถียงเล็กน้อย การแต่งงานแบบลักธิหรู (ขงจื๊อ) ต้องกราบไหว้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ทั้งสองฝั่งต่างไม่มีพ่อแม่ จะกราบไว้อย่างไร? หากไหว้ฟ้าดินเพียงอย่างเดียวก็ไม่นับว่าทำตาบขนบธรรมเนียม ในภายภาคหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมีงานแต่งงานแบบนี้หรือไม่ ย่อมต้องทำยิ่งใหญ่หน่อย
ทุกคนถกเถียงกันอย่างออกรสชาติ สุดท้ายให้ลู่ยาเป็นคนตัดสิน ลู่ยาถามความเห็นมู่จิ่ว นางก็ไม่อยากทำผิดต่อใคร จึงค้านหัวชนฝาว่าให้แต่งงานข้างนอกเถิด จัดงานที่สนามหญ้าข้างนอกสวรรค์อันสูงส่ง เชิญเทพเซียนที่มาได้ทั้งหมดมา…อย่างไรไม่เชิญพวกเขาก็คงมา…สวมชุดงานแต่งแบบลัทธิหรู ปฏิบัติตามตามใจ ไหว้เพียงฟ้าดินเท่านั้น จากนั้นทุกคนก็กินดื่มกันตามสบาย
งานที่ท่าทางไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ ทุกคนกลับเห็นด้วย…
เมื่อตัดสินใจได้ก็ลงมือได้แล้ว เหล่าเทพสูงส่งเมื่อแต่งงานย่อมไม่มีอะไรน่ากังวลใจ เจ้าแม่สายฟ้าจะไม่ทำให้ฟ้าสดใสได้หรือ? มีคำสั่งจากราชวงศ์ลงไป จะมีเซียนหน้าไหนไม่ก้มหน้าทำตามอย่างเชื่อฟังบ้าง? เหล่าดอกไม้นานาพันธุ์จะไม่รีบสูดพลังเข้าไปเพื่อจะได้เบ่งบานอย่างงดงามที่สุดในวันสำคัญหรือ? หวังหมู่เอ่ยว่าอยากทำชุดมงคล จะไม่รีบส่งหญิงทอผ้าขึ้นไปช่วยเลือกวัสดุหรือไร?
มู่จิ่วยุ่งอยู่กับเพียงเรื่องการจัดลำดับพิธีการ
ดีที่เมื่อชาติก่อนเคยเข้าร่วมงานแต่งกลางแจ้งของเพื่อนมาก่อน จึงรู้ลำดับงานคร่าวๆ แต่การแต่งงานแบบนี้มักจะเป็นแบบตะวันตก เมื่อเอามารวมกับการแต่งแบบจีนก็ดูจะแปลกไปหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เข้ากัน จึงจำต้องปรับเปลี่ยนนับไม่ถ้วน สุดท้ายหลังจากทดลองหลายรอบก็ผ่านเสียที
ที่เหลือคือลองชุดแต่งงาน
ยิ่งใหญ่ขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง
ชุดแต่งงานของนายหญิงแห่งวังเทพวิญญาณจะธรรมดาได้ที่ไหน?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวซิงเห็นชุดก็เครียดจนมือเริ่มสั่น ลากซ่างกวนสุ่นไปเฝ้าอยู่ต่อเนื่องหลายวัน กลัวจะมีคนไม่ระวังไปชนเข้า
ลู่ยาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เขานอนไม่หลับเลยทั้งคืน
กลางดึกมู่จิ่วพลิกตัว มองทะลุผ่านกำแพงหนาๆ ไปเห็นเขาเดินวนอยู่ในโถงด้านหน้า ทำเอานางรู้สึกว่าตนเองไม่มีหัวจิตหัวใจเกินไปหรือไม่ พรุ่งนี้จะแต่งงานแล้วทำไมนางยังจะนอนอยู่อีก? ชัดเจนว่าตอนที่นางยังเป็นลู่จีอยู่ กระทั่งฝันนางยังฝันว่าได้แต่งให้เขา แต่ตอนนี้นางกลับนอนหลับเสียนี่
ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาจุดตะเกียง ลุกขึ้นเดินไปมาตรงข้างหน้าต่าง
แต่ก็ยังไม่ตื่นเต้นอะไรอยู่ดี ในใจนางลู่ยาก็คือคนของนาง เขาเป็นผู้ชายของนางนานแล้ว หนึ่งหมื่นปีให้หลังนี้ก็ไม่รู้ว่าเคล้าคลอแนบชิดกันไปแล้วกี่รอบ มาตื่นเต้นเขินอายเอาป่านนี้ก็ดูเสแสร้งไปหน่อยมิใช่หรือ…ความรู้สึกเช่นนี้ พูดตามจริงก็เหมือนแต่งงานอีกรอบเลย…
คิดถึงตรงนี้ นางทำได้เพียงเลิกสนใจ ยกกาน้ำชาไปหาผู้ชายของนาง อย่างไรก็นอนไม่หลับแล้ว มาร่วมดื่มรำลึกทุกข์สุขด้วยกันตลอดคืนดีกว่า
เช้าวันถัดมาหนี่ว์วานำคนมาเคาะประตูมงคล เห็นพวกเขาทั้งสองเดินเคียงคู่มาเปิดประตูด้วยตนเอง หนี่ว์วาผู้ฉลาดเฉลียวก็พลันงุนงงไป…
ในงานแต่งคึกคักอย่างไรไม่จำเป็นต้องพูด
เหล่าเทพเซียนแน่นขนัด มองจากบนลงล่างเหมือนเป็นเป้ายิงธนู
คู่แต่งงานใหม่มีฐานะสูงส่งขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ต้องเอ่ยยินดีดื่มเหล้าให้ ในเมื่อเป็นแบบนี้จึงไม่ต้องดื่มเหล้ารับ เพียงมองดูคนเหล่านี้ก็ตาล้าแล้ว หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้ มู่จิ่วรู้สึกว่าการแต่งเข้ามาในสวรรค์อันสูงส่งนั้น หากไม่มีพลังแบบนางก็ยากจะรับงานใหญ่โตแบบนี้ไหว…
ตกกลางคืน เหล่าเทพเซียนระดับล่างหรือที่ไม่ค่อยสนิทสนมก็เริ่มลากลับแล้ว
แต่ลูกศิษย์หลานศิษย์ของสวรรค์อันสูงส่งกลับยังอยู่ต่อ เมื่อคารวะอาจารย์อาคนใหม่แล้วถึงกลับไปได้
มู่จิ่วให้เสี่ยวซิงเตรียมตะกร้าห่อด้วยผ้าอย่างดี แต่ละห่อผ้านั้นมีเห็ดหลินจือม่วงที่ปลูกจากสวนของหุนคุนและยาเซียนสิบเม็ด ยาเซียนนี่เอามาจากหงจวิน อย่างไรหงจวินก็คือการปรมาจารย์หลอมยา…
กลางคืนได้ให้รางวัลแก่ทุกคนในวังชิงเสวียน นอกจากนางแล้ว ลู่ยา ‘นายท่าน’ ผู้นี้ก็ตบรางวัลพวกเสี่ยวซิงเป็นพิเศษเช่นกัน ทั้งยังให้ภายหลังรุ่ยเจี๋ยและอาฝูติดตามมู่จิ่ว ส่วนเสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นด้านหนึ่งเรียนรู้การงาน อีกด้านหนึ่งก็คอยดูแลเรื่องส่วนตัวมู่จิ่ว ขณะเดียวกันก็สั่งให้สัตว์วิเศษอีกหลายตัวมาช่วยงานนาง
อิทธิพลของเสี่ยวซิงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระทั่งตำแหน่งเซียนนางยังไม่มี…
แต่นี่ก็ไม่กระทบต่ออิทธิพลของนางเลยสักนิด เพราะที่นี่คือวังชิงเสวียน
หลังจากมอบรางวัลเสร็จ ในห้องก็สงบลงแล้ว
ลู่ยาปิดประตู ถูมือเดินเข้ามาหานาง เทพเซียนดีๆ ผู้หนึ่ง รอยยิ้มแววตากลับดูหื่นกระหายนัก นี่ทำให้มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองเหมือนภรรยาที่ถูกบังคับชิงตัวมา…
กว่าจะถอดชุดมงคลแต่ละชั้นออกได้นั้นลำบากยิ่ง แต่มันก็เหมือนกับแกะห่อของขวัญ เมื่อถอดทีละชั้นยิ่งน่าพึงพอใจ
ตั้งแต่หมื่นปีให้หลังจนถึงตอนนี้ ในหมื่นปีนั้นไม่เคยได้ปลดปล่อย เจ้าคิดดูว่าเขาร้อนใจและอดกลั้นขนาดไหน?
เขาจูบที่ใบหน้า คิ้ว คอ และหูของนาง ร่างของมู่จิ่วร้อนราวไฟเผา แต่เดิมยังเข้าใจว่าน่าจะมีโหมโรงอะไรก่อน…ไหนเลยจะรู้ว่าเขานั้นแข็งขืนขึ้นมาแล้ว
มือทั้งสองของนางผลักอกเขา อยากจะสอนว่ากว่าจะถึงฝั่งฝันต้องมีขั้นมีตอน มือทั้งสองกลับจับโดนช่วงเอวของเขาแล้วพบว่ามีอะไรแข็งๆ อยู่ เมื่อลองก้มดูก็พบว่าเป็นใบไม้สีทองสว่าง…
“คาถา…ยั่วยวน?”
……………………………………..