ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 489 ตัวตนถูกเปิดเผย

ตัวตนถูกเปิดเผย

 

ธรรมเนียมงานศพในญี่ปุ่นแตกต่างจากของประเทศจีนแม้ว่าจะมีธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่างที่เหมือนกันก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เป็นวันที่สามสิบห้าหลังจากการเสียชีวิตของพ่อแม่ของคิริฮาระ ยูสึเกะ ในวันที่เจ็ด วันที่สามสิบห้า วันที่สี่สิบเก้า และร้อยวัน จะมีการจัดพิธีระลึกถึงผู้ตาย

 

หลี่ว์ซู่ไม่อาจทำพิธีไว้อาลัยในช่วงเวลาเรียนได้ แต่อย่างน้อยเขาจะต้องแกล้งทำหลังเลิกเรียน

 

ไม่ว่าอารมณ์ของเขาจะเปลี่ยนไปเท่าใดคิริฮาระ ยูสึเกะก็ไม่ควรจะลืมพ่อแม่ของเขา ในระหว่างทางกลับบ้านพร้อมกับบันได หลี่ว์ซู่ระแวดระวังสิ่งต่างๆ รอบตัว เขามีเป้าหมายอยู่สองสามคนในบริเวณใกล้เคียง แต่ทว่าไม่ควรมีการลงมือในวันพิธีระลึกถึงผู้ตาย

 

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาสังเกตว่ามีสมาชิกระดับกลางของทวยเทพคนหนึ่งเจตนาที่จะพยายามลดการติดต่อทางสังคมของตัวเองลง เมื่อคืนก่อนนี้เอง หลี่ว์ซู่ล้มเหลวในการซุ่มโจมตีสมาชิกคนสำคัญอีกคนที่ไม่ยอมปรากฏตัวแม้กระทั่งในที่ที่เขาเคยไปอยู่เป็นประจำ

 

ความจริงแล้วมีการให้ความสนใจในการเสียชีวิตของโนกิวะ ฮากุชุนอย่างมากในกลุ่มทวยเทพ แม้ว่าเขาจะเป็นเป้าหมายที่จัดการได้ง่าย แต่มีไม่กี่คนที่จะเอาชีวิตเขาได้อย่างรวดเร็วขณะที่ผู้ที่ชิงลงมือก่อนนั้นเป็นตัวเหยื่อเอง

 

นอกเหนือไปจากนั้น พวกเขาก็ยังทราบดีถึงตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้าซึ่งยังว่างอยู่ของเครือข่ายฟ้าดิน เนื่องจากความพยายามในการดึงตัวหลี่เสียนอีมานั้นไม่เคยได้บรรลุผลสำเร็จ

 

ตอนนี้การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B คงจะเป็นการส่งสัญญาณการแต่งตั้งราชันฟ้าคนที่เก้านั่นเอง! นั่นเป็นสิ่งที่ทวยเทพคาดการณ์เอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้มองข้ามความไม่สอดคล้องหลายประการเช่น การที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ทั้งระดับ B และไม่ใช่ผู้มีพลังสายธาตุดินอะไร แต่พวกเขาก็ยังคงเข้มงวดในการระวังตัว

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกประการที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ นั่นก็คือการที่คนของเครือข่ายฟ้าดินเอาอาวุธของโนกิวะไปหลังจากการสังหาร แท้จริงแล้วดาบยาวของเขาก็คล้ายกับกระบี่ประจำกายที่สมาชิกระดับ D ทุกคนของเครือข่ายจะได้รับการแจกจ่ายให้ บางที่มันอาจจะถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังในสายตาของผู้บำเพ็ญระดับล่าง แต่มันน่าจะไร้ค่าสำหรับคนระดับ B

 

หรือว่ามันจะเป็นคนระดับ B ที่…ไม่ชอบสิ้นเปลือง!

 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่สังเกตว่าคนในระดับล่างขององค์กรนั้นดูจะไม่กังวลอะไร ซึ่งต่างจากสมาชิกคนสำคัญๆ ของทวยเทพที่เตรียมพร้อมรับมือ นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเขาคงจะไม่กระตุ้นให้มืออาชีพระดับ B มาสนใจอะไรได้ ในระหว่างการฆ่าแบบไม่ยั้งของเนี่ยถิงในคราวก่อน เขาก็กวัดแกว่งคมมีดของเขาไปยังเจ้าหน้าที่คนสำคัญๆ เท่านั้น

 

“ฉันอยากรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของทวยเทพหลังจากการตายของโนกิวะ ฮากุชุน” หลี่ว์ซู่กระซิบบอกคุณบันไดในรถไฟใต้ดิน

 

บันไดพยักหน้ารับทราบ “ได้ค่ะ ฉันจะพยายามหารายละเอียดมาให้ภายในสองวันนี้ แต่ขอแนะนำให้หยุดลงมือก่อนในช่วงนี้เพราะพวกทวยเทพฉลาดได้พอๆ กับที่มันบ้า”

 

“ตกลง ผมจะระวังตัวมากขึ้น” หลี่ว์ซู่รับคำ เขาจะไม่มีวันเห็นเรื่องที่ผู้อื่นจริงจังเป็นเรื่องเล่น

 

หลี่ว์ซู่ไม่เห็นซากุราอิตอนที่เขามาถึงบ้านในคืนนั้น แท้ที่จริงข้อความของเขาตั้งใจส่งไปเพื่อแจ้งซากุราอิว่าพวกเขาจะกลับบ้านดึกและเขาก็หวังว่าจะไม่ทำให้เธอรอนานเกินไป

 

ในระหว่างนั้น ซากุราอิกำลังเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาขวางทางเธอ เขาสวมชุดสูทสีดำกับแว่นสายตากรอบสีทองเรียบๆ อยู่บนจมูก เข็มของทวยเทพที่ติดอยู่ที่หน้าอกของเขาทำให้ซากุราอิไหวตัวทันทีแต่เธอไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า

 

ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อคิตะมุระ ฮิโรโนะ ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้จักฉัน”

 

ความแปลกใจปรากฏออกมาบนหน้าของซากุราอิ “ดูจากเข็มของคุณ ฉันเชื่อว่าคุณมาจากทวยเทพ ขอเดาว่าคุณกำลังมาเกณฑ์ฉันเป็นสมาชิกใหม่เพราะค่าศักยภาพการฝึกฝนของฉันใช่ไหม”

 

รอยยิ้มของคิตะมุระไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ “เธอปรากฏตัวอยู่ข้างกายของคิริฮาระ ยูสึเกะทันทีที่พ่อแม่ของเขาตาย และความสนใจในตัวเขาของเธอก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน เธอเป็นนักฟันดาบที่ผ่านการฝึก แม้ว่าฉันจะไม่แน่ใจนักว่าเธอไปเรียนฟันดาบมาจากไหนแต่เธอก็ยังประกาศว่าคิริฮาระ ยูสึเกะคืออาจารย์ของเธอ เธอคงจะดูถูกสติปัญญาของพวกเรานะหากเธอปฏิเสธตัวตนของการเป็นตัวละครสำคัญที่ถูกปกปิดเอาไว้ของพวกอนุรักษนิยม”

 

ซากุราอิตัวเย็นเฉียบ เนื่องจากไม่มีอาวุธ เธอจึงไม่อาจปกป้องตนเองจากคิตะมุระ ฮิโรโนะ ซึ่งเป็นคนดังระดับ C ที่ทรงพลังของทวยเทพได้

 

น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรที่น่าสงสัยเกี่ยวกับลักษณะนิสัยที่ไม่เสมอต้นเสมอปลายระหว่างหลี่ว์ซู่และคิริฮาระเลย ซึ่งก็ต้องขอบคุณหน้ากากที่ไร้ตำหนิของเขานั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม ตัวตนของซากุราอินั้นถูกเปิดเผยก่อนตัวตนของหลี่ว์ซู่เพราะพวกอนุรักษนิยมรีบร้อนเกินไป!

 

“ไม่ต้องกังวล คุณซากุราอิ ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายเธอ แต่ฉันมาเพื่อเจรจา” คิตะมุระยืนพิงเสาไฟพร้อมทำหน้าสงบนิ่ง “ตาแก่โอดะ โทคุมะนั่นมีทักษะในศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเลยนะแต่ดันไม่ค่อยจะมีสมอง น่าเสียดาย ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศเอาไว้ว่าตัวเองสามารถเข้ามาแทนที่คิริฮาระ คุรากิได้ด้วยแผนการและความเฉลียวฉลาดของเขา แต่พวกเราว่าเขาแย่ยิ่งกว่าคิริฮาระเสียอีก ไม่อย่างนั้นเราจะไว้ชีวิตของโอดะในขณะที่ยืนกรานว่าคิริฮาระ คุรากิต้องถูกกำจัดไปทำไม”

 

คำพูดของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงราคาของโอดะ โทคุมะที่ถูกตีเอาไว้ในสายตาของพวกลัทธิคลั่งชาติ ถ้าคนระดับ C หาญกล้าท้าทายเขาอย่างเปิดเผยเพียงนี้ มันก็ดูเหมือนว่าพวกลัทธิคลั่งชาติจะไม่ให้ความสำคัญอะไรกับโอดะจริงๆ

 

ในความคิดเห็นของพวกเขา โอดะเป็นชายที่ชอบมีแผนลับซ่อนเงื่อน เขาเลือกที่จะไม่แจ้งคิริฮาระ คุรากิเรื่องแผนการซุ่มโจมตีของพวกลัทธิคลั่งชาติทั้งที่เขาทำแบบนั้นได้หลังจากที่ได้รับข้อมูลมาจากหน่วยข่าวกรองของอนุรักษนิยม

 

สุดท้ายความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดของคิริฮาระ คุรากิคือการไว้วางใจคนผิดไป

 

แต่แม้กระทั่งตัวโอดะเองก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่าพวกอนุรักษนิยมจะต้องมาลงเอยอยู่ในสถานการณ์ที่ตกต่ำ ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นที่การพุ่งเป้าไปที่คิริฮาระ คุรากิเพียงเท่านั้น ทว่าไม่นานมันก็กระจายไปทั่วทั้งองค์กร เมื่อไม่มีผู้นำ พวกอนุรักษนิยมจึงเสียเปรียบอย่างชัดเจน

 

ในตอนแรก โอดะวางแผนที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง แต่ไม่นานมันก็กลับกลายเป็นการประเมินความสามารถของตัวเขาเองที่สูงเกินไป สกุลลับที่ซ่อนอยู่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าค่อยๆ ถอยกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ เพราะว่าพวกเขาไม่มั่นใจในตัวโอดะ โทคุมะเลย

 

ตอนนั้นเองที่โอดะได้เข้าใจในที่สุดว่าคิริฮาระ คุรากิมีความหมายอย่างไรต่อพวกอนุรักษนิยมทั้งหมด เขาไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นได้แม้กระทั่งตัวแทนคนหนึ่ง

 

เนื่องด้วยเหตุผลเดียวกันนั้นเอง โอดะจึงได้หันกลับไปด้วยความหวังว่าจะใช้คิริฮาระ ยูสึเกะเป็นหุ่นเชิดของเขาและเพื่อจะให้ได้มาซึ่งวิชาแท้ๆ ที่ตระกูลคิริฮาระสืบทอดมา

 

ซากุราอิยิ้ม “ขออภัยด้วยค่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูดจริงๆ”

 

“ไม่เป็นไร ฉันจะให้เวลาเธอคิดพิจารณาสักสามวัน ลองคิดดูว่าพวกอนุรักษนิยมมีอะไรเหลือบ้างและสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้วฉันเชื่อว่าเธอก็จะเข้าใจได้เองในที่สุด” คิตะมุระยิ้มอย่างสงบนิ่ง “อย่างไรก็ตาม ฉันสนใจเธอเป็นการส่วนตัวนะคุณซากุราอิ แล้วอีกประการหนึ่งก็คือ ฉันยังโสดอยู่”

 

ซากุราอิสวยไหม สวยมาก สวยเสียจนคิตะมุระไม่อาจหาผู้หญิงอีกคนมาเปรียบกับเธอได้จากผู้หญิงทั้งหมดที่มีอยู่ในทวยเทพ

 

บางทีอาจจะมีคนธรรมดาสามัญสักสองสามคนที่สวยพอๆ กับเธอ แต่ในปัจจุบันทวยเทพได้ส่งเสริมทฤษฎีการสืบสายโลหิตของผู้บำเพ็ญอย่างแข็งขัน ซึ่งห้ามการผสมสายโลหิตระหว่างผู้บำเพ็ญและคนธรรมดาเพื่อให้มั่นใจว่าจะมอบสายเลือดบริสุทธิ์ให้กับคนรุ่นต่อไปได้

 

หลี่ว์ซู่เองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่เขาแสดงความคิดเห็นแค่เพียงว่าทวยเทพนั้นมีจำนวนประชากรน้อยเกินไป พวกเขาเกรงกลัวเหลือเกินว่าลูกหลานของพวกเขาจะไม่มีค่าศักยภาพการฝึกฝนหากพวกเขาแต่งงานกับคนธรรมดาสามัญชน

 

ในทางตรงกันข้าม เครือข่ายฟ้าดินไม่เคยต้องห่วงเรื่องนั้นเลย อยากแต่งกับใครก็เชิญเพราะเรามีคนล้นเหลือ…

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset