ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 589 ฮีโร่ก็เคารพฮีโร่ด้วยกันเอง

ตอนที่ 589 ฮีโร่ก็เคารพฮีโร่ด้วยกันเอง

 

 

พวกเขาใช้เวลาเดินทางไปที่หลัวปู้พัวกันหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ พวกนักเรียนห้องเต้าหยวนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มแรกและกลุ่มที่สองคงจะไปถึงโบราณสถานกันแล้ว

 

 

การที่โบราณสถานหลัวปู้พัวนี้ถูกค้นพบขึ้นนับเป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่และมักถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ขนาดนักวิทยาศาสตร์เองยังไม่ค่อยมาที่นี่เลย

 

 

ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าโบราณสถานหลัวปู้พัวนั้นจะมีข่าวดีมาให้เมื่อไหร่ ตอนสถานที่นี้ถูกค้นพบก็เกือบจะถูกเปิดออกอยู่แล้ว

 

 

เนี่ยถิงอนุญาตให้นักเรียนห้องเต้าหยวนที่มีความสามารถมากกว่าระดับ E ขึ้นไปสามารถมาเข้าร่วมได้ เหตุผลหนึ่งก็คือให้พวกเขาได้มาฝึกฝน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าช่วงนี้มีผู้บุกรุกเข้ามาที่ชายแดนเยอะมาก ไม่มีใครรู้ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดหรือบาทหลวงของฝ่ายศรัทธาหายไปที่ไหน และเนี่ยถิงเองก็ยังไม่กล้าเชือดไก่ให้ลิงดูแบบไม่ระมัดระวังเลย

 

 

เพราะฉะนั้นนักเรียนห้องเต้าหยวนถึงได้รับอนุญาตให้มาได้ ส่วนพวกเครือข่ายฟ้าดินก็มีความรับผิดชอบในการปกป้องดินแดนของตัวเอง

 

 

หลี่ว์ซู่ที่เพิ่งได้ยินคำเยาะเย้ยจากเจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ นั้นไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาพยายามจะล้วงเอาข้อมูลจากพวกเขา “พวกนายเคยได้ยินชื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จากห้องเต้าหยวนในเมืองลั่วป่ะ”

 

 

สีหน้าของเจียงเฟิงและหลี่เจียนเหรินเปลี่ยนไปทันที “เราเอาชนะหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้หรอก แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรนี่นา เธออยู่ตั้งระดับ C เชียวนะ! เพราะงั้นมันก็ไม่น่าอายหรอกที่เราจะเอาชนะเธอไม่ได้! แต่อย่าคิดว่าเราแพ้เธอแล้วเราจะสั่งสอนนายไม่ได้นะ ถ้านายได้ไปฝึกทหารจริงๆ มันก็เหมือนกันแหละ แถมการเจ็บตัวระหว่างการต่อสู้จริงๆ น่ะธรรมดาออก”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +199!]

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่เจียนเหริน +199!]

 

 

พอหลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์จากพวกเขามาก็ชะงักไป งั้นที่เจ้าพวกนี้ต้องเจ็บตัวไปนอนโรงพยาบาลก็เพราะโดนเสี่ยวอวี๋อัดมางั้นเหรอ…

 

 

เขาแค่อยากรู้เฉยๆ ว่าเสี่ยวอวี๋เป็นยังไงบ้างที่ค่ายฝึกซ้อม แต่พวกเขากลับคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเอาเรื่องเสี่ยวอวี๋มาเยาะเย้ยพวกเขาซะอย่างนั้น…

 

 

“พวกนายมีกันตั้งมากเท่านี้แต่ก็ยังเอาชนะเธอไม่ได้เหรอ ตั้งใจพุ่งเป้าไปที่เธอจริงๆ หรือเปล่าน่ะ” หลี่ว์ซู่สงสัย ถ้าเสี่ยวอวี๋ไม่ได้ใช้แอนโธนี่และจอห์นสันแล้ว เธอก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าคนระดับ C ธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยนะ

 

 

เด็กนักเรียนอีกคนตอบมาตามตรง “เราคิดวิธีการต่างๆ นานาพุ่งเป้าไปที่เธอแล้ว แต่เวลามีไม่มากพอให้เราประสานทีมได้ ก็เลยไม่ได้ข้อสรุปแผน แถมความสามารถเธอยังแซงหน้าพวกเราไปมาก เธอทำลายรูปแบบการจัดตำแหน่งทีมต่อสู้ของเราได้ง่ายๆ เลย แล้วกลุ่มผู้หญิงก็มีทีมเวิร์กดีกว่าเรา ฮึกเหิมกว่าเรามาก ทั้งดุดันและกระโชกโฮกฮาก เราเอาชนะไม่ได้เลย”

 

 

หลี่ว์ซู่เม้มปาก งั้นนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ค่ายทหารจริงๆ สินะ

 

 

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเสี่ยวอวี๋ไปเอาแต้มอารมณ์จากเด็กผู้ชายมากมายมาจากไหน เธอได้มาจากการอัดคนอื่นในการฝึกการต่อสู้นี่เอง หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกเสียใจเล็กๆ ถ้าเขารู้ว่าการค่ายฝึกทหารจะได้แต้มอารมณ์มากขนาดนี้ เขาคงขอไปฝึกเองตั้งนานแล้ว

 

 

“แต่ถึงเราโดนเธออัดเราก็ยังเคารพเธออยู่นะ” เจียงเฟิงพูดอย่างเย็นชา “เธอไม่ได้เอาสายเลือดของเธอมาโน้มน้าวคนอื่นนี่ เธอใช้ความสามารถล้วนๆ”

 

 

หลี่ว์ซู่กำลังถูกประชดประชันอยู่ หลี่เจียนเหรินหัวเราะออกมา “ใช่แล้วล่ะ สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้วฉันเคารพพวกเธอเลยล่ะ พวกเธอเปลี่ยนตัวเองจากแกะน้อยแสนอ่อนแอกลายเป็นพยัคฒ์ที่แสนดุร้าย ความเก่งกาจของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จปล่อยผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้เลย”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคนพวกนี้ชื่นชมเสี่ยวอวี๋และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ราวเป็นฮีโร่เลย และเขาก็รู้สึกแปลกๆ กับอะไรแบบนี้ด้วย…

 

 

“ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวอวี๋มีพี่ชายที่เก่งกว่าเธออีก ชื่อหลี่ว์ซู่หรืออะไรนี่แหละ เขาอยู่ระดับ C แล้วนอกจากนั้นยังมียศเป็นพันตรีอีก! หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดถึงเขาให้ฟังบ่อยๆ ว่าไม่มีใครเอาชนะหลี่ว์ซู่ได้ เขาได้ออกไปทำภารกิจกับพวกหัวกะทิระดับ A แล้วพวกยอดฝีมือในต่างประเทศก็ออกหมายจับเขาด้วยนะ! ใครจะรู้ว่าอาจจะมีคนอย่างเขาโผล่มาอีกก็ได้ ยุคนี้น่ะเป็นยุคของฮีโร่แท้ๆ เลย” เจียงเฟิงถอนหายใจออกมา

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกแปลกขึ้นไปอีก “ใช่แล้วๆๆ ยุคของฮีโร่ หลี่ว์ซู่คนนี้น่าจะเป็นคนที่มีฝีมือมากๆ เลยนะ แถมยังหล่ออีกด้วย เขาทั้งรวยและยังหนุ่มแน่น เดี๋ยวนะ ขอคิดคำชมเพิ่มก่อน”

 

 

เจียงเฟิงพูดอย่างดูถูก “เป็นฮีโร่แล้วเกี่ยวอะไรกับรวย”

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นๆ นี่น่ะ…” หลี่ว์ซู่เน้นย้ำ

 

 

เจียงเฟิงไม่เข้าใจ

 

 

หลี่เจียนเหรินหัวเราะเสียงเย็น “นายพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นหลี่ว์ซู่เองอย่างนั้นแหละ”

 

 

หลังจากหลี่ว์ซู่กลับมาจากกลุ่มทวยเทพแล้ว ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับเขาก็ถูกเก็บเป็นความลับหมด เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะเห็นรูปของหลี่ว์ซู่ได้แม้แต่ใบเดียวหลังจากได้ฟังความสำเร็จของเขาทั้งหมดนั่นแล้วภมข้อมูลที่เจียงเฟิงได้มายังเก่าแล้วอีกต่างหาก หลี่ว์ซู่มียศเป็นร้อยเอกแล้ว

 

 

ทั้งความคิดและความรู้สึกของนักเรียนห้องเต้าหยวนนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก ถึงพวกเขาจะรู้เรื่องความสามารถของหลี่ว์ซู่และคิดว่าเขาเป็นฮีโร่คนหนึ่งแล้ว แต่ถ้าจะให้พูดสั้นๆ แล้วความคิดและความรู้สึกของนักเรียนพวกนี้นั้นซับซ้อนอย่างที่พูดนั่นแหละ

 

 

รถทหารได้ออกตัวอีกครั้งไปทางทิศตะวันตก บนถนนนั้นเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา พอหลี่ว์ซู่เริ่มเห็นรถทหารที่ดูคล้ายๆ กัน เขาก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากโบราณสถานหลัวปู้พัวแล้ว

 

 

บรรยากาศรอบๆ เริ่มดูแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ความกว้างใหญ่ของโลกและธรรมชาติช่างน่าลึกลับและน่าอัศจรรย์ ทิวทัศน์ที่เขียวชอุ่มได้ถูกแทนที่ด้วยทรายสีเหลืองอร่ามและสันเขาแบบยาร์แดงขึ้นมา เหมือนกับว่าพวกเขาได้เข้าไปในอีกโลหนึ่งแล้ว

 

 

จากนั้นรถก็ชะลอและหยุดลง หลี่ว์ซู่ได้ยินคนข้างนอกพูดว่า “ออกมาให้หมด ขอดูเอกสารด้วย”

 

 

คนขับเดินมาบอกทั้งแปดคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง “ทุกคนลงมาแล้วเอาเอกสารไปตรวจ พอเราเข้าไปแล้วจะต้องเดินเท้าเข้าไปต่อ”

 

 

หลี่ว์ซู่กระโดดลงมาจากรถทหารและมองไปรอบๆ ค่ายทหารขนาดใหญ่ถูกสร้างอยู่บนผืนดินเคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่มาก่อน

 

 

จนตอนนี้มันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน…

 

 

หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เวลากำลังเข้าช่วงโพล้เพล้ เขาเตรียมเอกสารเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็ก แต่เจียงเฟิงกับทุกคนนั้นไปก่อนล่วงหน้าแล้ว

 

 

ทุกๆ คนได้เข้าไปโดยไม่มีปัญหาอะไรติดขัด หลังจากเอกสารของทุกคนถูกเอาไปสแกนเรียบร้อยแล้วก็จะมียศทหารและรายละเอียดเกี่ยวกับคนคนนั้นปรากฏขึ้นมา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เอาเอกสารของหลี่ว์ซู่ไปสแกนแล้วมันกลับขึ้นมาว่า ‘ลับสุดยอด’

 

 

พวกเขาไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย! ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อายุ เพศ หรือกระทั่งยศ! มีแค่ตัวหนังสือค่บรรทัดเดียวอยู่ตรงข้างล่างกระดาษ ซึ่งเขียนไว้ว่าเขาสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ยกเว้นพื้นที่หวงห้ามของระดับ A แถมยังมีลายเซ็นของเนี่ยถิงกำกับไว้ด้วย!

 

 

ทหารเจ้าหน้าที่สองคนนั้นมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “เอ่อ.. เชิญเข้ามาได้ครับ”

 

 

หลี่ว์ซู่โค้งคำนับตอบ “ขอบคุณครับ”

 

 

พอเจียงเฟิงและเพื่อนๆ เห็นหลี่ว์ซู่เดินเข้ามาได้ก็ตะลึงกันหมด ถ้าหลี่ว์ซู่เป็นแค่ลูกของครอบครัวที่มีอิทธิพลเท่านั้น แล้วจะอะไรอธิบายเรื่อง ‘ลับสุดยอด’ นั่นได้อย่างไรล่ะ

 

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวพวกนั้นจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้นะ แล้วลายเซ็นของเนี่ยถิงก็ยิ่งทำให้น่าตกใจกว่าเดิมอีก พวกเด็กนักเรียนห้องเต้าหยวนเขาชื่นชมและเคารพเนี่ยถิงมาก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset