กองพันที่ 42 ตอนนี้กลายเป็นขบวนค้าขายในโบราณสถานไปเสียแล้ว พวกเขาใช้โอกาสที่พวกทหารจากใต้ทะเลถอยทัพกลับไปแล้วนี้แวะเวียนไปเยี่ยมกองพันต่างๆ เพื่อโฆษณาขายเกราะทองแดงที่พวกเขามี หลี่ว์ซู่บอกว่าเขาจะให้ค่านายหน้าด้วย
นอกจากนี้เขายังมีข้อเสนอที่สำคัญมากให้อีกอย่าง นั่นคือเขาจะไม่ขอเกราะทองแดงที่กองพัน 42 ใส่อยู่คืน
หลี่ว์ซู่รู้ว่าไม่มีใครยอมทำงานให้เขาฟรีๆ หรอก เขาให้ค่านายหน้าไปก็เพื่อให้เพื่อนๆ ทุ่มเทให้กับการขายมากขึ้น ทุกคนเตรียมใจเรื่องเกราะทองแดงนี่อยู่แล้วเพราะหลี่ว์ซู่ได้บอกพวกเขาไปเรียบร้อย เขาจะปล่อยให้คนพวกนี้ใส่เกราะทองแดงไปก่อน เพราะที่สุดแล้ว ที่พวกเขาได้ใส่เกราะทองแดงกันอยู่ตอนนี้นั้นก็เป็นฝีมือของหลี่ว์ซู่ทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้หลี่ว์ซู่เลยยื่นข้อเสนอให้พวกเขา ก็เหมือนกับเขามอบเกราะทองแดงให้พวกเขาไปเลยนั่นล่ะ หลังจากกลับไปได้ พวกเขาสามารถมอบเกราะทองแดงนี้ให้กับเครือข่ายฟ้าดินได้ ถือเป็นความสำเร็จทางทหารที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง
หลังจากหลี่ว์ซู่ครุ่นคิดกับตัวเอง เขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถเก็บเกราะทองแดงเอาไว้ได้ มันไม่เหมือนกับอาวุธหอกสามง่าม เกราะนี่ยกให้ผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ สวมได้ และเกราะนี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธกลยุทธ์ทางทหารสำหรับเครือข่ายฟ้าดินเลยทีเดียว
ถ้าพวกเขาสามารถเอาเกราะทองแดงมาประมาณพันชุดได้ เครือข่ายฟ้าดินก็สามารถเอาไปให้ผู้บำเพ็ญสวมใส่และสร้างกองทัพกว่าพันคนขึ้นมาได้ แล้วถ้าเอากองทัพนี้ไปสู้กับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ กองทัพก็อาจกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นสองเท่าได้ ยิ่งถ้าศัตรูเป็นผู้บำเพ็ญลับก็ยิ่งจะกำจัดได้มากขึ้น
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักเรียนห้องเต้าหยวนต้องมีกำลังคนมากกว่านี้ถึงจะเอาชนะทหารจากทะเลที่มีความสามารถพอๆ กับพวกเขาได้ นั่นล่ะถึงจะพอสู้กันได้อย่างสูสี…
จากที่เขาเห็นแล้ว เกราะพวกนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่าถ้าไปอยู่ในมือของเครือข่ายฟ้าดิน
เนี่ยถิงคงไม่ยอมให้หลี่ว์ซู่เก็บอาวุธพวกนี้ไว้กับตัวด้วยเหมือนกัน ตอนนี้หลี่ว์ซู่เลยมีความคิดแตกต่างออกไป
ในสมัยที่เขาอายุได้ห้าขวบ เขาไม่อยากถูกเด็กคนอื่นๆ รังแกในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
พอเขาอายุได้สิบขวบ เขาอยากจะเก็บเงินได้เยอะๆ แล้วออกไปท่องโลกกว้าง
พออายุสิบสี่ปี เขาอยากใช้เงินเก็บที่มีซื้อรองเท้าสีขาวให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋
พออายุสิบหกปี เขาก็แค่อยากที่จะมีชีวิตรอด
และในตอนนี้ที่เขาอายุได้สิบแปดปี เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าอยากได้อะไร เขาแค่อยากจะทำในสิ่งที่อยากทำก็เท่านั้น
ทั้งชีวิตของเขานั้น มันไม่สำคัญหรอกที่เขาจะหาเลี้ยงพึ่งตัวเองและไม่ไปลักขโมยใคร ไม่สำคัญเลยที่เขาปฏิเสธคำชักชวนให้ไปเรียนกระบี่กับของหลี่เสียนอี หรือตอนที่เขาปฏิเสธรับตำแหน่งราชันฟ้า หลี่ว์ซู่แค่อยากจะเป็นคนดีที่ไม่อยากทำความชั่วก็เท่านั้น
ความคิดนี้ฝังอยู่ในหัวของเขาราวกับลูกธนูที่ปักเข้าไป เป็นหลักการของชีวิตเขามาตลอด นั่นคือการพึ่งพาตัวเองและการรู้ผิดชอบชั่วดี
ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดชั่วร้ายนั้นก็เหมือนรังมดที่อยู่เหนือเขื่อนน้ำ หลายคนคงคิดว่าการทำผิดนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไร แต่รังมดนั้นได้แผ่ขยายลงไปในเขื่อนเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่คิดไม่ดีก็จะมีภัยตามมาเอง
มีคนจากกองพัน 42 บางคนกลับกันมาบ้างแล้ว เฉินไป่หลี่รู้ดีว่าหลี่ว์ซู่นั้นกำลังเร่ขายเกราะทองแดงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถูกยึดเกราะทองแดงไปแล้ว แต่คนขายกลับเป็นหลี่ว์ซู่นี่แหละ
เฉินไป่หลี่เลยกะว่าจะปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มีใครในโลกนี้ไม่เห็นแก่ตัวบ้างล่ะ ถ้าเขาไม่เห็นแก่ตัว เฉินจู่อานคงจะไม่ได้ไปฝึกกับพวกหัวกะทิระดับ A หรอก เฉินไป่หลี่เองก็ไม่ใช่นักบุญมาจากที่ไหน เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นคนดีด้วย
มั่วเฉิงคงที่ยืนอยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่เอ่ยขึ้น “เรามีเกราะทองแดงเหลืออยู่อีกเจ็ดสิบแปดชุด แต่เราคงจะขายได้แค่สามสิบชุดเท่านั้นล่ะ ทำอะไรมากไม่ได้หรอก นักเรียนบางคนไม่มีเงินจริงๆ เด็กผู้หญิงหลายคนเป็นลูกสาวเศรษฐีก็จริงแต่ก็ไม่อยากซื้อกันเท่าไหร่นัก ส่วนเด็กผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งที่มาฝึกทหารด้วยกันยังคิดว่าอยากจะให้คนอื่นปกป้องอยู่เลย”
หลี่ว์ซู่ได้ยินแล้วเงียบไป “งั้นให้พวกเธอซื้อเกราะไปให้เด็กผู้ชายที่พวกเธอชอบได้ไหมล่ะ ติดอยู่ในนี้ด้วยกันมาตั้งสิบกว่าวันแล้ว จะสานสัมพันธ์กันก็คงง่ายหน่อยล่ะ…”
เฉินจู่อานตกใจ “พี่ซู่นี่หาเงินเก่งจริงๆ! แต่แบบนั้นจะได้ผลใช่มั้ย จะมีคนใจดีซื้อของแพงๆ ให้คนอื่นด้วยเหรอ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก” หลี่ว์ซู่ตอบ “ไป ลองบอกแบบนี้กับพวกเธอดูตอนที่เอาายเกราะไปขายพวกผู้หญิง”
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เกาะนี้ก็ได้คำขวัญใหม่ ‘ถ้ารักเขาก็ให้เกราะทองแดงกับเขาแล้วให้เขาปกป้องเธอสิ…’
พอเห็นกองพันที่ 42 เร่ขายเกราะให้กับคนอื่น นักเรียนห้องเต้าหยวนก็พูดอะไรไม่ออก นี่พวกเขาเป็นนักเรียนห้องเต้าหยวนจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย
เฉินจู่อานไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนที่ซื้อเกราะนี่ไปจริงๆ …
“บ้าหรือเปล่าเนี่ย” เฉินจู่อานพูดไม่ออก “พวกหล่อนคิดจะให้ของราคามากกว่าห้าแสนหยวนกับคนอื่นง่ายๆ แบบนั้นเลยน่ะนะ!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะชอบใจ “ก็ถ้ามันเป็นแค่เกราะเฉยๆ ก็อาจจะขายไม่ออก แต่มันช่วยเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งได้มากขึ้น นักเรียนห้องเต้าหยวนก็ต่างอยากจะเลื่อนระดับกันทั้งนั้นนี่ หลายคนที่ติดอยู่แค่ระดับ D ถ้าได้เกราะที่สามารถเพิ่มพลังให้ได้แถมยังเป็นเหมือนเครื่องรางแห่งความรักห้อีก ทำไมพวกเขาจะไม่อยากได้ล่ะ มีผู้ชายคนไหนไม่ดีใจที่ได้ใช้เงินของคนอื่นมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้ตัวเองกัน”
มีข่าวลือบนเกาะว่ากองพันที่ 42 นั้นไม่ธรรมดา ราวกับว่าจู่ๆ ก็มีคนไม่ธรรมดามาร่วมขบวนด้วยอย่างนั้นแหละ!
มีคนถามเฉินจู่อานว่าได้เกราะทองแดงมาอย่างไร เฉินจู่อานก็ตอบไปตามที่หลี่ว์ซู่บอกมาเป๊ะๆ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถหาเกราะมาได้หรือไม่ วิธีการไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา
หลี่ว์ซู่บอกความลับนี้ออกไปก็ไม่ได้เสียอะไรหรอก หากคนอื่นๆ หาเกราะมาใส่เองได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่พวกเขาเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดได้
เฉินจู่อานรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นทั้งเทวดาและซาตาน เขากล้าทำธุรกิจในที่อันตรายแบบนี้แต่ผู้คนก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนใจดีอย่างไม่มีข้อแม้…
ความรู้สึกนี้ทำให้เฉินจู่อานนั้นสับสนจนจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว…
มั่วเฉิงคงถามขึ้นมาอย่างสงสัย “จู่อาน พี่ซู่เป็นคนแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ”
เฉินจู่อานถอนใจตอบ “ถ้าได้เจอเขาเมื่อก่อนละก็ รับรองว่านายหมดตัวแน่ กางเกงนายก็ไม่เว้นหรอกนะ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยตอนนี้นายก็มีชุดเกราะมาเพิ่มพลังตัวเองนะ”
มั่วเฉิงคงนั้นเหมือนจะหายไปในความคิดตัวเอง “จู่อาน ฉันได้ยินว่านายพยายามทำตัวสนิทสนมกับพี่ซู่มาตลอดเหรอ”
ท้ายที่สุดแล้วความคิดของเฉินจู่อานก็ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ถ้าหลี่ว์ซู่ทำอะไร เขาก็จะทำตามทุกอย่างที่หลี่ว์ซู่ปล่อยให้เขาทำ
เฉินจู่อานครุ่นคิดอย่างหนัก เขาอยากจะพูดออกไปว่า ‘ไม่หรอก ฉันแตกต่างจากนายนะ’ แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ถอนใจตอบอีกรอบ “อืม ใช่… เดี๋ยวนะ ฉันสงสัยมาสักพักแล้วล่ะ นายทำตัวสนิทกับพี่ซู่อย่างนี้ได้ยังไงกัน”
มั่วเฉิงคงนิ่งไปนานกว่าจะตอบออกมา “เป็นความสามารถที่ปะทุขึ้นมาน่ะ ฉันไม่เคยพลาดเลยนะ”
เฉินจู่อานอึ้งไป เขาอ้าปากเพื่อจะพูดแต่ก็ไม่มีคำพูดอะไรเล็ดลอดออกมา เขาทำได้แต่พึมพำออกไปคำเดียวเท่านั้น “สุดยอด!”