หลังจากการต่อสู้จบไป กองพัน 42 ก็ได้รับฉายาใหม่มา ทั้งระลอกคลื่นทองแดง ทั้งคลื่นเศษซากสีทองแดง
มั่วเฉิงคงไม่ได้ว่าอะไรถ้าจะมีฉายา ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นระลอกคลื่นหรือเป็นเศษซากอะไรก็ตามแต่ ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือทีมของเขาได้อยู่เหนือกองพันอื่นๆ ที่มีจำนวนเท่าๆ กันแล้ว ชื่อของพวกเขากลายเป็นที่จดจำไปทั่วเกาะ นี่ทำให้พวกมีความรู้สึกมีเกียรติขึ้นมา
ในตอนที่คนอื่นๆ เข้ามาช่วยกันฉุดเขาขึ้นจากพื้นและขอบคุณพวกเขาอย่างจริงจังแล้ว สมาชิกในกองพัน 42 ก็ไม่ได้แสดงท่าทีทำท่าซาบซึ้งอะไร อย่างมั่วเฉิงคงเองที่ได้หวังซูฉุดให้ลุกขึ้นยืน เขาก็จ้องตากลับอย่างสงบ
“ปล่อยฉันไว้เถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่เจ็บตัวตรงนั้นแล้วก็ตรงนี้นิดหน่อย ปล่อยฉันนอนแบบนี้แหละ”
หวังซูพูดไม่ออกเลย
พวกเขาเป็นเพื่อนกันมากว่าเจ็ดปี เพราะฉะนั้นหวังซูเลยนั่งเป็นเพื่อนข้างๆ มั่วเฉิงคง
ในขณะเดียวกัน เฉินจู่อานที่กำลังกุมมือแน่นอยู่กับตู้เซวี่ยเหมยก็ปฏิเสธคนอื่นที่จะเข้ามาช่วยดึงขึ้นทั้งหมด แถมยังปฏิเสธคนที่จะเข้ามาช่วยตู้เซวี่ยเหมยให้ลุกขึ้นยืนอีกด้วย ตู้เซวี่ยเหมยนั้นนอนอยู่เคียงข้างเขาอย่างสงบเงียบระหว่างที่เวลาผ่านไป
เมื่อคนที่เหลือมีแรงลุกขึ้นมาแล้ว มั่วเฉิงคงก็เอ่ยถาม “จู่อาน เอาจริงๆ แล้วความเร็วในการฟื้นฟูร่างกายของนายน่าจะเร็วกว่าพวกเราทั้งหมดเลยนะ ทำไมยังมานอนแบบนี้อยู่อีก”
ได้ยินแบบนั้นตู้เซวี่ยเหมยก็รีบชักมือกลับ เฉินจู่อานยืนขึ้นและจ้องมั่วเฉิงคง “ตั้งใจพูดใช่ไหม”
หลี่ว์ซู่หัวเราะ “ลุกขึ้นมาได้แล้วทุกคน ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว”
แล้วทุกคนก็มาสังเกตเห็นว่าอาหารที่ได้รับวันนั้นเยอะกว่าปกติมาก ใครคนหนึ่งสงสัยจนถามออกไป “ทำไมให้ข้าวเราเยอะจังครับวันนี้”
นักเรียนห้องเต้าหยวนที่กำลังแจกจ่ายอาหารก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ให้เยอะก็เพราะว่าพวกนายช่วยไว้เยอะน่ะสิ ราชันฟ้าเฉินสั่งเอาไว้ เพราะงั้นก็กินให้อร่อยนะ!”
พอได้รับการปฏิบัติพิเศษแบบนี้ก็เลยทำให้ทุกคนมีความสุข เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าตัวเองได้รับความเคารพก็เลยดีใจกันเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าตัวเองสมควรได้รับมันจริงๆ
แล้วทันใดนั้นเฉินจู่อานก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่เงียบไป เขาเลยเอ่ยทัก “พี่คิดอะไรอยู่ พี่ซู่”
หลี่ว์ซู่หันมามองเขาก่อนตอบ “เราจะสู้ต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ฉันว่ากองทัพจากทะเลนั่นมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ยังไงเราก็ต้องเอาดวงตาแห่งค่ายกลมาให้ได้ จะได้ออกจากโบราณสถานนี่ได้สักที”
หลี่ว์ซู่ไม่ได้บอกเรื่องข้อมูลที่เขาได้มาจากบันทึกแต้มอารมณ์ แต่เขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง การที่พวกทหารจากทะเลนั้นสลายกลายเป็นฝุ่นแบบนั้น อีกทั้งคนจากทะเลแซ่เค่อนั่นก็ไม่สนใจชีวิตของทหารตัวเองเท่าไหร่เลย
การต่อสู้แต่ละระลอกนั้นทำให้ทหารจากทะเลนั้นตายไปเป็นหมื่นชีวิต แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดลงเลย
หรือใต้น้ำนั่นจะมีทหารรอต่อสู้เยอะมากจริงๆ
ความคิดที่จะลงไปสำรวจใต้น้ำของหลี่ว์ซู่นั้นแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อเขาเองก็มีพลังสายธาตุน้ำ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงไปสำรวจใต้น้ำนั่น
“พี่คิดว่าเจ้าพวกทหารใต้น้ำจะยอมให้ดวงตาแห่งค่ายกลกับพวกเราไหม ถ้าเราทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง เช่นเต้นขอฝนแบบที่ทำกันสมัยก่อน” เฉินจู่อานเริ่มจินตนาการไปไกล
หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างรำคาญ “อย่างมงายนักเลยน่า เมื่อก่อนคนต้องถวายหัวหมูสามหัวก่อนเต้นขอฝนนะ นายจะเสียสละหัวตัวเองให้มังกรน้ำ [1] ไหมล่ะ”
เอ๊ะ แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามังกรน้ำที่ว่านั่นก็อาศัยอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่งของเขานี่ ลองถามดูดีไหมว่าพิธีกรรมเต้นขอฝนใช้ได้ผลจริงรึเปล่า มีหวังเจ้ามังกรนั่นได้ควันออกหูกับคำถามโง่ๆ แบบนี้แหง!
มั่วเฉิงคงถามขึ้น “จู่อาน นายกับตู้เซวี่ยเหมยคบกันยัง”
เฉินจู่อานตอบกลับอย่างเขินอาย “คิดว่านะ”
มั่วเฉิงคงพูดขึ้นมา “ครั้งก่อนฉันชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าบอก ตอนหลังฉันเลยเข้าหาเธอก่อนแต่ไม่สำเร็จซะงั้น เธอเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นนักเรียนห้องเต้าหยวนด้วย”
“เห็นมั้ย นี่ได้เรียนรู้มาจากฉันน่ะสิ” เฉินจู่อานอวด “มัวรีรออยู่ไม่ได้หรอก ไหนบอกมาสิว่าเข้าหาเธอยังไง”
“ก็ชวนไปดูหนัง” มั่วเฉิงคงตอบ “แต่เธออยากไปเจอพ่อแม่ฉันแทน”
เฉินจู่อานชะงัก “ไปเจอพ่อแม่เลยเนี่ยนะ เร็วไปไหม! เธอพูดว่าไงกันแน่”
มั่วเฉิงคงจะตอบแต่เขาทำหน้าหม่นหมองไปหมด
“เธอบอกว่า ‘ไปดูแม่เธอสิ’ ”
เฉินจู่อานอึ้งจนพูดไม่ออก
“ฮ่าๆ เป็นผู้หญิงที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวจริงๆ” หลี่ว์ซู่ออกความเห็น
ในขณะนั้น ทุกคนต่างก็ใช้โอกาสนี้เพื่อนอนพักผ่อนเอาแรงเพราะไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้ระลอกหน้าจะมาเมื่อไหร่ ในความคิดของพวกเขา ทหารจากทะเลพวกนั้นดูจ้องจะบุกเข้ามาที่ชายหาดตลอดเวลา
หลังจากการปะทะกันรอบนั้น หลายคนต่างพากันสวมใส่เกราะทองแดงแต่ผลออกมาอย่างที่หลี่ว์ซู่คิดเลย มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะโชคดีมีเกราะครบชุด
ไห่กงจื่อได้อกแตกตายแน่ เพราะเขาเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนี่นะ หลี่ว์ซู่คิด… เขามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่ามีหลายคนที่เหน็ดเหนื่อย กระนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น ต้องชมเนี่ยถิงเลยว่าการส่งพวกนักเรียนมาที่โบราณสถานนั้นประสบความสำเร็จพอตัว
พวกเขาเป็นนักสู้ตัวจริงแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกซ้อมกันเพิ่มอยู่ละนะ
ห้องเต้าหยวนเพิ่งก่อตั้งมาได้แค่ปีเดียวเท่านั้น แต่กลับอบรมฝึกฝน ผลิตกลุ่มคนที่มีความสามารถขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
การฝึกฝนทหารนั้นก็มีราคาที่ต้องจ่าย ก่อนหน้านี้ก็มีคนเสียชีวิตไปเกือบพันคนเพราะทหารจากทะเลนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ง่ายๆ เลย พวกเขาเสียกำลังคนหนุ่มสาวไปมาก
ในขณะที่กำลังพักอยู่นั้น บางคนก็เริ่มคร่ำครวญกับเพื่อนที่เสียไป จะเศร้าก็เศร้าได้ แต่จากนี้ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป
ขอให้คนที่จากไปหลับให้สบาย ได้ไปอยู่ในที่ดีๆ ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
ตอนนี้เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการจบการต่อสู้นี้ให้ได้เร็วที่สุด
เฉินไป่หลี่ค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟ้าแล้วลงมาหยุดข้างๆ หลี่ว์ซู่ เขาเอ่ยถามออกไป “นายคิดยังไงเรื่องดวงตาแห่งค่ายกล”
“ตอนนี้ไม่รู้เลยครับ”
“อืม ถ้าคิดอะไรได้ก็มาบอกด้วยแล้วกัน” เฉินไป่หลี่เดินออกไปหลังพูดจบ ทุกคนประหลาดใจมาก เพราะเฉินไป่หลี่ถึงกับมาถามความเห็นจากหลี่ว์ซู่ด้วยตัวเองเลย!
แต่เฉินจู่อานนั้นเห็นจนชินแล้ว…
ทันใดนั้นก็มีระลอกการโจมตีเข้ามาอีก แต่ครั้งนี้นักเรียนห้องเต้าหยวนที่อยู่ทั่วทั้งเกาะนั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ให้ตายเถอะ หรือว่านี่เป็นเพราะพวกเศษซากทองแดงนั่น…”
“อะไรน่ะ กองทัพใหม่เหรอ!”
ทหารที่บุกเข้ามาจากทะเลเกือบหนึ่งในสามนั้นเป็นคนเปลือยกายครึ่งตัวโดยไม่มีเกราะทองแดงหรือถือหอกสามง่ามมาเลย…
——
[1] เทพเจ้าแห่งสายฝนในตำนานของจีน