ตอนที่ 642 ศัตรูโจมตี
ตอนนี้องค์กรทั้งเจ็ดก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว เต้าหู้เหม็นของหลี่ว์ซู่นั้นจู่โจมกลุ่มอื่นๆ ไปถึงหกองค์กรด้วยกัน นอกจากนี้กลิ่นยังตามหลอกหลอนพวกเขาไปจนไม่สามารถให้ความสนใจไปกับงานตรงหน้าได้
องค์กรทั้งหกนั้นสงสัยว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพราะมีใครต้องการทำให้พวกเขาแตกแยกกัน!
แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย หลี่ว์ซู่ไม่ได้ทำอย่างนั้นเพื่อให้กลุ่มของเขาได้เปรียบเรื่องการเจรจาหรือการแลกเปลี่ยนแร่หรอกนะ เขาแค่อยากได้แต้มอารมณ์เท่านั้นเอง
แต้มอารมณ์สำหรับเขาคือพลัง แม้ว่าคนอื่นๆ จะเห็นว่าการเจรจาแลกเปลี่ยนซื้อขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำคัญ แต่เขาคิดว่าว่าพลังนี่แหละที่จะช่วยให้ตัวเองถือไพ่เหนือกว่าได้ในทุกๆ สถานการณ์
นอกจากนี้ ที่เครือข่ายฟ้าดินได้รับเชิญเองก็ไม่ใช่เพราะพวกเขามีทรัพยากรหรือร่ำรวยอะไรหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาคือหนึ่งในองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกต่างหาก
เพราะมีผู้บำเพ็ญระดับ A สองคนและระดับ B อีกจำนวนหนึ่ง เท่านี้ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ทะยานขึ้นไปอยู่เหนือองค์กรอื่นอย่างไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว กระนั้นสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาก็มีศัตรูมากเกินไปด้วย
ถ้าพวกเขาอ่อนแอกว่านี้หน่อยก็คงไม่อยากมีใครมาเจรจากับเขา จะเข้ามาปล้นทรัพยากรกันง่ายๆ ก็ทำได้เลย
เพราะฉะนั้นการเลื่อนระดับขึ้นเป็นระดับ B ของหลี่ว์ซู่อย่างเป็นทางการคือเรื่องสำคัญมาก
ในขณะเดียวกันก็มีสมาชิกขององค์กรอื่นทยอยกันเข้ามาใกล้เต้าหู้เหม็นนี้ มีเพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่คิดออกว่านี่ไม่ใช่อาวุธเคมีชีวภาพ แต่เป็นแค่อาหารจีนเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมคนขาวถึงมีเต้าหู้เหม็นอยู่กับตัวมากขนาดนี้ได้ อีกอย่าง ทำไมเต้าหู้เหม็นนี่มันเหม็นบรมขนาดนี้นะ…
“ไม่มีคนขาวอยู่ในเครือข่ายฟ้าดินแน่นอน แล้วก็ไม่มีใครสามารถเข้าออกวิลล่าของพวกนั้นได้ด้วย” มีใครคนหนึ่งอธิบายจากการวิเคราะห์ของเขาเอง “ของที่ใช้ก็มาจากประเทศจีน สงสัยว่าคนคนนั้นคงไม่รู้ว่าเราเห็นผู้ชายผิวขาวเดินผ่านไปเมื่อคืน เพราะฉะนั้นเขาคงอยากให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ”
“เข้าใจที่พูดมานะ แต่นายคิดว่าไอ้นี่มันกินได้ด้วยเหรอ!” คนหนึ่งอุทานขึ้นมา
‘ไอ้นี่’ ที่เขาหมายถึงก็คือก้อนสี่เหลี่ยมสีดำ สิ่งนี้เป็นอาหารจริงๆ เหรอ ให้ตายสิ…
“ใครก็ได้ไปดูหน่อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่วิลล่าของเครือข่ายฟ้าดินหรือเปล่า” หนึ่งในนั้นพูดออกมา
ในขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้กลับมาที่ห้องของตัวเองผ่านทางกระจกแล้ว หลังจากองค์กรอื่นๆ ลองออกไปตรวจตราดู พวกเขาก็ได้คำตอบมาในทางเดียวกัน “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่เครือข่ายฟ้าดินเลยครับ!”
“อย่างที่คิดไว้เลย มีคนจัดฉากให้เราคิดว่าเป็นเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ!” ฮาเวิร์ดพูดพลางพยักหน้า “ก็จริงอยู่ที่เครือข่ายฟ้าดินอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่พวกเขาเพิ่งมาถึงนี่ เพราฉะนั้นคงไม่มีเวลาไปคิดแผนทำอะไรอย่างนี้หรอก”
“ผมมีคำถามครับ” ใครคนหนึ่งพูด “พวกเครือข่ายฟ้าดินที่เราเคยเจอ ยกเว้นพวกที่เคยเจอในโบราณสถานนะครับ พวกเขาเป็นพวกหัวกะทิกันหมดเลยนี่ แตต่ครั้งนี้กลุ่มของพวกเขาดูวุ่นวายแปลกๆ ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการค้ามากเท่าไหร่หรอก หรือเป็นเพราะพวกนั้นมีแร่อยู่ในประเทศของตัวเองแล้วกันนะ”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่มันเป็นเรื่องขัดกับตรรกะทั่วไปมาก กลุ่มของเซี่ยเหรินเซิงนั้นประกอบไปด้วยผู้บำเพ็ญลับเป็นส่วนใหญ่เพราะภารกิจก่อนหน้านี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร และที่หลี่ว์ซู่เข้ามาร่วมกับกลุ่มนี้ก็เพราะเขาต้องการหนีออกมานอกประเทศอย่างเร่งด่วน…
และเนื่องจากกลุ่มนี้ถูกตั้งขึ้นมาอย่างฉุกละหุก เครือข่ายฟ้าดินเลยจะส่งกำลังเสริมมืออาชีพไปเพื่อผลัดเวรเปลี่ยนหน้าที่ในอีกสามวัน เนี่ยถิงไม่ได้สนใจเรื่องแร่อยู่แล้วตั้งแต่แรก เขาแค่อยากให้หลี่ว์ซู่ไปกวนประสาทองค์กรพวกนั้นต่างหาก…
ซึ่งก็ทำให้เห็นแล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินตั้งใจยอมแพ้ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้…
ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่เกือบลืมไปแล้วว่าในบรรดาพรสวรรค์ทั้งหลาย เขามีพรสวรรค์เยี่ยมยอดอย่างหนึ่ง พรสวรรค์นั้นคือการที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะนำพาเขาไปในทางที่ดีเอง ต่อให้เขาไม่ได้ทุ่มเทพยายามอะไรมากก็ตาม และตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาพร้อมที่จะร้องเพลงดาวดวงน้อยแล้ว เรื่องอื่นๆ เอาไว้ค่อยคิดทีหลัง…
เส้นทางเลื่อนระดับไประดับ B เหลืออีกแค่หมื่นแต้มเท่านั้น!
องค์กรอีกสี่กลุ่มที่ EO เชิญมาเข้าร่วมการเจรจาเดินทางมาถึงในวันถัดไป รวมจำนวนองค์กรทั้งหมดแล้วมีสิบเอ็ดองค์กรด้วยกัน!
หน่วยสอดแนมเริ่มออกปฏิบัติการก่อนที่องค์กรใดจะได้เคลื่อนไหวอย่างซึ่งหน้า เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติขององค์กรใหญ่ๆ ที่รับรู้ข่าวสารต่างๆ อย่างรวดเร็ว สี่องค์กรที่มาถึงทีหลังเองก็ได้ยินข่าวเรื่องเต้าหู้เหม็นนี้แล้ว
หลี่ว์ซู่มองดูพื้นที่รอบๆ ขณะนั่งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของวิลล่า อยู่ๆ ก็มีกลุ่มผู้บำเพ็ญเดินเข้ามาช้าๆ ในบริเวณที่พัก แต่ละคนสวมชุดเสื้อคลุมสีขาว
หลี่ว์ซู่ค่อยๆ สังเกตพวกเขาให้ชัดๆ พวกเขาใส่หมวกฮู้ดถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนมากก็ตามที สีขาวชืดบนตัวพวกขับให้ดูเย็นชาและไร้ชีวิต
พวกเขาคือฝ่ายศรัทธานั่นเอง ครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่เจอพวกเขาตัวเป็นๆ เขาก็สามารถบอกระดับขั้นของพวกเขาจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้เลย หัวหน้าของกลุ่มเจรจาของฝ่ายศรัทธาคือพระราชาคณะ ชายคนนี้มีสถานะเป็นอันดับสองรองจากหัวหน้าของฝ่ายศรัทธา
ทันใดนั้นกลุ่มฟีนิกซ์ก็เดินเข้ามาปะกับพวกเขา หัวหน้ากลุ่มเจรจาหยุดลงทันทีและส่งยิ้มให้ฮาเวิร์ด “ได้ยินว่าเมื่อคืนคุณเข้าใจผิดว่าอาหารนั่นเป็นอาวุธเคมีชีวภาพนี่ น่าสนใจดีนะ”
ฮาเวิร์ดหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย “ถ้าเข้าใจผิดไปก็อย่าว่ากันนะ ผมก็ได้ยินเหมือนกันว่าหัวหน้าบาทหลวงของกลุ่มคุณหายหน้าไปเลยนี่ตอนปรมาจารย์หุ่นเชิดมุ่งหน้าไปยุโรป”
แล้วพระราชาคณะก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ปรมาจารย์หุ่นเชิดงั้นเหรอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เขาไม่มีค่าพอจะให้สนใจหรอก อีกอย่างเราสนใจมากกว่าว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปรมาจารย์หุ่นเชิด เรื่องนั้นน่าสนุกกว่าเยอะ”
“อย่าใช้คำพูดสวยหรูมากลบความกลัวของตัวเองเลย” ฮาเวิร์ดพูดเยาะเย้ย “ผมละเกรงว่าคุณจะฉี่ราดไปก่อนถ้าปรมาจารย์หุ่นเชิดเปิดเผยตัวขึ้นมา”
ในตอนนี้การต่อสู้กันระหว่างผู้นำกลุ่มฟีนิกซ์ กลุ่มนักบุญ และปรมาจารย์หุ่นเชิดในแอฟริกาใต้นั้นโด่งดังไปทั่วโลก ถึงจะไม่มีใครขึ้นเป็นผู้ชนะ แต่ความแข็งแกร่งของกลุ่มนักบุญก็โด่งดังไปทั่ว ทำให้กลุ่มฟีนิกซ์มีอิทธิพลอย่างมากในเวทีต่อสู้ระดับประเทศ
พระราชาคณะส่ายหัวและยิ้มออกมาเล็กน้อย “สักวันหนึ่งนายจะเข้าใจว่าเราอยากยืนอยู่ตรงไหน แต่ว่ากันจริงๆ เลยนะ น่าอายมากที่กลุ่มฟีนิกซ์อันโด่งดังหวาดกลัวอาหารจีนแบบนี้น่ะ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ฝ่ายศรัทธาก็เดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจกลุ่มฟีนิกซ์อีก พระราชาคณะมองขึ้นมาที่หลี่ว์ซู่แล้วยิ้มกว้างโชว์ฟันของเขา “เครือข่ายฟ้าเองก็เริ่มแย่แล้วเหมือนกันนะ”
แล้วเขาก็พาทั้งกลุ่มเดินไปที่วิลล่าที่ EO จัดหาไว้ให้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพวกเขาก็ได้กลิ่นแปลกๆ ลอยมาเตะจมูก แล้วอยู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนร้องโวยวาย “ศัตรูโจมตี!”
ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ว์ซู่ก็เปลี่ยนไป…