การเฉลิมฉลองในซาร์ดิเนียยังคงดำเนินต่อไปแต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจอะไรต่อไปแล้ว เขาต้องใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์รอจนกว่ากลุ่มจะมาถึงที่นี่แล้วค่อยไปปกป้องคอรัล
เขาประหลาดใจที่เห็นนักท่องเที่ยวจีนมาที่นี่กัน มีหัวหน้าไกด์คนจีนกำลังโบกธงสีส้มและพูดใส่ไมค์ออกลำโพงเสียงดังขณะที่คนอื่นกำลังเที่ยวชมกันอยู่
“ทุกๆ คนครับ และนี่ก็คือเทศกาลการแข่งม้าของซาร์ดิเนีย ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ไปสมัยก่อนล่ะก็…”
นักท่องเที่ยวจีนพวกนั้นมองดูกลุ่มคนกันอย่างสงสัย บางคนคงคิดว่าจะขอถ่ายรูปหรือขอสัมผัสพวกผู้มีพลังโดยจ่ายเงินสักสิบดอลลาร์ให้พวกเขาได้ไหม ในประเทศจีนนั้นไม่ค่อยจะได้เห็นผู้มีพลังได้ทั่วไปเท่าไหร่
แต่ก็ไม่ได้มีใครมารยาทแย่ขนาดเอามือไปสัมผัสผู้มีพลังหรอกนะ
ตอนนี้หลี่ว์ซู่เห็นแล้วว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานมาจากในหมู่ผู้คนที่เข้มข้นกว่านักแสดงพวกนั้นเสียอีก เขาใช้หางตากวาดมองรอบ ๆ เผื่อจะมีอะไรไม่ปกติเกิดขึ้น
พวกคนพวกนั้นไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศรื่นเริงที่นี่เท่าไหร่หรอกเพราะพวกเขาดูเหมือนเป็นผู้ชมที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับเทศกาลเลย
หลี่ว์ซู่เริ่มคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน มีผู้มีพลังมากกว่าสิบคนอยู่ตามถนนข้างชายฝั่ง แล้วพวกผู้ชมที่อยู่ตรงนี้จะมีกี่คนได้ล่ะ
นี่เป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้แล้ว หลี่ว์ซู่เริ่มจะคิดข้อสรุปออกแล้วโดยไม่รู้ตัว เขาไม่เชื่อหรอกว่าการรวบรวมพวกผู้มีพลังต่าง ๆ นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ
“มีอะไรแปลกๆ นะ” หลี่ว์ซู่รู้สึกเหมือนกับว่ามีชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์หายไป เกาะนี้ควรที่จะเป็นเกาะที่ไม่มีความสำคัญใด ๆ กับพวกผู้มีพลังสิ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมืองนี้นั้นเป็นเมืองที่เจริญพอสมควรเลย แถมการที่มีผู้มีพลังจากองค์กรขนาดใหญ่ปรากฏตัวกระจายอยู่รอบๆ ก็เป็นเรื่องน่าสงสัยทีเดียว
พวกเขามาทำอะไรกันที่นี่!
หลี่ว์ซู่ลองส่งข้อความไปหาโยวหมิงอวี่โดยแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร [นี่คุณปิดบังอะไรผมไว้หรือเปล่าครับเนี่ย ในซาร์ดิเนียนี่มันแปลก ๆ นะ ทำไมถึงมีผู้มีพลังจากองค์กรใหญ่ๆ เต็มไปหมดเลยล่ะ]
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านหน้าหลี่ว์ซู่ไป เขามองขึ้นไปแล้วก็ต้องประหลาดใจ นั่นมันฟรานเชสโก้นี่!
หลี่ว์ซู่ขยับตัวไม่ออกเลย ถ้าฟรานเชสโก้อยู่นี่ด้วยก็แปลว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นี่จริงๆ นั่นแหละ!
เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวแบบปกติและเขากำลังเดินสำรวจถนนที่แออัดแห่งนี้ เครื่องแต่งกายที่เขาใส่นั้นดูกลมกลืนกับพวกชุดแฟนซีต่างๆ ที่พวกคนจากซาร์ดิเนียใส่ในงานเทศกาลแบบนี้
ฟรานเชสโก้หันมามองหลี่ว์ซู่แวบหนึ่งตอนเขาเดินผ่านทำให้หลี่ว์ซู่ขนลุก ไม่ใช่เพราะเขากลัวหรอกนะ แต่เป็นเพราะหลี่ว์ซู่มั่นใจว่าจะเอาชนะฟรานเชสโก้ได้เพราะเขาได้เลื่อนขั้นเป็นระดับ B ระดับเดียวกับฟรานเชสโก้แล้ว และหลี่ว์ซู่เองก็มีไพ่ตายอยู่หลายใบซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของตัวเองด้วย
จุดนี้หลี่ว์ซู่ภูมิใจในตัวเองมาก บอกตรง ๆ
แต่ความภูมิใจของเขานั้นไม่ได้ทำให้ตัวเองตาบอดหรอก เพราะเขารู้ว่ามีหัวหน้าบาทหลวงระดับ A ที่ยังคอยหนุนหลังฟรานเชสโก้อยู่ ถ้าหลี่ว์ซู่โดนคนพวกนี้รังแกตอนอยู่ต่างประเทศล่ะก็เขาก็คงหาความช่วยเหลือจากที่ไหนไม่ได้เพราะเฉินไป่หลี่และหลี่เสียนอีอยู่ไกลเกินไปมาก!
แต่ฟรานเชสโก้ก็ไม่ได้แสดงความสนใจอะไรหลังจากมองผ่านเขาไป เขาเดินต่อไปบนถนนข้าง ๆ ชายหาด หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาปลอมตัวอยู่ในคราบหลี่เถิงในแอฟริกามาตลอด รวมถึงตอนที่เขาสู้กับฟรานเชสโก้ตอนนั้นเขาก็ปลอมเป็นฮาเวิร์ดด้วย ก็ถูกแล้วที่ฟรานเชสโก้จะจำเขาไม่ได้
หลี่ว์ซู่ก้มหัวลงต่ำอีกรอบ และทำเป็นไม่รู้จักฟรานเชสโก้ เขาก้มดูโทรศัพท์ตัวเองและแสร้งเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยว จากนั้นโยวหมิงอวี่ก็ตอบกลับมา [มีไฮโซชาวยุโรปคนหนึ่งกำลังจัดประมูลในซาร์ดิเนีย และหนึ่งในสินค้าก็มีตัวอย่างของต้นไม้แห่งโลกด้วย เดี๋ยวจะจัดอีกครั้งในสองอาทิตย์หน้า พวกคนจัดงานมาจากครอบครัวที่มีอิทธิพลในยุโรป แล้วพวกเขาก็อยากทำการค้าขายแลกเปลี่ยนผลปะทุพลังที่เหมาะกับเด็กในครอบครัวด้วย]
[แล้วคุณรู้ได้อย่างไรครับว่าสินค้าตัวอย่างเป็นต้นไม้แห่งโลก] หลี่ว์ซู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
[ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ามันเป็นกิ่งไม้ขนาดสามสิบเจ็ดเซนติเมตรน่ะ] หลี่ว์ซู่พูดไม่ออกเลย หลังจากนั้นเขาก็เลยถามไปอีก
[ถ้าเป็นต้นไม้แห่งโลกจริงๆ แล้วจะคุ้มกับผลปะทุพลังลูกเดียวเหรอครับ พลังที่แพงที่สุดในโลกในตอนนี้คงเป็นธาตุไฟฟ้า แต่ผลปะทุพลังธาตุไฟฟ้าผลเดียวก็ยังเทียบต้นไม้แห่งโลกยังไม่ได้เลยนะครับ]
การคำนวณนี้ง่ายจะตาย ผลปะทุพลังลูกเดียวนั้นมีค่าแค่หนึ่งในสามของกุงเนียร์เท่านั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวอย่างสินค้าด้วย เพราะกิ่งของต้นไม้แห่งโลกกิ่งเดียวก็ไม่ได้มีพลังเท่ากับกุงเนียร์
[ก็ไม่ได้จะแลกกับผลปะทุพลังผลเดียวหรอก]
[กี่ผลกันครับ]
[ยี่สิบสามผล เขามีลูกชายยี่สิบสามคนน่ะ]
หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย เพราะที่จีนมีนโยบายลูกคนเดียวมานานทำให้เขานึกไม่ออกเลยว่าคนคนหนึ่งจะมีลูกได้มากมายขนาดนั้น! ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม หลี่ว์ซู่เลยถามต่อ
[งั้นพวกองค์กรเล็กๆ ก็ไม่เข้าร่วมงั้นเหรอครับและก็มีแต่พวกองค์กรใหญ่ๆ งั้นสิ แต่ขนาดพวกองค์กรใหญ่ๆ เองก็ไม่น่ามีของเยอะขนาดนั้นนี่ครับ]
[พวกเขาบอกว่าหักกิ่งแบ่งกันขายก็ได้น่ะ…]
“สุดยอดไปเลย…” หลี่ว์ซู่พึมพำกับตัวเอง สำหรับเขาแล้วเมื่อก่อนต้นไม้แห่งโลกนั้นเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของที่เอาตัดแบ่งแล้วเอาไปชงชาได้เลย
ถ้าเอาไปทำแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะเป็นชาวิเศษเลยล่ะ แต่ใครจะทำแบบนั้นกันเล่า เสียของหมด!
ถึงความยาวของมันจะประมาณสามสิบเจ็ดเซนติเมตรเท่านั้น แต่ก็ยาวพอที่จะเอาไปทำด้ามกระบี่ล่ะนะ
แล้วในขณะนั้นก็มีเรือสำราญค่อยๆ เทียบเข้ามาที่ท่าเรือ หลี่ว์ซู่ที่ยืนไกลจากชายฝั่งก็สามารถเห็นผู้คนเดินลงมาจากเรือได้ มีบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครอยู่รอบตัวคนพวกนั้น แล้วพวกเขาก็ร่างกายสูงใหญ่กันมากด้วย ทั้งกลุ่มนั้นมีเด็กผู้หญิงเดินนำมา เธอมีเรือนผมสีเงินประกายทองปลิวไปตามลมทะเล เธอสวมชุดผ้าไหมสีเขียว ดูสวยงามอย่างกับว่าหลุดออกมาจากภาพวาด
หลี่ว์ซู่มองเธออยู่เงียบ ๆ ว่าไง… ไม่เจอกันนานนะคอรัล
เขามีความรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องพากลุ่มใหม่ของเขาไปสวีเดนอีกแล้วเพราะโยวหมิงอวี่ได้พูดถึงต้นไม้แห่งโลกมาแล้ว ที่จริงจุดหมายในตอนแรกของพวกเขาก็เป็นเกาะนี้นี่เอง คอรัลก็เลยมาที่นี่แน่ๆ สินะ
ถึงคอรัลจะไม่ต้องการตัวอย่างของต้นไม้โลก แต่ที่เธอมาปรากฏตัวที่นี่ก็เข้าใจได้ เพราะเธอเป็นเจ้าของของต้นไม้แห่งโลกอีกส่วนหนึ่งน่ะสิ
หลี่ว์ซู่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าพวกคนอื่นๆ จะไม่อยากได้กิ่งต้นไม้โลกส่วนอื่น ๆ
หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่ค่อยดีเลย ความรู้สึกลึกๆ ข้างในบอกเขาว่าเรื่องนี้มันจะไม่ง่ายแน่นอน ถึงการที่ฟรานเชสโก้และคอรัลมาปรากฏตัวที่นี่จะสมเหตุสมผลก็ตาม
หลี่ว์ซู่เดินกลับเข้าไปในฝูงชน ตอนนี้ตัวละครหลักก็มาถึงแล้ว งานของเขาตอนนี้ก็คือสังเกตเหตุการณ์ให้ได้ข้อมูลมากที่สุดก่อนกลุ่มจากเครือข่ายฟ้าดินจะมาถึง
ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องคิดให้ออกว่าพวกกลุ่มแก่นความเชื่อต้องการอะไร
แล้วทันใดนั้นลมก็เริ่มพัดแรง เหมือนกับว่าฟ้าถูกผ้าหลายๆ ชั้นปกคลุมไว้ ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้กลับหมองลงแล้วในพริบตาเดียว หลี่ว์ซู่มองไปที่ผิวน้ำทะเล พายุกำลังมานี่เอง