ถึงแม้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่กล้าเข้าไปที่ภูเขาจั่งไป๋ แต่เขาก็ยังจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในเมืองลั่ว แล้วเขา หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และเสี่ยวซยงสวี่ก็ผลัดกันดูกระทู้ของมูลนิธิอยู่ตลอด
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะพวกเขาจะต้องหนีไปให้ไกลถ้าความสามารถของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถูกเปิดโปงออกมา
ที่สำคัญก็ต้องดูด้วยว่าเครือข่ายฟ้าดินจะมีท่าทีอย่างไร หลี่ว์ซู่หวังว่าเครือข่ายฟ้าดินจะไม่เข้มงวดกับเขา ดังนั้นเขาก็ยังมีความหวังอยู่ว่าเครือข่ายฟ้าดินจะไม่รังเกียจอะไรเขา
แต่นั่นก็เป็นกรณีที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ล่ะนะ หลี่ว์ซู่หัวเราะไปกับความคิดนั้น เขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไรนะ เขาพยายามจะไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันอะไรมากกับองค์กรตั้งแต่แรกแล้วนี่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะเปิดเผยความสามารถของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ แต่พวกเขากลับเงียบและมองสถานการณ์ที่ปั่นป่วนไปของมันเอง
อย่างไรก็ตามก็ยังมีแนวโน้มต่อต้านมูลนิธิและเครือข่ายฟ้าดินในกระทู้มูลนิธิอยู่ไม่ขาดสาย
แม้แต่สมาชิกหลักของเครือข่ายฟ้าดินก็ตกใจที่ได้ยินเรื่องการจับวิญญาณเพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าความสามารถนี้มีอยู่จริง แต่สถานการณ์แบบนี้ยังไม่ถูกจดบันทึกว่ามีคนทำมาในอดีต
แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมและจำกัดการค้นหาให้แคบลงมาได้หลังจากเห็นรูปจากโบราณสถานเกาะช้าง มีคนเอารายชื่อของผู้บริหารระดับสูงที่เป็นสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินซึ่งเคยเขาไปในโบราณสถานมาก่อนมาเปิดเผยด้วย พวกเขาไม่สามารถชี้ตัวใครที่มีลักษณะตามระบุได้ ก็เลยสรุปกันว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเครือข่ายฟ้าดินเท่านั้น
อย่างไรก็ตามบางคนยังคงตั้งข้อสงสัย เพราะพวกเขาไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการซ่อนข้อมูลของคนที่เข้าไปในโบราณสถานไว้ อย่างเช่น หลี่ว์ซู่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และโยวหมิงอวี่
แล้วการพูดคุยทั้งหมดก็เงียบหายไป อย่างกับว่าผู้บริหารระดับสูงสั่งการมาให้หน่วยข่าวกรองเก็บข้อมูลให้ลับมากขึ้นไปอีก
หนึ่งวันก่อนการแข่งขันระหว่างวิทยาลัย เกิดมีชาวต่างชาติสองสามคนถูกจับอยู่ที่บริเวณรอบนอกของเทือกเขาจั่งไป๋ พวกเขาตามเส้นทางที่มีคนในกระทู้มูลนิธิแนะนำไว้ โดยเข้าเข้าไปในเทือกเขาจั่งไป๋หลังจากที่ผ่านเข้าท่าเรืออาร์เตม
ตอนแรกก็คิดว่าพวกเขาน่าจะโดนพวกนกกระจอกแดงหยุดไว้ แต่องค์กรนกกระจอกแดงกลับเก็บเงียบไม่ขอยุ่งกับเหตุการณ์นี้ อีกอย่างดูเหมือนว่าพวกเขาจะยอมให้คนกลุ่มนี้เข้าไปเพื่อรอดูว่าเครือข่ายฟ้าดินจะทำอย่างไร!
ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก เพราะเครือข่ายฟ้าดินไม่ปรานีกับคนที่กล้าล่วงล้ำพื้นที่เข้ามา พวกเขาหวังว่าเครือข่ายฟ้าดินอาจจะใช้วิธีที่นุ่มนวลในการจัดการผู้บำเพ็ญลับพวกนี้ก็ได้
เพราะฉะนั้นกลุ่มนกกระจอกแดงจึงตัดสินใจไม่ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเอง และพวกเขาก็ใช้คนพวกนี้มาลองเชิงเครือข่ายฟ้าดิน ที่จริงแล้วคนทั้งโลกกำลังจับตามองอยู่ว่าผู้บำเพ็ญลับเหล่านี้จะได้อะไรจากการล่วงเข้าไปในพื้นที่ของเครือข่ายฟ้าดินหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่จะกล้าดูสถานการณ์จากท่าเรืออาร์เตมเท่านั้น ในตอนนี้ก็มีข่าวจากกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เข้าไปในเทือกเขาจั่งไป๋มาแล้ว พวกเขาโพสต์รูปในกระทู้มูลนิธิว่าพวกเขาไปเจอพื้นที่หวงห้ามในภูเขา สถานที่นี้ไม่เพียงแต่ได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด แต่ยังติดตั้งแนวกระบี่ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และได้สังหารผู้บำเพ็ญลับไปแล้วหลายราย!
คนโพสต์เขียนว่าพวกเขาเสี่ยงชีวิตเข้ามาเพื่อไม่ให้เครือข่ายฟ้าดินจับได้
ยังบอกกันอีกว่าแนวกระบี่นั้นมีอยู่ 36 เล่มที่ถูกตรึงไว้ตามหุบเขา พวกเขาจะเปิดใช้งานเพื่อฆ่าทันทีเมื่อมีใครเข้าใกล้
แล้วบางคนก็บอกอีกว่าพวกเขารู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองมาจากก้นเหวเมื่อพวกเขาเดินผ่านหุบเขาอีกด้วย
สุดท้ายแล้วทั้งเทือกเขาจั่งไป๋และเครือข่ายฟ้าดินก็ต่างตั้งใจซ่อนบางสิ่งจากโลกใบนี้!
แล้วสมาชิกหลายคนในเครือข่ายฟ้าดินก็ไม่รู้เรื่องแนวกระบี่มาก่อนด้วย เนี่ยถิงเก็บความลับนี้ไว้กับตัวเองด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
มีความลับอยู่สองอย่างที่ราชันฟ้าของเครือข่ายฟ้าดินไม่สามารถเข้าไปดูได้ หนึ่งคือข้อมูลของหลี่ว์ซู่ และสองก็คือความลับข้างในเทือกของจั่งไป๋นี่แหละ…
อย่างไรก็ตามปัญหาก็อยู่ตรงที่ผู้คนหลายคนสงสัยว่าเครือข่ายฟ้าดินอยากจะได้ส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดของสมบัติเผ่าโบราณอี๋ในเทือกเขา เพราะพวกเขาปิดข้อมูลเหล่านี้ไว้อย่างแน่นหนา
แล้วทำไมเนี่ยถิงถึงไม่พูดอะไรออกมาเลยล่ะ นี่ดูเหมือนไม่ใช่ตัวเขาเลย!
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเนี่ยถิงจะปรากฏตัวอย่างเงียบๆ เหมือนผีและฆ่าทุกคนที่ล่วงล้ำพรมแดนของประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ดูมีความหวังสำหรับพวกเขาเลย ขนาดพวกระดับ C หลายคนยังถูกจับพร้อมกับผู้บำเพ็ญลับคนอื่นๆ ที่พยายามจะเข้าไปในเทือกเขาด้วย แต่ถึงอย่างไรหน่วยท้องถิ่นของเครือข่ายฟ้าก็เป็นคนเข้ามาจัดการเรื่องนี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตามเครือข่ายฟ้าดินก็ได้จัดตั้งทีมที่จะเข้าไปในเทือกเขาจั่งไป๋แล้ว ครั้งนี้คนหลายคนโดนเรียกไป อย่างกับว่าสงครามโลกผู้บำเพ็ญครั้งที่หนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้น
หลี่ว์ซู่สงสัยว่าเนี่ยถิงจะดึงความสนใจด้วยสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่านี้หรือเปล่านะ เพราะปกติเขาจะไม่ทนกับผู้บำเพ็ญต่างชาติที่พยายามจะล่วงล้ำอาณาเขตเข้ามาเลย
สุดท้ายแล้วการแข่งขันระหว่างวิทยาลัยก็เริ่มขึ้นด้วยความตึงเครียดอย่างหนัก และนักศึกษาของวิทยาลัยผู้บำเพ็ญทุกคนก็รู้เรื่องสิ่งผิดปกติที่เทือกเขาจั่งไป๋ด้วย
ขนาดจ้าวหย่งเฉินและโยวหมิงอวี่ก็พยายามโน้มน้าวให้หลี่ว์ซู่หยุดไปดูการแข่งขันแล้วไปที่ภูเขาจั่งไป๋แทนอย่างเร่งด่วน
ด้านหนึ่งคือพวกเขากังวลว่าหลี่ว์ซู่จะกลายเป็นปัจจัยที่อันตรายและเอาแน่เอานอนไม่ได้ถ้าเขายังอยู่ในวิทยาลัยต่อ และหลายๆ คนก็ลงความเห็นแล้วว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการการต่างประเทศแล้ว
ความแข็งแกร่งของหลี่ว์ซู่ยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่ในตอนนี้ กระนั้นโยวหมิงอวี่ จงอวี้ถัง จ้าวหย่งเฉินและห่าวจื้อเชาต่างเดากันว่าเขาเป็นรองแค่ระดับ A เท่านั้น และจะไม่มีใครเอาชนะเขาได้ด้วย
เพราะฉะนั้นภูเขาจั่งไป๋จะปลอดภัยถ้าหลี่ว์ซู่จะไปปรากฏตัวที่นั่น เพราะไม่มีระดับ A คนไหนไปที่นั่นด้วยตัวเองเลย
หลี่ว์ซู่เองก็สร้างชื่อเสียงไว้ไม่น้อยเมื่อเขาไปที่ซาร์ดิเนีย ดังนั้นทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นแค่คนปากไม่ดีเฉยๆ แต่ไม่ได้เป็นคนเลือดเย็นใจร้ายอะไร
แต่องค์กรอื่นๆ กลับไม่คิดอย่างนั้น หลี่ว์ซู่มือเปื้อนเลือดคนมามาก และพวกเขาก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่เป็นหนึ่งในคนที่อันตรายที่สุดในโลกของผู้บำเพ็ญ
หลายๆ คนจัดอันดับให้หลี่ว์ซู่เป็นตัวอันตรายอันดับสองในเครือข่ายฟ้าดิน และอยู่สูงกว่าเฉินไป่หลี่ด้วยซ้ำ…