ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 813 ตามล่า

ด้วยความที่หลี่ว์ซู่เป็นคนถ่อมตัว เขาเลยไม่ค่อยเก่งในเรื่องเก๊กหล่อสักเท่าไหร่ เพราะเขารู้สึกว่าเมื่อเก๊กแล้วเขาอาจจะดูเห่ยมากกว่าหล่อก็ได้  

 

 

พอเขาคิดฉากเหมาะ ๆ ที่จะเก๊กหล่อออก แต่หัวหน้ากลุ่มกลับไม่เข้าใจเขาซะงั้น!  

 

 

ข้อได้เปรียบของกลุ่มนี้ก็คือเครื่องแบบที่พวกเขาใส่และสีผิวที่ดูลอมตัวเนียนใช้ได้ แต่พวกเขาพูดภาษาจีนกันไม่ได้เลย ที่จริงแล้วพวกเขาก็พยายามหาคนจีนมาร่วมกลุ่มแล้ว แต่ไม่สำเร็จ  

 

 

คนในกลุ่มพอจะเข้าใจและพูดโต้ตอบเป็นภาษาจีนได้บ้าง แต่สำเนียงการพูดจะแปร่งและรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนจีนแน่ ๆ  

 

 

ดังนั้นคงจะดีกว่าถ้าลงทุนจ้างคนที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ใช่คนที่พูดภาษาจีนดีกว่า เพราะกลุ่มนี้ควรจะเอาชนะเครือข่ายฟ้าดินโดยไม่ถูกจับได้เนื่องจากแต่ละคนก็เก่ง ๆ ทั้งนั้น  

 

 

มีคนเดียวในทีมที่รู้ภาษาจีนเล็กน้อย เขาก้มหน้าเงียบอยู่นานก่อนจะแปลคำพูดของหลี่ว์ซู่เมื่อครู “เขาบอกว่าเราใส่เครื่องแบบนี้แล้วน่าเกลียด”  

 

 

หัวหน้ากลุ่มได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสับสนอย่างมาก  

 

 

“ที่เขาไล่เรามาตลอดก็เพราะเรื่องเครื่องแบบนี่น่ะเหรอ” อีกคนหนึ่งถามขึ้นมา การแปลผิด ๆ ของสมาชิกกลุ่มคนนั้นทำเอาทั้งกลุ่มเข้าใจผิดไปหมด “งั้นเราถอดเครื่องแบบออกกันดีไหม”  

 

 

หัวหน้ากลุ่มเหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา เมื่อทั้งสองพูดออกมาอย่างนี้ก็แปลว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในความกลัว  

 

 

แถมพวกเขากำลังจะถอดเสื้อผ้าออกเพราะกลัวโดนฆ่าเนี่ยนะ! น่าตลกจริง!  

 

 

อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทีเดียว  

 

 

ภาพเลือดสาดและความรุนแรงท่วมท้นกลับเข้ามาในหัวของทั้งกลุ่ม ทั้งภาพติดตาที่คนระดับ B สองคนถูกจับหักคอ ภาพกระแสน้ำโหมกระหน่ำ และภาพหน้าตาเคร่งขรึมของหลี่ว์ซู่  

 

 

“ถอยก่อน” หัวหน้ากลุ่มสั่งเสียงเรียบ “กลับค่าย!”  

 

 

ทุกคนในกลุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินคำสั่งนี้ เพราะไม่มีใครอยากจะเผชิญเด็กหนุ่มคนนั้นอีก  

 

 

ตอนนั้นเองหลี่ว์ซู่กำลังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง… ทำไมแต้มอารมณ์ถึงเข้ามาช้าอย่างนี้นะ!  

 

 

เขาควรจะได้แต้มอารมณ์มาทันทีหลังจากพูดตอกหน้าพวกเขาไปไม่ใช่เหรอ  

 

 

จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เพิ่งจะมานึกออกว่าคนพวกนี้ไม่เข้าใจภาษาจีนนี่เอง!  

 

 

ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน!  

 

 

แล้วคนที่ปลอมตัวเป็นเครือข่ายฟ้าดินจะไม่รู้ภาษาจีนได้ยังไงกัน หลี่ว์ซู่โกรธจัดเข้าไปใหญ่!  

 

 

อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่ก็บาดเจ็บเล็กน้อยมาจากการสู้ที่บ่อน้ำ แต่ถือว่าคุ้มที่ได้ตัดกำลังของคนกลุ่มนั้นไปบ้าง  

 

 

ที่หลี่ว์ซู่ล่อกลุ่มนี้ให้ไล่ตามเขามาไม่ใช่แค่เพื่อจะฆ่าคนทั้งกลุ่มอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาสนใจพลังของแต่ละคนต่างหาก  

 

 

การต่อสู้ในต่างประเทศนั้นเป็นข้อได้เปรียบ เพราะคนอื่นจะไม่รู้ว่าแต่ละคนมีความสามารถอะไร ผู้คนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่าศัตรูเป็นผู้มีพลังธาตุน้ำแต่ที่จริงแล้วเขาอาจเป็นธาตุไฟก็ได้  

 

 

และถ้าต้องมากลัวว่าศัตรูจะซ่อนไม้ตายอะไรอยู่ตลอดการต่อสู้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ยกเว้นว่าศัตรูคนนั้นจะมีพลังไร้สาระอย่างความสามารถในการกินจุของเฉินจู่อาน…  

 

 

ตั้งแต่ยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนมานี่เครือข่ายฟ้าดินได้ผลักดันให้สมาชิกทุกคนใส่เครื่องแบบในการบำเพ็ญฝึกฝนเพื่อดึงศักยภาพที่มากที่สุดออกมาผ่านการใช้เคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียร ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าเมื่อผู้บำเพ็ญอยู่ในบริเวณที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูงจะเก่งกว่าผู้บำเพ็ญในบริเวณอื่น ๆ จึงค่อย ๆ หายไป  

 

 

สมาชิกรุ่นใหม่ของกลุ่มฟีนิกซ์จึงไม่เก่งเท่าสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินเพราะสมาชิกของกลุ่มฟีนิกซ์ยังไม่เข้าถึงการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่  

 

 

อีกอย่างเครือข่ายฟ้าดินมีความโดดเด่นในการต่อสู้เป็นกลุ่มมากกว่า เพราะถ้าคนระดับ D ธรรมดาไม่วิธีที่ศัตรูใช้ให้ดี ก็อาจจะทำให้เสียเปรียบในการต่อสู้เป็นอย่างมาก และในสถานการณ์นี้มีดบินจะใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้ว่าคนที่อันตรายที่สุดในกลุ่มก็คือผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ไม่ว่าตอนนี้เขาจะวางแผนซุ่มโจมตีหรือหนี เขาก็ทำให้หลี่ว์ซู่ปวดหัวอยู่พอควร  

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่รู้ได้ทันทีว่ากลุ่มนี้กำลังจะหนีกลับไปที่หลังพยัคฆ์ เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่เลยตามพวกเขาไปเงียบ ๆ และยังต้องระวังว่าคนกลุ่มนี้จะวางกับดักอะไรรอเขาอยู่หรือเปล่า  

 

 

น่าแปลกที่หลี่ว์ซู่เดาถูกว่าคนกลุ่มนิ้อยากจะถอยกลับกันไปก่อน  

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่จะปล่อยให้ทำอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ เขาเสียแรงล่อพวกเขาออกมาขนาดนี้!  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่จะทำทีใจเย็น เขาตามคนกลุ่มนี้ไปอย่างไม่เร่งร้อน ถึงแม้ว่าอาจจะมีคนเห็นร่องรอยของเขาในป่าก็ตามเถอะ หลี่ว์ซู่สามารถหาคนกลุ่มนี้เจอได้ด้วยการใช้พลังการรับรู้พลังจิตวิญญาณได้  

 

 

คนกลุ่มนี้ปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมา และสามารถดักจับได้ง่ายเหมือนกับพวกเขาเป็นแสงไฟในความมืดเลยทีเดียว  

 

 

พอตกดึกแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะลดความเร็วลงเลย พวกเขาอยากข้ามแม่น้ำขั้นบันไดไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายถ้าจะต้องสู้กับหลี่ว์ซู่ใกล้แหล่งน้ำ  

 

 

อีกอย่างถ้าพวกเขาข้ามผ่านแม่น้ำขั้นบันไดไปได้ก็จะไม่มีแหล่งน้ำใหญ่อื่นอีกจนกว่าจะถึงค่ายหลังพยัคฆ์ ฉะนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าหลี่ว์ซู่จะแอบซุ่มโจมตีในน้ำอีกหรือเปล่า  

 

 

ในตอนนั้นเองหัวหน้ากลุ่มก็พูดขึ้นมา “เราน่าจะเลี่ยงแม่นขั้นบันไดไปซะ เลือกทางอ้อมดีกว่าไปเสี่ยงเอาอย่างนั้น เขาน่าจะไปดักซุ่มเราอยู่ที่นั่นแล้ว เขาแข็งแกร่งกว่าเรามาก แข็งแกร่งกว่าฉันเสียอีก เขาคงไปถึงที่นั่นก่อนเราแน่!”  

 

 

ระหว่างที่สมาชิกในกลุ่มกำลังเร่งไปข้ามแม่น้ำก็  

 

 

สมาชิกในกลุ่มคนอื่น ๆ ก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน พวกเขาอยากจะข้ามแม่น้ำให้เร็วที่สุด แต่ทุกคนก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มแล้ว จึงเห็นว่าที่หัวหน้ากลุ่มพูดมาก็มีเหตุผล  

 

 

“เราไม่ควรจะถอยกลับไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านะ ถ้าเราหมดแรงก่อนระหว่างการเดินทางก็คงแพ้ให้เขาแน่ พวกเรานอนเอาแรงก่อนออกเดินทางไกลกันเถอะ ฉันว่าเขาวางแผนดักรอพวกเราที่แม่น้ำขั้นบันไดแน่ ๆ เพราะแหล่งน้ำเป็นที่ได้เปรียบของเขา” หัวหน้ากลุ่มแนะนำ  

 

 

สมาชิกคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับเขาเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็เจอที่โล่งกว้างเหมาะ ๆ ในการใช้พักผ่อนสำหรับคืนนี้  

 

 

เมื่อผ่านไปสักครู่ หัวหน้ากลุ่มก็ปวดปัสสาวะขึ้นมา ไม่มีใครเสนอตัวจะไปกับเขา ถึงแม้ว่าพวกเขารู้กันเต็มอกว่าการอยู่คนเดียวจะทำให้ถูกเล็งเป้าโจมตีได้ง่าย แต่ทุกคนหวังอยู่ลึก ๆ ว่าหัวหน้าระดับ B จะไปสู้กับเด็กหนุ่มคน พวกเขาจะได้สบโอกาสนั้นหนีไป  

 

 

ถึงอย่างไรแล้วคนระดับ B คงไม่ตายเร็วนักหรอก  

 

 

แต่แล้วผู้มีพลังธาตุลมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างผิดปกติ มีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาที่พวกเขาอย่างรวดเร็วจนอากาศสั่นสะท้านมาจากทางตะวันตก!  

 

 

เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ตามหัวหน้ากลุ่มไป แต่เขาเลือกมากำจัดพวกเขาห้าคนก่อนต่างหาก!  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset