ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 834 การประชุมในความมืด

เฉินจู่อานนั่งอยู่ในศูนย์บัญชาการด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อเวลาผ่านไป ป้อมปราการหลังพยัคฆ์ก็กลายเป็นป้อมปราการสำคัญ นอกเหนือจากโครงสร้างป้องกันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในบริเวณรอบนอกแล้ว แม้แต่ระบบบำบัดน้ำเสียใต้ดินก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์

 

 

เพื่อป้องกันผู้บุกรุกธาตุดิน ในช่วงสองวันที่ผ่านมาจึงมีการเพิ่มผงโลหะเข้าไปเป็นส่วนประกอบในอาคารที่มีอยู่ทั้งหมด จากพื้นดินลาดชัน บัดนี้ได้กลายเป็นพื้นปูนซีเมนต์ผสมโลหะเพื่อเสริมให้ป้อมปราการแข็งแกร่งมากขึ้น

 

 

แต่สำหรับเฉินจู่อานและราชันฟ้าส่วนใหญ่แล้ว สิ่งใดล้วนไม่สำคัญ พวกมันสมองของเครือข่ายฟ้าดินไม่ใช่นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เช่นเดียวกับความเป็นจริงที่ว่าราชันฟ้าก็ไม่ใช่ผู้บัญชาการที่ดีเช่นกัน

 

 

การมีความสามารถในเชิงกลยุทธ์ด้านคำนวณของพวกเขา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสามารถในทุกๆ ด้าน ในทางกลับกัน พวกเขากลับทำได้เฉพาะเรื่องที่ตนเองถนัดและเชี่ยวชาญเท่านั้น

 

 

ขณะที่ทุกคนในศูนย์บัญชาการกำลังยุ่งอยู่กับงานของตนเอง น่าหลานเชวี่ยชวนหลี่อีเสี้ยวไปดูป้อมปราการหลังพยัคฆ์แห่งใหม่ด้วยกัน แต่หลี่อีเสี้ยวปฏิเสธเธอ

 

 

จากนั้นการโต้เถียงของพวกเขาก็เริ่มบานปลายจนไปสู่การต่อสู้กันที่ด้านนอกศูนย์บัญชาการ…ผลก็คือหลี่อีเสี้ยวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้…

 

 

“ฉันไม่ได้อ่อนแอกว่าเธอ” หลี่อีเสี้ยวตะโกน “ฉันแค่ไม่อยากทำร้ายเธอ! ในฐานะสุภาพบุรุษ ฉันต้องดูแลเธอ!”

 

 

ในท้ายที่สุด น่าหลานเชวี่ยก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้หลี่อีเสี้ยวออกไปเดินเล่นกับเธอได้ จริงๆ แล้วเธอก็แค่อยากมีเวลาอยู่ตามลำพังกับเขาบ้าง แต่เจ้าคนปัญญาทึบกลับไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย

 

 

หลังจากที่น่าหลานเชวี่ยหุนหันออกไปคนเดียวแล้ว หลี่อีเสี้ยวก็นั่งอยู่คนเดียวด้วยใบหน้าอมทุกข์ เฉิงชิวเฉี่ยวรู้สึกขบขัน “ราชันฟ้าหลี่ ทำไมถึงทำหน้าเศร้าล่ะ พี่สาวน่าหลานรักท่านมากนะ บางครั้งถ้าท่านยอมฟังเธอบ้าง อะไรๆ ก็คงง่ายขึ้น”

 

 

หลี่อีเสี้ยวส่ายหัว “เด็กอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ฉันไม่เคยชนะในการทะเลาะกับเธอได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าจะหยุดไม่ให้เธอทำให้ฉันปวดหัวได้ยังไง”

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวครุ่นคิดอยู่นานจึงพูดว่า “อันที่จริงผมมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ท่านอยากลองดูไหม”

 

 

ดวงตาของหลี่อีเสี้ยวสว่างวาบ “เพราะนายเป็นเพื่อนที่ดีของหลี่ว์ซู่ ดังนั้นในหัวนายจะต้องมีแต่ความคิดที่ไม่ดีแน่ๆ!”

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองไปที่หลี่อีเสี้ยวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ว่าไงนะ?”

 

 

นั่นทำให้โยวหมิงอวี่รู้สึกเครียดขึ้นมา เขาจะทำอะไรได้ถ้าคนกลุ่มนี้เกิดต่อสู้กันในป้อมปราการ พวกเขาจะช่วยทำตัวดีๆ กันหน่อยไม่ได้เลยเหรอ ได้โปรดเถอะ

 

 

“เอาล่ะ” หลี่อีเสี้ยวพยายามอธิบายทันที “ฉันยอมรับว่าหลี่ว์ซู่ฉลาด แต่เขาใช้มันสมองทั้งหมดของเขาไปกับการเยาะเย้ยล้อเลียนฉัน พวกนายรู้ไหมว่าเงินในกระเป๋าของฉันลดลงเหลือแค่ยี่สิบเหรียญ ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ! ทีนี้ชิวเฉี่ยว ลองบอกวิธีเอาคืนผู้หญิงคนนั้นมาสิ!”

 

 

ฉิงชิวเฉี่ยวตอบด้วยรอยยิ้ม “เขวี้ยงแก้วลงบนพื้น ถ้าเธอเงียบ ทั้งหมดก็เรียบร้อย!”

 

 

“เดี๋ยวนะน้องชายชิวเฉี่ยว” หลี่อีเสี้ยวไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด “แล้วถ้าเธอไม่ยอมเงียบล่ะ ฉันจะไม่ตกอยู่ในอันตรายเหรอ”

 

 

“ในกรณีนั้น ท่านก็แค่คุกเข่าลงบนชิ้นส่วนของแก้วที่แตกในทันที เท่านี้ก็เรียบร้อยเหมือนกัน…”

 

 

หลี่อีเสี้ยวรู้สึกพูดไม่ออก

 

 

เขาใช้เวลาสักพักในการรวบรวมสติ “นี่นายก็กำลังล้อเลียนฉันเหมือนกันใช่ไหม!”

 

 

ในช่วงเวลาก่อนที่สงครามจะเริ่มอย่างเป็นทางการ ภายในป้อมปราการหลังพยัคฆ์กำลังคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ

 

 

ทั้งสองฝ่ายมีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหล่าองค์กรต่างประเทศมาที่นี่เพื่อการต่อสู้เท่านั้น พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจะเป็นของเครือข่ายฟ้าดินหรือของพวกเขาเอง

 

 

ในทางกลับกัน สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว พวกเขาเขียนไว้ในแผนกลยุทธ์แรกของพวกเขาอย่างชัดเจนว่าจะสร้างป้อมปราการที่ไม่มีใครเทียบได้บนหลังพยัคฆ์ ข้อความนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘เราจะสู้กลับหากคุณกล้าทำร้ายเรา’

 

 

ในขณะเดียวกัน องค์กรต่างๆ ได้ตั้งค่ายของตนห่างจากป้อมปราการหลังพยัคฆ์ไปกว่าสิบกิโลเมตร ซึ่งค่ายของพวกเขามีความยาวมากกว่าสิบกิโลเมตร แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงสัญญาณการโจมตีแต่อย่างใด

 

 

ในช่วงเวลานี้ เนี่ยถิงขังตัวเองอยู่ในห้อง เขาพยายามคิดหาทางสายกลาง และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

 

ไม่ว่าในกรณีใด ชัยชนะที่สร้างขึ้นจากการทำลายล้างโลกใบนี้ ก็ถือเป็นความล้มเหลวด้วยเช่นกัน

 

 

ผู้คนหลายพันล้านคนอาจพินาศด้วยคมกระบี่ของเขา ผลที่ตามมานี้รุนแรงเกินกว่าจะทนรับได้

 

 

อย่างไรก็ตาม หากเขาถูกกดดันจนไร้ทางเลือก เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อรับประกันการอยู่รอดของเครือข่ายฟ้าดิน แต่เขาก็ไม่อยากทำเช่นนั้นหากมีทางเลือกอื่น

 

 

ถึงอย่างนั้นบางองค์กรก็ยังคงทดสอบขอบเขตของพวกเขา หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจน

 

 

หากไม่มีการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้คนเช่นเฉินจู่อานและเฟิงเยี่ยหมิงก็ไม่มีอะไรทำ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติในฐานะสมาชิกระดับมันสมอง เพราะกลยุทธ์ของพวกเขามักใช้ไม่ได้ผล

 

 

ด้วยเหตุนี้ งานเดียวหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือการรอให้ป้อมปราการเสร็จสมบูรณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับคำสั่งเพิ่มเติม

 

 

ทันใดนั้นเฉินจู่อานก็ตะโกนว่า “มีสัญญาณ! แต่เดี๋ยวนะ หอส่งสัญญาณเริ่มใช้งานแล้วเหรอ”

 

 

ขณะนั้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชั่วคราวและเครื่องผลิตประปาก็พร้อมใช้งาน การก่อสร้างป้อมปราการทั้งหมดดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบราวกับว่าเครือข่ายฟ้าดินมีความรู้มากมายเกี่ยวกับวิธีการสร้างป้อมปราการชั่วคราวในถิ่นทุรกันดาร

 

 

ในช่วงเวลาแห่งความสงบ เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อแผนฉุกเฉินในช่วงวิกฤต การสร้างป้อมปราการให้เสร็จอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบเป็นไปได้เนื่องจากการออกแบบและการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำโดยบรรพบุรุษของพวกเขาเมื่อนานมาแล้ว

 

 

เฟิงเยี่ยหมิงกะพริบตาอย่างตื่นเต้นขณะจ้องมองสิ่งก่อสร้างตรงหน้า จากนั้นเขาก็เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมั่นใจและเล่นเกมกับผู้เล่นออนไลน์คนอื่นๆ เพื่อทดสอบทักษะของเขาที่ฝึกฝนมากับคอมพิวเตอร์ แต่เขาแพ้เกมด้วยจำนวนการฆ่าเป็นศูนย์และทีมของเขาเองเสียชีวิตถึงยี่สิบคน…

 

 

เขาได้รับคำสบประมาทและคำก่นด่าจากสมาชิกในทีมอย่างไม่รู้จบ…

 

 

ในขณะเดียวกัน เฉินจู่อานเล่นได้เพียงโทรศัพท์ของเขาเท่านั้น เนื่องจากเขาไม่ได้นำแล็ปท็อปมาด้วย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมองและบอกโยวหมิงอวี่ว่า “ป้อมปราการไม่ควรถูกสร้างขึ้นที่นี่ จริงๆ นะ”

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวตกตะลึง “ทำไมล่ะ?!”

 

 

“ที่ตั้งของที่นี่ไม่เป็นมงคล!” เฉินจู่อานกล่าวอย่างหนักแน่น

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวรู้สึกงงงวย “อะไร นายรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายมีความรู้เรื่องศาสตร์การจัดวางพื้นที่ด้วย!”

 

 

“จริงๆ นะ ฉันทำเงินหายไปสองหมื่นเหรียญภายในเวลาเพียงห้านาที” เฉินจู่อานตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวพูดไม่ออก

 

 

“ฉันสงสัยว่าองค์กรอื่นๆ กำลังทำอะไรกันอยู่ ก็แค่ตัดสินใจมาว่าจะสู้หรือยอมแพ้! ทำไมพวกเขาถึงยืดเวลาออกไปแบบนี้” เฉินจู่อานบ่นอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

ในความคิดของเขา พวกเราควรหยุดเสียเวลาและกำจัดศัตรูทั้งหมดในเชิงรุก

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าความคิดของเขานั้นไม่อยู่บนความเป็นจริงเพียงใด เพราะการปกป้องป้อมปราการและการชนะในการต่อสู้นั้นเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน

 

 

ในขณะเดียวกัน ความเงียบกำลังปกคลุมไปทั่วเต็นท์ที่ใหญ่ที่สุดในที่ตั้งค่ายขององค์กรต่างชาติ ที่นั่นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา มันคือศูนย์บัญชาการของกลุ่มฟีนิกซ์ และการประชุมที่นำโดยกลุ่มฟีนิกซ์ก็กำลังดำเนินอยู่ภายใน

 

 

ภายในเต็นท์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับให้แสงสว่าง ผู้คนที่อยู่ด้านในอาศัยเพียงแสงจากภายนอกเท่านั้น ผู้นำขององค์กรต่างๆ นั่งอยู่ข้างโต๊ะยาวในความเงียบ ใบหน้าและการแสดงออกของพวกเขาดูพร่ามัวภายใต้ความมืด

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset