ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 839 ข้อโต้แย้ง 18 ปี

“ออกมาเถอะอาร์เคน ฉันรู้ว่านายดูอยู่”  

 

 

คลาวด์อีและพยัคฆ์จื๋อรอให้คนที่ถูกกล่าวถึงปรากฏตัว จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความมืด “ฉันติดอยู่ในโลกใบเล็กๆ ภายในต้นไม้แห่งโลก ฉันออกไปไม่ได้ ทำไมพวกเธอถึงเอาแต่ตามหาฉันล่ะ พวกเธอไม่รู้เหรอว่าราชาองค์เก่าลงโทษฉัน ฉันถึงต้องมาล้างมลทินอยู่ที่นี่”  

 

 

คลาวด์อีถามอย่างนุ่มนวล “เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอกในขณะนี้หรือเปล่า?”  

 

 

อาร์เคนหัวเราะเบาๆ “นี่เธอกำลังพยายามทดสอบฉัน หรือกำลังปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า ตอนนี้ปรมาจารย์หุ่นเชิดที่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในโลกภายนอกก็มีแค่พวกเธอสองคน แล้วแบบนี้จะมีใครอื่นอีกที่รู้ความลับของโลกใบนี้ อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าฉันหลุดพ้นจากการลงโทษของราชาองค์เก่าแล้ว นี่มันจะตลกเกินไปแล้ว! ไม่มีใครที่จะทรงพลังขนาดทำแบบนั้นได้ และแน่นอนว่าฉันก็ทำไม่ได้เช่นกัน”  

 

 

คลาวด์อีขมวดคิ้ว “ถ้าไม่ใช่เธอ ทำไมเป้าหมายของพวกนั้นถึงชัดเจนนักล่ะ สงครามไม่ควรมุ่งเป้าไปที่เครือข่ายฟ้าดินโดยเฉพาะ”  

 

 

อาร์เคนหัวเราะเบาๆ “ขอฉันถามอะไรเธอสักอย่าง ในคืนฝนตกเมื่อสิบแปดปีก่อน เธอเดินทางหลายพันลี้ไปตามเทือกเขาจั่งไป๋ ฉันอาจจะไม่เข้าใจชะตากรรมของเธอ เพราะฉันไม่ใช่คนที่ถูกตามล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัยมาตลอด…เธอแน่ใจเหรอว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดคนอื่นๆ ตายหมดแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาเธอนะ แต่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ เหรอ”  

 

 

ฉันแน่ใจรึเปล่าว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดคนอื่นๆ ตายหมดแล้วจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?  

 

 

คลาวด์อีไม่ตอบ เมื่อหลายปีก่อน ปรมาจารย์หุ่นเชิดเจ็ดคนออกจากสถานที่แห่งหนึ่งพร้อมด้วยภาระอันหนักอึ้ง ในท้ายที่สุด สองในเจ็ดคนตายที่นั่น ส่วนอีกห้าคนที่เหลือเดินทางมาถึงโลกมนุษย์ แต่เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่ามีปรมาจารย์หุ่นเชิดเพียงสี่คนเท่านั้นที่เดินทางมายังโลกมนุษย์ เพราะอาร์เคนไม่เคยเปิดเผยตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขามีทั้งหมดห้าคน  

 

 

และห้าคนนั้นก็คือ คลาวด์อี พยัคฆ์จื๋อ เล่ยเจวี๋ย เจ๋อเมิ่ง และอาร์เคน  

 

 

ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อที่ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนมอบให้พวกเขา ดังนั้นชื่อจริงๆ ของพวกเขาจึงถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ปรมาจารย์หุ่นเชิดทุกคนมีเรื่องราวส่วนตัวในอดีตที่ไม่อยากหวนนึกถึง และพวกเขาก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่กับชื่อใหม่ที่ได้รับนี้  

 

 

อาร์เคนกล่าวว่า “เล่ยเจวี๋ยจากไปเมื่อเขาวางราชาองค์ใหม่ไว้ที่หน้าประตูของครอบครัวหนึ่ง แต่ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นเขา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงราชาองค์ใหม่คงตายไปแล้ว แต่ถ้าเป็นเจ๋อเมิ่งล่ะ เขาตายต่อหน้าเธอจริงเหรอ”  

 

 

คลาวด์อีพยายามนึกถึงเศษชิ้นส่วนความทรงจำในอดีต เจ๋อเมิ่งรั้งอยู่ที่นั่นคอยขัดขวางพวกมูลนิธิ เพื่อที่สองคนในพวกเขาจะได้มีเวลาหนี  

 

 

จริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเจ๋อเมิ่งถูกฆ่าตายในการต่อสู้จริงหรือไม่ พวกเขาพยายามตามหาร่องรอยของเรื่อนี้มาตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา แต่โชคก็ไม่เข้าข้างพวกเขาเลย แม้แต่พวกมูลนิธิก็ไม่อาจให้คำตอบเพื่อยืนยันเรื่องนี้ได้  

 

 

“อย่างที่ฉันเพิ่งพูดไป พวกมูลนิธิรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเราได้อย่างไร เธอเคยคิดไหมว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่ใครบางคนกลับมายังดินแดนแห่งบรรพบุรุษนี้ก่อนหน้าพวกเรา?!” น้ำเสียงของอาร์เคนเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “เมื่อไม่นานมานี้ ฉันคิดซ้ำไปซ้ำมาถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่เกิดขึ้นในปีนั้น จากนั้นฉันถึงเข้าใจว่าเจ๋อเมิ่งทำตัวผิดปกติในตอนที่พวกเราบุกทะลวงป้อมปราการ ในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดอย่างดี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาลดระดับพลังของเขาลง”  

 

 

ความเศร้าพาดผ่านใบหน้าของพยัคฆ์จื๋อ “พวกเราเคยมีช่วงเวลาที่งดงามด้วยกัน แต่ตอนนี้พวกเรากลับตั้งคำถามซึ่งกันและกันเสียแล้ว”  

 

 

แต่คลาวด์อีมีจิตใจที่หนักแน่นกว่าอีกสองคนที่เหลือ ก่อนที่เธอจะเดินออกไป เธอกล่าวว่า “ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร เขาจะต้องชดใช้ การกลับมาของราชาองค์ใหม่จะไม่มีทางสมบูรณ์หากปราศจากเลือด”  

 

 

…  

 

 

วันที่ 1 สิงหาคม เทือกเขาจั่งไป๋ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเมื่อความร้อนแผ่ออกมาจากพื้นดินว่างเปล่าภายใต้ดวงอาทิตย์ แต่ที่นี่ก็ยังคงหนาวเย็นในตอนกลางคืน  

 

 

ป้อมปราการที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินหลังพยัคฆ์ จากที่ไกลๆ มันดูคล้ายกับงานศิลปะชิ้นเอก ขอบที่แหลมคมแสดงถึงพลังและความแข็งแกร่ง   

 

 

ในขณะเดียวกัน สมาชิกของอาณาจักรมืดกำลังเดินทางออกจากฐานทัพชั่วคราวเพื่อไปยังสถานที่หนึ่ง ราวกับว่าพวกเขามีงานอื่นรออยู่เบื้องหน้า  

 

 

พวกเขาเดินทางผ่านภูมิประเทศที่เป็นลูกคลื่นอย่างช้าๆ และตั้งใจรักษาระยะห่างจากป้อมปราการหลังพยัคฆ์ พวกเขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังจุดศูนย์กลางของเทือกเขาจั่งไป๋  

 

 

“พวกเราควรเลือกเส้นทางที่สั้นกว่านี้” สมาชิกคนหนึ่งในทีมบ่นขึ้นมา  

 

 

“อดทนหน่อย” ชายอีกคนหนึ่งตอบ “ถึงแม้เสินฉังจิ้งอาจจะไม่เคลื่อนไหวโดยบุ่มบ่ามเพราะเขาต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ของโลก แต่คลื่นพลังงานในรัศมีที่ห่างจากเขาหลายร้อยลี้ ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของเขาได้ นี่เป็นหนึ่งในความลี้ลับของเสินฉังจิ้ง ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆ ฉันรอมาเป็นสิบปีแล้ว รออีกแค่ไม่กี่วันก็คงไม่เป็นไร”  

 

 

นั่นทำให้ทุกคนในทีมตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นผู้เป็นหัวหน้าก็หยุดเดินและเพ่งมองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ “ทุกสิ่งใกล้จะจบลงแล้ว”  

 

 

…  

 

 

ป้อมปราการหลังพยัคฆ์มีรูปลักษณ์ที่พิเศษ มันตั้งตระหง่านอยู่บนเทือกเขา และดูเหมือนจะกลมกลืนไปกับเนินลาดชัน  

 

 

ป้อมปราการแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยกำแพงที่สูงมาก เหล่าวิศวกรทำการคำนวณทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้แน่ใจว่ากำแพงสูงพอที่จะกันไม่ให้พวกระดับ C ขั้นสูง ข้ามผ่านมาได้  

 

 

แต่การวางระบบป้องกันก็กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระดับพลังเฉลี่ยของศัตรูเพิ่มขึ้น เครือข่ายฟ้าดินพิจารณาถึงเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาสกัดหินและตัดต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียงออกทั้งหมด  

 

 

หากจะพูดในแง่ของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำเช่นนี้ถือเป็นการทำลายระบบนิเวศในท้องถิ่น แต่ความอยู่รอดของมนุษย์มักจะมาก่อนความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเสมอ  

 

 

ขณะที่นั่งอยู่ในศูนย์บัญชาการ หลี่อีเสี้ยวก็พูดขึ้นมาว่า “จากที่ฉันเห็น พวกผู้บำเพ็ญลับดูจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อต่อสู้กับพวกเราสักเท่าไร ดังนั้นทำไมเราไม่ลองโน้มน้าวให้คนพวกนั้นมาเข้าร่วมกับเราล่ะ”  

 

 

“อยู่บนความเป็นจริงหน่อย” น่าหลานเชวี่ยแย้ง “นายมีอะไรที่จะเสนอให้คนพวกนั้นเหรอ นายจะใช้อะไรโน้มน้าวให้พวกเขายอมเข้าร่วมกับเครือข่ายฟ้าดิน”  

 

 

“ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังอดอยากเหรอ ก็แค่ให้พวกเขาเข้ามา แล้วเราก็ให้อาหารแก่พวกเขา!” หลี่อีเสี้ยวกล่าว  

 

 

“นายโง่หรือเปล่า นายจะให้คนหนึ่งแสนคนเข้ามาอยู่ในป้อมปราการนี้ทั้งหมดได้อย่างไร นอกจากนี้คือนายจะไม่มีทางรู้เลย หากว่ามีผู้มีพลังจากองค์กรใหญ่ๆ หลายพันคนแอบแฝงตัวเข้ามา พอถึงตอนนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันศัตรูจากภายนอกแล้ว เพราะศัตรูได้เข้ามาอยู่ข้างในแล้วอย่างไรล่ะ โดยส่วนตัวฉันยินดีที่จะเห็นพวกเขาตายอยู่ข้างนอกนั่นมากกว่า” น่าหลานเชวี่ยกล่าวด้วยท่าทางดูถูก “โปรดเก็บสมองของนายเอาไว้สำหรับคิดหาวิธีใหม่ๆ ในการซ่อนกระเป๋าเงินลับของนายดีกว่า”  

 

 

เฉินจู่อานพูดขึ้นมาว่า “ฉันสงสัยว่าตอนนี้พี่ซู่อยู่ที่ไหน อันที่จริงพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องกลยุทธ์การต่อสู้เลย เพราะคนอย่างโยวหมิงอวี่และห่าวจื้อเชาสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีอยู่แล้ว สำหรับการวางกลยุทธ์แล้ว พวกเราก็ถือเป็นแค่คนธรรมดา แต่พวกมันสมองน่ะถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉันอยากรู้มากกว่าว่าตอนนี้พี่ซู่เป็นอย่างไรบ้าง”  

 

 

ในตอนนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ หลี่ว์ซู่ และเฉาชิงฉือไม่อยู่ในศูนย์บัญชาการ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน นั่นทำให้เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวเป็นเพียงสองคนที่เป็นนักเรียนในสาขาวิจัยสายพันธุ์ที่อยู่ที่นี่ และตอนนี้เฉินจู่อานเสียเหรียญในเกมไปจนหมดแล้ว อะไรๆ ก็เลยดูน่าเบื่อไปเสียหมด…  

 

 

“เก็บความกังวลไว้ใช้กับตัวนายเองเถอะ” เฉิงชิวเฉี่ยวกล่าว “ตอนนี้พี่ซู่สามารถหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย หลังจากที่เขาฆ่าพวกระดับ B ไปถึงเจ็ดคนในคราวเดียวที่ท่าเรืออาร์เตม เขาไม่ต้องการความเป็นห่วงจากนายหรอก”  

 

 

จากนั้นบันทึกการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของหลี่ว์ซู่ก็ถูกรายงานมายังเครือข่ายฟ้าดิน นี่เป็นข่าวที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจได้เป็นอย่างดี  

 

 

ก่อให้เกิดความรู้สึกชื่นชมลึกซึ้งจากภายในเครือข่ายฟ้าดิน ในฐานะราชันฟ้าคนที่เก้าที่เคยสังหารระดับ A แบบปลอมๆ ตอนนี้เขาสามารถสร้างชื่อเสียงอันงดงามให้ตนเองได้แล้ว  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset