ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 845 ราชันฟ้าคนที่สิบเอ็ด

หลี่ว์ซู่มองไปยังจุดที่ทำให้เขาได้รับแต้ม จากสิ่งนี้เองทำให้เขาได้รู้ว่าชื่อของหัวหน้าบาทหลวงก็คือ คาร์มิลโล บอร์เกส และชื่อของนักบุญก็คือ คิง การ์เซีย…

 

 

บางครั้งเราก็ปฏิเสธเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกอยู่ในภาษาต่างๆ ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ‘คิง’ ในภาษาอังกฤษ ให้ความรู้สึกถึงบุรุษที่ยอดเยี่ยมและทรงพลัง ในขณะที่เมื่อแปลเป็นภาษาจีน คำว่า ‘จิน’ กลับให้ความรู้สึกเรียบง่ายไม่ได้สูงส่งอะไร…

 

 

ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ไม่มีโอกาสได้รู้ชื่อของพวกเขา เพราะแต้มอารมณ์จากคนเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับของคนอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกได้ว่าชื่อใดเป็นของพวกเขา แต่ในที่สุดตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็สามารถพุ่งเป้าไปที่สองคนนี้ได้แล้ว…

 

 

พอได้รู้ชื่อของนักบุญ หลี่ว์ซู่ถึงได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเขาได้แต้มอารมณ์จากนักบุญมาไม่น้อยเลย

 

 

แต้มจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาหลังจากที่เขาฆ่าผู้มีพลังระดับ B เจ็ดคนในป่า หลังการต่อสู้จบลง เขาถึงขนาดได้รับชื่อเสียงในฐานะชายที่แข็งแกร่งที่สุดในผู้มีพลังระดับ A เพราะคนในองค์กรขนาดใหญ่เริ่มระแวดระวังการกระทำของเขามากขึ้น ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้หากคนจากฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มไม่พอใจในตัวเขา

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้จุดประกายดาวดวงที่สี่แล้ว ซึ่งเหลืออีกเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นเขาก็จะสามารถจุดประกายดาวดวงที่ห้าได้ นอกจากนี้จำนวนกระบี่เฉวียอินก็เพิ่มขึ้นเป็น 576 เส้นแล้วด้วย!

 

 

แต่นั่นก็ไม่ง่ายเลย เพราะดาวดวงที่ห้าต้องการแต้มอารมณ์มากถึงแปดล้านแต้ม

 

 

หากเขาขยันฝึกฝนให้มากขึ้น จำนวนกระบี่เฉวียอินของเขาก็จะมีมากกว่ากระบี่แสงอย่างแน่นอน

 

 

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถนิยามคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ในความหมายใหม่ได้ ในอดีตคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีอาชีพมั่นคง มีครอบครัวที่มีความสุข มีเงินใช้มากมาย และมีชีวิตที่เติมเต็ม

 

 

แต่ความสำเร็จของหลี่ว์ซู่จะต้องน่าประทับใจกว่านั้น ด้วยกระบี่เฉวียอินในมือซ้ายและกระบี่แสงในมือขวา เขาจะสามารถเอาชนะกลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์ได้อย่างง่ายดายและกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

 

 

การมาถึงของหลี่ว์ซู่ เป็นผลให้ความตึงเครียดบนกำแพงลดลงในทันที

 

 

นอกจากนี้ คำถามที่หลี่ว์ซู่เพิ่งจะถามไป ก็ทำให้เหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงตระหนักได้ว่านักบุญและหัวหน้าบาทหลวงจงใจรักษาระยะห่างจากเนี่ยถิงทั้งๆ ที่ทำท่าทางหยิ่งยโสแบบนั้น…

 

 

ข้อสังเกตนี้ช่วยยืนยันกับพวกเขาได้ว่าจริงๆ แล้ว ผู้มีพลังระดับ A สามคนนั้นก็แอบกลัวเนี่ยถิงอยู่เช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถอยไปยืนกันไกลถึงขนาดนั้น…

 

 

ในขณะเดียวกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่ข่างๆ หลี่ว์ซู่โดยไม่พูดอะไรเลย เธอกำลังฟื้นฟูพลังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อีกครั้ง

 

 

ก่อนหน้านี้ที่หลี่ว์ซู่แบกเธอขึ้นหลังไม่ใช่เพราะว่าเธออ่อนแอเกินกว่าจะวิ่งได้ด้วยตัวเอง แต่เธอแค่ไม่อยากพลาดโอกาสนี้

 

 

ในตอนนี้เอง หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะขึ้นมา “อย่าไร้สาระไปหน่อยเลย ฉันกลัวว่าพวกนายจะไม่รู้ตัว… ว่าเด็กสาวผู้กล้าหาญที่พวกนายยกย่องน่ะ จริงๆ แล้วคือผู้จับวิญญาณชั่วร้าย ถ้าฉันเดาไม่ผิด หนึ่งในวิญญาณที่อยู่ในความควบคุมของเธอก็คือแอนโทนี ผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ซึ่งนั่นก็ทำให้การคาดเดาวิญญาณอีกหนึ่งดวงค่อนข้างง่าย คงจะเป็นจอห์นสันผู้มีพลังเสกสรรสินะ เธอไม่ใช่ผู้มีพลังสองสาย ข้อมูลของพวกนายทั้งหมดเป็นของปลอม ฉันเห็นด้วยตาตัวเองเดี๋ยวนี้เลยว่ามีเงาสีดำสามเงาแวบผ่านไปตอนที่เธอปรากฏตัวในถ้ำลึก นั่นคงจะเป็นวิญญาณที่เธอจับมาอย่างแน่นอน”

 

 

เมื่อพูดจบ หัวหน้าบาทหลวงก็โยนซองซองหนึ่งไปให้เนี่ยถิง เขาหน้าตาบึ้งตึงขึ้นมาทันทีที่ดึงรูปถ่ายออกมาจากแฟ้ม

 

 

คาดเดาจากสีหน้าของเขาแล้ว…สิ่งที่หัวหน้าบาทหลวงพูดคงจะเป็นเรื่องจริง!

 

 

 ในช่วงแรกที่ผู้จับวิญญาณเพิ่งจะเผยตัวต่อสาธารณชน คนเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นผู้ใช้คาถาที่ชั่วร้ายอย่างมาก เครือข่ายฟ้าดินบางคนถึงขั้นเลียนแบบการกระทำเหล่านี้เมื่อพวกเขาไม่มีความแน่ใจในสถานการณ์

 

 

ความเห็นของสาธารณชนที่ไม่น่าฟังนี้เอง ที่ทำให้หลี่ว์ซู่ตัดสินใจที่จะไม่พูดความจริง

 

 

 สีหน้าของหลี่ว์ซู่เปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณก็เหมือนกัน”

 

 

“ไม่เลย ไม่ใช่เลย มีใครบางคนให้สิ่งนี้กับฉัน” หัวหน้าบาทหลวงส่ายหัวและพูดต่อ “ฉันพูดถูกหรือเปล่า ฉันพนันเลยว่าไม่มีใครในพวกนายคิดว่าจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม เด็กสาวที่ดูใสซื่อคนนี้เป็นแม่มดชั่วร้ายที่คอยจับวิญญาณ! พวกนายไม่กลัวเหรอว่าเมื่อพวกนายตาย วิญญาณของพวกนายอาจจะถูกเธอจับไป”

 

 

 หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา “บอกผมสิว่าใครให้มันกับคุณ แล้วผมอาจจะมอยความตายที่ไม่ทรมานให้”

 

 

หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะเสียงแหลม ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุด “นายน่ะเหรอ อยากจะฆ่าฉัน?! นายควรจะกังวลเรื่องของตัวเองและคิดหาทางเอาตัวรอดจากเครือข่ายฟ้าดินดีกว่า เพราะถ้าน้องสาวของนายเป็นแม่มด แล้วตัวนายเองล่ะเป็นอะไรกันแน่”

 

 

หลี่ว์ซู่พิจารณาเหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงอย่างรวดเร็ว ทุกคนดูเหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หลี่ว์เสียวอวี๋จับมือหลี่ว์ซู่แน่นทันที อุณหภูมิของมือเธอก็ดูเหมือนจะเย็นลงเรื่อยๆ เช่นกัน แต่คนทั้งคู่ก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวใดๆ

 

 

หลี่ว์ซู่กำลังหัวหมุน พวกเขาควรจะทำอย่างไร เขารู้สึกถึงความมุ่งร้ายที่ลอยอยู่ในอากาศ หรือพวกเขาไม่ควรจะมีเพื่อนจริงๆ

 

 

ในขณะเดียวกันนี้เอง กองกำลังฟีนิกซ์ก็ได้มาถึงที่หน้าป้อมปราการ พร้อมๆ กับกลุ่มแก่นความเชื่อ ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบขณะที่ทุกคนกำลังรอว่าเครือข่ายฟ้าดินจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้

 

 

จริงๆ แล้ว พวกเขาดูเหมือนผู้ชมที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่า

 

 

ในตอนนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูราวกับว่าเป็นศัตรูของคนทั้งโลก

 

 

หัวหน้าบาทหลวงยิ้ม “ฉันพูดถูกใช่ไหม ถ้านายจัดการไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นส่งเธอมาให้พวกเราดีไหม”

 

 

ฝูงชนหันไปมองหลี่ว์ซู่ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรหัวหน้าบาทหลวงกลับไป เขามองไปที่รองเท้าผ้าใบสีขาวของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ที่ซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนและเชือกรองเท้าหลุดลุ่ย จากนั้นเขาจึงคุกเข่าลงและผู้เชือกให้เธออย่างอ่อนโยน หลี่ว์ซู่ยิ้ม “ก่อนจะเริ่มการฆ่า ต้องผูกเชือกรองเท้าให้เรียบร้อยก่อน”

 

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้

 

 

สายตาของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่ม สีหน้าของเขาดูจริงจังและเคร่งขรึม ราวกับว่าการผูกเชือกรองเท้าให้เธอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก

 

 

ภาพตรงหน้าชวนให้นึกถึงค่ำคืนหนึ่งบนดาดฟ้าที่เธอถามหลี่ว์ซู่ว่าเขาจะทำอย่างไร หากคนทั้งโลกต้องการฆ่าเธอ

 

 

เธอยังจำคำตอบของเขาได้ดี “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะสร้างความหายนะให้โลกใบนี้”

 

 

ในตอนนี้เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวเดินขึ้นมายืนข้างๆ พวกเขา พวกเขามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังและพูดว่า “ปล่อยพวกเราไป ถ้าพวกคุณยอมรับในสิ่งที่เธอทำไม่ได้ พวกผมก็ไม่อยากสู้กับเพื่อนตัวเองเหมือนกัน”

 

 

ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน เป็นเสียงของห่าวจื้อเชา “ไม่ต้องกังวล พวกเธอไม่ใช่เพื่อนแค่สองคนที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีหรอก พวกเราต้องฟังการตัดสินใจของราชันฟ้าเนี่ย”

 

 

เนี่ยถิงดึงกล่องสีดำออกมาจากเสื้อคลุมของเขา เขาเหลือบมองหัวหน้าบาทหลวงและถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยรอยยิ้ม “เธอจับวิญญาณของผู้มีพลังระดับ A ได้รึเปล่า”

 

 

หัวหน้าบาทหลวงถอยไปไกลกว่าเดิมถึง 500 เมตรทันทีราวกับถูกไฟช็อต เขาตะโกนอย่างหวาดกลัว “ทำไมคุณถึงจะยอมหันหลังให้ทั้งโลก เพียงเพื่อปกป้องเธอ!”

 

 

“การจับวิญญาณเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน เลิกเอาคุณธรรมของนายมาเปรียบเทียบกับวิธีการฝึกบำเพ็ญเหมือนเด็กๆ เสียที! ความยุติธรรมที่แท้จริง…ไม่ได้ตัดสินด้วยวิธีการ” เนี่ยถิงกล่าวอย่างใจเย็น นิ้วมือของเขาไม่ได้ออกห่างจากกล่องสีดำเลย “จากวันนี้เป็นต้นไป หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คือราชันฟ้าคนที่สิบเอ็ดของเครือข่ายฟ้าดิน พวกเรากลุ่มเครือข่ายฟ้าดิน ยินดีที่จะหันหลังให้คนทั้งโลกเพื่อเธอ”

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset