ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 867 ทัพเฮยอวี่

สมองของหลี่ว์ซู่เต้นตุบๆ เมื่อเขาเห็นบทกลอนที่รวบรวมไว้ทั้งหมด เขาควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เปิดเผยตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่สามารถแม้แต่จะท่องกลอนทั้งหมดในหนังสือหนึ่งเล่มได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับมันมีมากขนาดนี้!  

 

 

นี่เป็นการโกงอย่างโจ่งแจ้ง!  

 

 

แต่อวี่เตี๋ยไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของหลี่ว์ซู่เลย เธอหันไปหาเขาและถามว่า “นายชอบบทกลอนไหนของราชาองค์เก่าเหรอ”  

 

 

“อืม” หลี่ว์ซู่พึมพำในขณะที่เขาทำหน้าอึดอัด เขาคิดกับตัวเองว่าคนพวกนี้คงรวบรวมบทกลอนของตัวเขาเองถ้าเขามาที่โลกนี้เร็วกว่านี้…  

 

 

ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่กำลังครุ่นคิดว่าราชาที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดพูดถึงนั้น ใช่คนเดียวกับราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าหรือไม่ เพราะถ้าดูตามลำดับเวลาแล้วก็ดูจะเป็นไปได้!  

 

 

ราชาองค์ใหม่ขึ้นสู่อำนาจเมื่อสิบแปดปีก่อน ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดไปถึงโลกมนุษย์ หลี่ว์ซู่คงไม่ว่าอะไรถ้านี่เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ  

 

 

ดังนั้นดูเหมือนนี่จะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่จะไม่ยอมรับว่าเขารู้จักกับปรมาจารย์หุ่นเชิด เพราะพวกเขาคงไม่หนีไปยังโลกมนุษย์ถ้าพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับราชาองค์ใหม่  

 

 

ในตอนนี้ราชาองค์ใหม่ขึ้นสู่อำนาจแล้ว ดังนั้นที่เหล่าปรมาจารย์หุ่นเชิดพูดว่าพวกเขากำลังรอ ‘การกลับมาขององค์ราชา’ นั้น หมายความว่าอย่างไร หรือองค์ราชาจะกลับจากโลกมนุษย์  

 

 

ความคิดนี้ส่งผลให้หลี่ว์ซู่หนาวไปทั้งไขสันหลัง เขาอยากจะกลับไปในตอนนี้และเตือนเนี่ยถิงว่าราชาองค์ใหม่อาจจะอยู่ที่โลกมนุษย์!  

 

 

“ทำไมไม่” อวี่เตี๋ยลดเสียงลง “ค้างที่นี่คืนนี้ล่ะ แล้วพวกเราจะได้วิเคราะห์บทกลอนต่างๆ ด้วยกัน”  

 

 

 

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา หรือเธอจะคาดหวังให้เขาช่วยให้เธอตอบคำถามวัดความเข้าใจหลังจากที่เขาใช้เวลาหลายปีเรียนวรรณคดีจีนที่โลกมนุษย์อย่างนั้นหรือ เพ้อฝันเสียจริง  

 

 

“ไว้เจอกันครั้งหน้านะ” หลี่ว์ซู่ตอบขณะเดินออกจากห้อง  

 

 

[ได้แต้มจากอวี่เตี๋ย +299!]  

 

 

อวี่เตี๋ยไม่ได้บังคับเขาให้อยู่ต่อ แต่เธอเตือนเขาก่อนที่เขาจะก้าวออกไปว่า “เมื่อไม่นานมานี้ พื้นที่ในแนวชายแดนไม่ค่อยจะปลอดภัย นายกับจางเว่ยอวี่สามารถมาขอที่หลบภัยจากฉันได้หากว่ามีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ”  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ได้หันกลับไปในขณะที่เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของเธอ จางเว่ยอวี่เคยพูดครั้งหนึ่งว่าความขัดแย้งระหว่างเหวินไจ้โฝ่วและจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่นั้น อาจจะลุกลามไปจนถึงขั้นเกิดเป็นสงคราม  

 

 

ประเมินจากท่าทีของอวี่เตี๋ยในวันนี้ ดูเหมือนว่าเหล่านายทาสคงเพิ่งจะได้รับข้อความจากเบื้องบนว่าสงครามกำลังจะเกิด!  

 

 

จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าทาสบางคนชี้นิ้วมาที่เขาจากแผงขายของข้างทาง ราวกับว่าทั่วทั้งเมืองเถียนเกิ่งรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายขายตัวให้กับผู้เป็นนายของตระกูลอวี่  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาจ้องคนพวกนั้นกลับไปอย่างดูถูก และมั่นใจว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้ไม่ช้าก็เร็วว่าใบหน้าหล่อๆ นั้นมีค่าแค่ไหน…  

 

 

พูดตามตรง หลี่ว์ซู่ก็ไม่เคยคิดว่ารูปลักษณ์ของเขาจะมีประโยชน์…  

 

 

หลี่ว์ซู่เดินมุ่งหน้ากลับบ้านไปตามถนนนอกเมือง ตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้น  

 

 

เขาอยากรู้ว่าราชาผู้เป็นตำนานเช่นนี้ จู่ๆ ก็มีจุดจบได้อย่างไร แต่ความจริงที่ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดสามารถหลบหนีไปได้ ก็แปลว่าน่าจะมีไพ่ใบอื่นๆ อยู่ในจักรวาลหลี่ว์อีก  

 

 

หลี่ว์ซู่สงสัยว่าหากเขาสามารถกลับไปที่โลกมนุษย์ เขาจะได้เห็นการแก้แค้นของเหล่าปรมาจารย์หุ่นเชิดพร้อมกับการกลับไปของราชาแห่งทวยเทพหรือไม่  

 

 

จริงๆ แล้วเขาเริ่มพัฒนาความรู้สึกที่มีต่อเหล่าปรมาจารย์หุ่นเชิด และความคิดที่จะผูกมิตรกับคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้อีกต่อไป เขายังรู้สึกชื่นชมราชาองค์เก่าที่มีคนที่ซื่อสัตย์เช่นนี้คอยอยู่เคียงข้างอีกด้วย  

 

 

อย่างไรก็ตาม ยิ่งหลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าราชาองค์เก่ายังอยู่บนโลกมนู่ษย์ เพราะถ้าเขาอยู่ที่จักรวาลหลี่ว์ เหล่าปรมาจารย์ก็ควรจะต้องอยู่ปกป้องเขา  

 

 

หลี่ว์ซู่ตัดสินใจโยนความคิดที่ไม่เกี่ยวกับตัวเขาออกไป และมุ่งไปที่การฝึกทักษะกระบี่ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังของตัวเขาเอง  

 

 

ด้วยการฝึกฝนที่เพียงพอ ความก้าวหน้าของหลี่ว์ซู่ในการควบคุมพลังงานกระบี่ก็เป็นที่ประจักษ์ เขาไม่ทำลายท่อนฟืนโดยไม่ได้ตั้งใจอีกต่อไป  

 

 

แต่ยังมีปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่เขาเป็นกังวล เขาไม่มีอาวุธในมือเพราะตราแผ่นดินของเขายังคงถูกปิดตายอย่างแน่นหนา  

 

 

ค่ำคืนมาถึง แต่จางเว่ยอวี่ยังไม่ถึงบ้าน ถึงแม้เขาจะบอกว่าจะมาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็ตาม  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้เป็นกังวล ในระหว่างที่เขากำลังฝึกฝน เขาก็เห็นจางเว่ยอวี่เดินกะเผลกมาตามถนน ตอนแรกเขาคิดว่าจางเว่ยอวี่ถูกกลั่นแกล้ง แต่เมื่อเขาเข้ามาใกล้ หลี่ว์ซู่ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาแค่เมา  

 

 

จางเว่ยอวี่ปัดมือหลี่ว์ซู่ที่ยื่นเข้าไปจะช่วยพยุงออก จางเว่ยอวี่ที่เมามากพึมพำว่า “ฉัน จางเว่ยอวี่ ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่…”  

 

 

ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เขาสะดุดและล้มลงไปบนพื้น หลี่ว์ซู่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ขณะที่จางเว่ยอวี่ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นสักพักแต่ก็ยังพาให้ตัวเองยืนขึ้นไม่ได้ จากนั้นเขาจึงมองไปที่หลี่ว์ซู่และวิงวอนว่า “…ได้โปรดช่วยฉันด้วย”  

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะและแบกเขาไปนอนที่ดินคั่ง จากนั้นเขานั่งลงบนโต๊ะและพูดโดยแทบจะไม่กลั้นเสียงหัวเราะว่า “อย่าดื่มเยอะสิ ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองจะเมาง่ายขนาดนี้”  

 

 

“นายจะไปรู้อะไร ครั้งสุดท้ายฉันไม่ได้เมาซะหน่อย!” จางเว่ยอวี่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นเขาก็นอนแบะอยู่บนคั่งและจมดิ่งสู่โลกอันเมามายของตนเอง  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ตอบ เขามองไปที่จางเว่ยอวี่อย่างเงียบๆ พลางสงสัยว่าชายคนนี้ต้องผ่านความยากลำบากเพียงลำพังมามากมายขนาดไหน  

 

 

เขาต้องกินรากไม้ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต เขาต้องอดทนต่อการดูหมิ่นเหยีดหยามจากพวกทาสในเมือง และถูกกลั่นแกล้งโดยการที่พวกทาสมาทำลายพืชผลของเขา แต่เขาก็ยังอดทนต่อไปเพื่อศักดิ์ศรีอันไร้ค่าของตนเอง  

 

 

หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ ตัวเขาเองเป็นใครถึงมีสิทธิ์ไปบอกว่าศักดิ์ศรีของจางเว่ยอวี่นั้นไร้ค่า เพราะตัวเขาเองก็ดื้อดึงพอๆ กับจางเว่ยอวี่ไม่ใช่หรือ  

 

 

“ทำไมคุณถึงทำแบบนั้น” หลี่ว์ซู่ถาม เป็นคำถามที่ถามทั้งจางเวยอวี่และตัวเขาเอง  

 

 

“ฉันกำลังรออยู่” จางเว่ยอวี่ที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงตอบ จากนั้นเขาก็หัวเราะพร้อมกับยกแขนยกขาปัดป่ายไปทั่ว “แต่ความอดทนของฉันกำลังจะหมดลงแล้ว”  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกตกใจ เขาเงียบและรอให้จางเว่ยอวี่พูดต่อ  

 

 

จางเว่ยอวี่พูดต่อ “วันเก่าๆ ที่เคยรุ่งเรืองหายไปแล้ว วันนี้ฉันไปเยี่ยมเพื่อนเก่า เพียงเพื่อพบว่าเขาจบชีวิตตัวเองลงด้วยเชือกในบ้านของตัวเอง ฉันพังประตูเข้าไปและเห็นรากไม้ที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ฉันไม่โทษเขา และไม่โทษใครทั้งนั้น”  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง ก่อนที่จางเว่ยอวี่จะออกจากบ้านในวันนั้น หลี่ว์ซู่ให้ขนมหวานหลายกล่องเพื่อนำไปเป็นของขวัญในการไปเยี่ยมบ้าน  

 

 

 

 

 

จางเว่ยอวี่ขอบคุณเขาอย่างหมดหัวใจ ราวกับว่าหลี่ว์ซู่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เขา จางเว่ยอวี่ยังบอกอีกว่าเขาติดหนี้หลี่ว์ซู่สำหรับเรื่องนั้น  

 

 

ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่รู้สึกค่อนข้างสับสนและคิดว่าจางเว่ยอวี่ออกจะอ่อนไหวเกินไป  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นการไปเยี่ยมเพื่อนเก่าครั้งสุดท้ายของเขา อย่างไรก็ตาม เพื่อนของเขาจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้ลิ้มรสขนมหวาน หลี่ว์ซู่คิดว่าเพื่อนของจางเว่ยอวี่ก็คงเป็นชายที่รักในศักดิ์ศรี เป็นคนที่ยอมตายดีกว่ายอมตกไปเป็นทาสของคนอื่น  

 

 

หลังจากเงียบไปนาน หลี่ว์ซู่จึงถามขึ้นว่า “คุณกำลังรออะไรอยู่เหรอ”  

 

 

จางเว่ยอวี่กำลังเมามาก แต่ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังได้ยินคำถามของหลี่ว์ซู่ จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ทุกคนที่อยู่ภายใต้บัลลังก์…”  

 

 

ในชั่วพริบตาต่อมา จางเว่ยอวี่ก็ตัวตั้งตรง และหรี่ตาจ้องหลี่ว์ซู่อย่างอันตราย เขาเริ่มสร่างเมาขึ้นมาทันที “นายถามทำไม”  

 

 

ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่กระโจนเข้าใส่จางเว่ยอวี่และกดเขาลงบนพื้น  

 

 

เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีลูกธนูพุ่งผ่านกำแพงดินและทะลุผ่านเตียงที่จางเว่ยอวี่กำลังนอนอยู่ ขนนกสีดำที่อยู่ตรงปลายยังคงสั่นเนื่องจากแรงกระแทก  

 

 

จางเว่ยอวี่หน้าซีด “ทัพเฮยอวี่ของตวนมู่หวงฉี่!”  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset