ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 903 ถ่ายทอดวิชา

“จะไปแย่งได้ที่ไหน …วิชาที่สูงกว่าเพดานพลัง” หลี่ว์ซู่ถาม เขารู้สึกว่าจางเว่ยอวี่ควรรู้เรื่องแบบนี้  

 

 

จางเว่ยอวี่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำว่าแย่งแต่ไม่ได้จะเจาะจงคำพูดนี้  

 

 

ที่เรียกว่าเพดานสูงหมายถึงระดับสูงสุดที่สามารถพัฒนาถึงได้ หากวิชานั้นสามารถพัฒนาได้ถึงระดับหนึ่ง ระดับหนึ่งก็คือเพดานพลัง  

 

 

ในปัจจุบันวิชาในครอบครองของเหล่านายทาสสูงสุดคือระดับสี่ ส่วนเหล่าขุนนางส่วนมากจะสูงสุดที่ระดับสอง มีเพียงตระกูลขุนนางใหญ่จริงๆ ที่มีถึงระดับหนึ่ง ดังนั้นวิชาจึงเป็นตัวกำหนดชนชั้น ถ้าอยากทำลายชนชั้นนี้จึงยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์  

 

 

“ก็ใช่ว่าจะไม่มีแต่มันไม่เหมาะ” จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “มีตระกูลขุนนางโดดเดี่ยวถึงพวกเขาครอบครองวิชาอยู่ในมือแต่กลับไม่มีลูกหลานที่สามารถสืบทอดพลังได้ นั่นคือคำโบราณที่ว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ในความเป็นจริงมีตระกูลขุนนางเช่นนี้ไม่น้อย ดังนั้นหลังจากขุนนางชั้นสูงจึงได้เรียนรู้บทเรียนจึงพาทางให้ลูกหลานของตนรุ่งเรืองต่อไปเพื่อประโยชน์ของครอบครัวสืบไป”  

 

 

“แล้วถ้ามีบุตรยากจะทำอย่างไรแล้วเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไร” หลี่ว์ซู่อึ้งปชั่วขณะ  

 

 

จางเว่ยอวี่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้ครั้งแรกแต่ก็เข้าใจได้…และที่หลี่ว์ซู่รู้ ที่จริงแล้วการมีบุตรยากบนโลกนี้ไม่ได้เกิดจากฝ่ายหญิงแต่เกิดจากฝ่ายชายแต่เขาก็คิดไม่ออกว่าผู้บำเพ็ญระดับสูงแบบนี้ยังเจอปัญหาแบบนี้ได้อีก  

 

 

จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “หลังจากจักรวาลมีประวัติศาสตร์มานาน การสืบพันธุ์ก็ค่อยๆ แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ ในช่วงเริ่มต้นของการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ชีวิตใหม่ที่เกิดจากบุคคลที่มีอำนาจก็เหมือนกับคนทั่วไปแต่แล้วก็ค่อยๆ แตกต่างออกไป ฉันเคยเห็นเด็กเกิดใหม่มีพลังระดับหกมาตั้งแต่เกิด พลังตามธรรมชาติของพวกเขาไร้จำกัด”  

 

 

“ทำไมเหมือนได้ตั้งท้องสัตว์ประหลาด” หลี่ว์ซู่มีสีหน้าแปลกประหลาดใจ  

 

 

“เป็นการเปรียบเทียบไม่ถูกต้อง” จางเว่ยอวี่มองบน “แต่ต่อมา ถึงลูกหลานจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มาโดยกำหนด แต่อัตราการสืบพันธุ์กับน้อยลงอย่างที่อธิบายไม่ได้ ต่อมาหลายคนคิดว่าปัญหาอยู่ที่ฝ่ายหญิง คิดว่าผู้หญิงมีพลังต่ำเกินไปที่จะรองรับชีวิตใหม่ที่แข็งแกร่งนี้ ดังนั้นระหว่างขุนนางของเมืองหลวงและเมืองใหญ่ทั้งสี่ต่างชอบเลี้ยงดูหญิงสาวที่มีพลังหรือแม้แต่ซื้อขายทาสหญิงที่มีพลังแต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับกาพิสูจน์”  

 

 

หลี่ว์ซู่คิดว่าเรื่องนี้คล้ายกับโลก ตำหนิภรรยาของตนเองว่าไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้…  

 

 

เกรงว่ามนุษย์จักรวาลหลี่ว์ได้เปิดเส้นทางวิวัฒนาการขึ้นอีกเส้นแล้วซิ? ทารกแรกเกิดเกิดมาก็ได้เปรียบแล้ว…พูดตามตรงทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินถูกล้มล้างแล้ว ใครก็บอกไม่ได้ว่าเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์จะเป็นอย่างไร  

 

 

เดิมทีดาร์วินพูดว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและกระบวนการนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 3-5 ล้านปีก่อน  

 

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเผชิญกับการทดสอบมากมายตัวอย่างเช่นในปี 1822 นักสำรวจค้นพบรอยเท้ามนุษย์เมื่อกว่า 300 ล้านปีก่อนและในปี 1986 พวกเขาค้นพบร่องรอยของมนุษย์เมื่อ 200 ถึง 600 ล้านปีก่อน  

 

 

ดังนั้นจึงเกิดข้อโต้แย้งที่หลากหลาย บางคนบอกว่าเกิดวิวัฒนาการ บางคนบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมาอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวคือมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจปัญหานี้ได้ ปัญหาเหล่านี้จะชัดเจนขึ้นถ้าได้รับการสรุปว่าฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน ฉันมาจากไหนและกำลังทำอะไรอยู่  

 

 

“มีขุนนางบางตระกูลลูกหลานยังไม่ทันได้เติบโตขึ้นมา พ่อแม่ก็ต้องตายเพราะศึกสงคราม” จางเว่ยอวี่พูดเสริม  

 

 

“ไปไกลแล้ว” สีหน้าของหลี่ว์ซู่เข็มขึ้น “ฉันกำลังถามเรื่องวิชา”  

 

 

“ขุนนางบางคนไม่มีทายาท แต่มีขุนนางที่ตกต่ำมากมายในเมืองหลวงขายวิชา แต่นายไปเมืองหลวงตอนนี้ไม่สายไปหรือ” จางเว่ยอวี่ถาม  

 

 

“สายเกินไปจริงๆ” หลี่ว์ซู่พยักหน้า ห่างออกไปหนึ่งหมื่นสองพันลี้จากเมืองหนานตู ถ้าเป็นเมืองหลวงก็ยิ่งไกลกว่านี้  

 

 

หลี่ว์ซู่พบว่าจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ยังมีบางอย่างที่ยังไม่พูดแต่ตอนนี้ทุกคนต่างระวังกันเองอยู่ ค่อยเป็นค่อยไปละกัน  

 

 

…  

 

 

ในตอนกลางคืน ความเงียบบนภูเขาราชาหลี่ว์หวัง หลี่ซู่ขอให้ทหารทุกคนยกเว้นทหารลาดตระเวนกลับไปที่ค่ายเพื่อพักผ่อนก่อนเที่ยงคืน ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง ตอนแรกทัพอู่เว่ยรู้สึกไม่ชอบ ก่อนหน้านี้ทุกคนเคยทำงานและพักผ่อนอย่างอิสระแต่ก็ค่อยๆ เริ่มคุ้นชิน  

 

 

จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ กำลังกระซิบกระซาบกันในค่ายทหารที่แยกจัดไว้ ไม่เพียงแค่นั้นยังมีคนเฝ้าประตูเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแอบฟัง  

 

 

“เด็กคนนี้เชื่อถือได้ไหม” มีคนถาม  

 

 

จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เรื่องเล็กเชื่อไม่ได้แต่เรื่องใหญ่เชื่อถือได้”  

 

 

“หมายความว่าอย่างไร”  

 

 

“เด็กคนนี้” จางเว่ยอวี่ย้อนความทรงจำด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “ถ้ายังไม่อันตรายถึงชีวิตก็ไม่ต้องพึ่งพาเขา เขาไม่กวนประสาทก็บุญแล้วแต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญใหญ่ๆ เขาสามารถเชื่อถือได้”  

 

 

มีคนบ่นว่า “ฉันสังเกตการณ์เดินและพลังของเขาอย่างถี่ถ้วน เขาอยู่ระดับสี่อย่างไม่ต้องสงสัยแต่ฉันยังไม่เข้าใจว่าพลังระดับสี่ทำไมถึงจัดการกองทัพอู่เว่ยได้ เด็กสาวข้างตัวเขามีพลังระดับสอง คนที่ผูกผ้าพันคอสีชมพูดูร้ายกาจหน่อย คงอาศัยพวกทาสควบคุมสถานการณ์”  

 

 

จางเว่ยอวี่ส่ายหน้า “พวกนายมองข้ามอะไรไปนะ ฉันแยกกับเขาไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้น ตอนนั้นเขาเพิ่งมีพลังระดับหกเท่านั้น!”  

 

 

“ช้าก่อน” มีคนอุทานเสียงเบา “นายหมายความว่าเขาใช้เวลาครึ่งเดือนในการพัฒนาจากระดับหกไปถึงระดับสี่? พวกนายใช้เวลานานเท่าไหร่ในตอนแรก”  

 

 

“ฉันเป็นปีครึ่ง”  

 

 

“ฉันหนึ่งปี!”  

 

 

“ฉันครึ่งปี!”  

 

 

หลังจากพูดคุยกันเป็นเวลานาน ไม่มีใครใช้เวลาต่ำกว่าครึ่งปีและพวกเขาต่างเป็นอัจฉริยะในเหล่าอัจฉริยะ!  

 

 

และพวกเขาไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เสียเวลาไปเกือบครึ่งหนึ่งในการจัดการกับธุรกิจสบู่ของเขา หากเขาใช้เวลาเต็มที่ เขาอาจจะก้าวกระโดดจากอันดับหกเป็นอันดับสี่ได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลาไม่ถึงเดือน  

 

 

พลังกระบี่เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดหลี่ว์ซู่ ความผสานไปกับฟ้าดินเป็นรากฐานของการบำเพ็ญของหลี่ว์ซู่  

 

 

“พวกนายว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะไปได้สูงถึงขนาดนั้น” จางเว่ยอวี่กระซิบ  

 

 

“นายหมายถึง…ปรมาจารย์เหรอ!” มีคนพูดด้วยความประหลาดใจ  

 

 

“ตอนนี้มีปรมาจารย์ในจักรวาลหลี่ว์ประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น นายคิดว่าเขาทำได้ไหม มันต้องอาศัยโชค วาสนา ความเพียรและคุณสมบัติ ขาดไม่ได้สักอย่าง!”  

 

 

จางเว่ยอวี่มองที่เพื่อนเก่าของเขาและพูดว่า “ฉันเข้าใจดีเรื่องความพากเพียร ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาเป็นทาสตัวเล็กๆ ธรรมดา แต่แล้วเขาฝึกจนร่างจะพังก็ยังฝึกต่อไปทั้งที่ยังเป็นคนธรรมดา ฉันในปีนั้นยังไม่มีความพากเพียรนี้เลย วาสนา! คุณสมบัติ! ความเพียร! นายคิดว่าเขาขาดพวกนี้ไหมล่ะ”  

 

 

“เหมือนว่าจะไม่ขาด…”  

 

 

“พี่จาง พี่บอกมาเถอะว่าจะพูดอะไร” มีคนพูด  

 

 

“พวกนายรู้ว่าฉันเป็นลูกขุนนางก่อนเข้าทหารมังกรหลวง” จางเว่ยอวี่ พูด  

 

 

มีคนหัวเราะ “อย่ามาอวดชาติตระกูลซิ กูฟังจนเบื่อแล้ว!”  

 

 

“ฉันหมายถึงว่า ถึงวิชาที่ฉันบำเพ็ญหลังเข้าเป็นทหารมังกรหลวงได้พระราชทานจากราชาองค์เก่าแต่วิชาของตระกูลฉันก็ยังไม่หายไปและวิชาพลังระดับหนึ่งด้วย” จางเว่ยอวี่พูด  

 

 

“พี่จาง พี่คิดดีๆ นะ ของสำคัญแบบนั้นพี่จะมอบให้เขาหรือ” มีคนตกใจ  

 

 

“ฉันรู้ว่าพวกนายมีบางคนเป็นแบบฉัน ในตอนนั้นใครบ้างที่ไม่มีวิชา แค่พวกเราไปดูถูกมันเพราะได้รับวิชาจากราชาองค์เก่า” จางเว่ยอวี่หัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้ของพวกนี้ใช้อะไรได้บ้าง ต่อให้พวกเรายังบำเพ็ญได้แต่เราก็ไม่ได้ใช้ ดังนั้น …มันดีกว่าที่จะมอบเป็นน้ำใจ เปลี่ยนเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ เดิมพันว่าเขาจะช่วยพวกเราในอนาคต!”  

 

 

“ถ้าขายให้เขาละก็ อย่าว่าแต่ตอนนี้เขาจ่ายไม่ได้ ต่อให้จ่ายได้ วันหลังเขาก็จะไม่ซาบซึ้งเพราะมันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน”  

 

 

“ก็มอบให้เขาเถอะดูทัพอู่เว่ยที่เละเทะกลายเป็นยังไงพอเขาเข้ามาดูแล”  

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset