ทัพอู่เว่ยเข้าแถวเรียงหนึ่ง แต่ละคนรับยาหม่องสีขาวหนึ่งกำมือจากหม้อใบใหญ่ไปถูนวด พอใช้แล้ว ไม่ถึงสิบนาทีพวกเขารู้สึกสบายตัว
คนธรรมดาไม่รู้สึกอะไรหรอกเพราะมันใช้พลังวิญญาณในร่างกายของสัตว์ป่าเป็นตัวพื้นและเพิ่มสมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูความเจ็บปวดให้เส้นชีพจร
สิ่งนี้แตกต่างจากที่โลก ถึงแม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นที่โลกแต่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ทุกคนไม่รู้ว่าสมุนไพรชนิดใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “ทำไมไม่เริ่มทายานี้ตั้งแต่วันแรกล่ะ”
“ระดับการฝึกในวันแรกไม่หนักพอที่จะใช้เจ้านี้” จางเว่ยอวี่อธิบาย “วันหลังพวกเขาต้องใช้สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการฝึกฝนและความอดทนของพวกเขา”
“อะแฮ่ม” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้ขายได้ไหม”
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่และไม่พูดอะไรตั้งนาน “ประสิทธิภาพของเจ้าสิ่งนี้หลังจากต้มแล้วจะอยู่ได้เพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน จะขนส่งหรือกักตุนไม่ได้เลย ดังนั้นไม่ต้องคิดเรื่องนั้นเลย”
“เอาเถอะ สบู่ของฉันยังดีกว่า” หลี่ว์ซู่ทำปากจู๋
จางเว่ยอวี่คิดในใจว่า ของที่ขายไม่ได้ในสายตาของนายจะเชื่อถือไม่ได้เลยหรือ!
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +99!]
ในตอนนี้เขารู้สึกว่าขอให้จางเว่ยอวี่อยู่ที่นี่เป็นการเลือกที่ชาญฉลาดเพราะประสบการณ์ของจางเว่ยอวี่ในทุกด้านนั้นดีกว่าหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ มากโดยเฉพาะวิสัยทัศน์
จักรวาลนี้ต่างจากโลกมนุษย์ ผู้บำเพ็ญที่นี่ฝึกฝนนานมาก จำนวนของพวกเขามีไม่ค่อยมากแต่เรื่องการบำเพ็ญนั้นพวกเขาล้ำหน้าโลกไปไกล
เราต้องรู้ว่ามีตระกูลขุนนางและนายทาสจำนวนนับไม่ถ้วนที่นี่ หากทุกตระกูลมีวิชาเป็นของตัวเอง แสดงว่าจะต้องมีวิชาถ้าแสนก็แปดหมื่นวิชาได้
แต่แค่วิชาและระดับความเข้าใจมีสูงต่ำ บางคนฝึกทั้งชีวิตก็ไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้
ยิ่งกว่านั้นอายุขัยองผู้บำเพ็ญนั้นยาวนานมาก ผู้ที่มาก่อนได้ครอบครองทรัพยากรก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป แต่ผู้มาทีหลังก็อยากจะปีนป่ายขึ้นสูง จึงทำให้มีสงครามไม่หยุดหย่อน
ดังนั้นในมุมมองของหลี่ว์ซู่ สงครามเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในจักรวาลหลี่ว์ แค่มียอดฝีมือคนใหม่เกิดขึ้นจะต้องเกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์กับกลุ่มเก่าอย่างแน่นอน
ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงไม่ชอบจักรวาลหลี่ว์มากนัก
หลี่ว์ซู่กำหนดชั้นเรียนวัฒนธรรมไว้ในตอนเช้า แต่เขาไม่ได้ให้พวกเขาเรียนรู้จากตัวอักษรง่ายๆอย่างหนึ่ง สอง สาม สี่แต่ให้พวกเขาเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนเลย เช่นเริ่มสอนจากบทความที่ยกมา “ฉันฝันว่าสักวันหนึ่งกองทัพอู่เว่ยจะสามารถยืนหยัดได้ ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงข้อความนี้ พวกเราเชื่อว่าความจริงนั้นชัดเจนในตัวเองและมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน ฉันฝันว่าสักวันหนึ่ง บนภูเขาราชาหลี่ว์หวัง ในจักรวาลหลี่ว์นี้ ลูกหลานของอดีตทาสจะสามารถนั่งกับลูกหลานของอดีตนายทาสและบอกเล่ามิตรภาพ…”
“ฉันมีความฝัน…”
เมื่อจางเว่ยอวี่เห็นข้อความนี้เขาก็ตะลึงไปนาน เขาคาดไม่ถึงว่าหลี่ว์ซู่จะหวังใหญ่ขนาดนี้ ที่คิดจะพลิกโฉมชนชั้นของโลกนี้
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาแค่ต้องการปลุกภูมิปัญญาของกองทัพอู่เว่ย
ความเป็นทาสของจักรวาลนี้ไม่สามารถล้มล้างได้ บางทีอาจมีตัวอย่างของคนที่ต้องการพลิกโฉมประวัติศาสตร์ของโลกมาแล้วมากมาย แต่มันต่างกับจักรวาลหลี่ว์เพราะสิ่งที่นายทาสใช้ควบคุมทาสคือวิชาและผลประโยชน์ที่แท้จริง
การทรยศของทาสนั้นมีต้นทุน พวกเขาต้องผ่านด่านที่เจ็บปวดปางตายก่อนและ 99% ของทาสในโลกนี้ไม่สามารถผ่านไปได้
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนโลกนี้ สิ่งที่เขาต้องการเปลี่ยนมีเพียงทัพอู่เว่ยเท่านั้น
แต่จางเว่ยอวี่ไม่คิดเช่นนั้น เขาชื่นชมหลี่ว์ซู่ตอนนี้จริงๆ …
ยิ่งเขาได้สัมผัสกับหลี่ว์ซู่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่แตกต่างออกไปมากเท่านั้น ความแตกต่างนั้นอยู่ในกระดูกของเขาและเป็นหัวใจหลักของความคิดเขา
ถ้าให้หลี่ว์ซู่รู้ความคิดของจางเว่ยอวี่มันเท่ากับเป็นเรื่องไร้สาระหรือเปล่า พวกเขามาจากคนละโลกกันและแน่นอนว่าย่อมต้องแตกต่างกัน…
ส่วนคนเร่ร่อนในกองทัพอู่เว่ย หลังจากประสบกับที่หลี่ว์ซู่ปฏิเสธการรับเป็นทาสแต่สอนวิชาให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพวกเขาเริ่มเรียนประโยคนี้ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ข้อความนี้มันแทงทะลุหัวใจพวกเขามาก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีการศึกษามากนัก แต่พวกเขารู้สึกว่าหกคำนี้ดูงดงามมาก
ในขณะนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับมาจากข้างนอก เธอโยนหนังสือสีฟ้าจำนวนมากออกมาจากอากาศและกองไว้บนพื้นสูงเท่าเนินเขาได้แล้วพูดว่า “ในเมืองละแวกนี้หาได้แต่ของพวกนี้ ไม่มีร้านค้าขายของแล้ว ชาวบ้านต่างย้ายหนีภัยกันไปหมดแล้ว”
หลี่ว์ซู่เหลือบมอง มันดูเหมือนสมุดบัญชี กระดาษมีสีเหลืองและหยาบเล็กน้อย ฝีมือการผลิตกระดาษของจักรวาลหลี่ว์ยังไม่พัฒนามากนักแต่ก็เกี่ยวกพันกับราชาแห่งทวยเทพ การผลิตกระดาษกลับพัฒนากว่าการผลิตอื่น…เพราะต้องพิมพ์บทกวีของราชาที่มีมากมาย…
หลังเลิกเรียน หลี่เฮยทั่นเข้ามาใกล้ๆ อย่างสงสัย “ใต้เท้า ทำอะไรหรือ”
หลี่ว์ซู่ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “นี่เป็นสมุดการบ้านของพวกนาย!”
จู่ๆ หลี่เฮยทั่นก็รู้สึกลางสังหรณ์ที่ไม่ดี…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ค่อนข้างชอบนิสัยของหลี่เฮยทั่น เธอชอบอยู่กับคนตรงไปตรงมาและไม่ขี้โกง ดังนั้นหลี่เฮยทั่นจึงเป็นบุคคลที่หายากในกองกำลังทั้งหมดที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะทักทายด้วย
ในสายตาของคนอื่นๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นพ่อบ้านใหญ่ที่เย็นชาแต่จะยิ้มให้หลี่ว์ซู่เท่านั้น
นักเรียนหลี่ว์ซู่ที่มีประสบการณ์การศึกษาคิดว่าถึงจะไม่ควรมีการบ้านมากแต่จะขาดไม่ได้ หลายคนไม่เข้าใจทำไมต้องทำการบ้าน ทำไมจึงไม่แก้ไขโจทย์พวกนั้นในชั้นเรียน จำเป็นต้องทำการบ้านต่อหลังเลิกเรียนหรือ
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันจำเป็น แต้มอารมณ์เขาจะคิดว่ามากไปได้ยังไงล่ะ…
เมื่อผู้คนสามพันกว่ามีแต้มอารมณ์เพราะต้องทำการบ้านอย่างทรมาน หลี่ว์ซู่ก็นั่งนับเงินอย่างสบายใจ เขานึกว่าถ้ากลับมาที่โลก จะลองเข้าไปกำกับสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินซะหน่อยไหม อย่างเช่นให้พวกเขาทำการบ้าน
หลี่ว์ซู่คิดในใจว่าไม่ได้ให้ทำการบ้านเปล่าๆ เห็นแก่มิตรภาพช่วงก่อนที่เขาจะกลับโลก เขาจะมอบผลชำระกระดูกให้คนละเม็ดก่อนกลับ ถือว่าเป็นพวกนายจ่ายเงินมาให้ก่อนแล้ว… ยังไงเสียเมื่อไปแล้วก็คือตัดขาดจากจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรต้องกลัว
ในความเป็นจริง แต้มอารมณ์ที่มอบให้กับหลี่ว์ซู่ของทหารทุกคนเกินพันแต้มไปมากแล้ว
ผู้ชายตัวใหญ่โตเพิ่งเริ่มเรียนเขียนตัวอักษร ท้อใจจริงๆ… การบ้านแค่วันเดียวก็ทำให้หลี่เฮยทั่นให้แต้มอารมณ์กับหลี่ว์ซู่มากกว่าเก้าร้อย…
แน่นอนว่าวันแรกจะได้มากหน่อย พอทุกคนเคยชินกับวิธีนี้แล้วก็ให้แต้มน้อยลงเรื่อยๆ
แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ พอถึงตอนนั้นเขาจะเปิดวิชาคณิตศาสตร์ขึ้นอีกวิชา …
ความกระหายแต้มอารมณ์ของหลี่ว์ซู่นั้นเป็นแรงผลักดันให้ทัพอู่เว่ยมีการศึกษามากขึ้น
Related