ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 534 กฎพื้นฐานของความฝัน

ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านและพวกที่มาด้วยกันต่างนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่กับพื้น พวกเขาเห็นกระรอกสีขาวที่มีกระจุกขนสีม่วงบนหัวของมัน มันถามพวกเขาว่าอยากเป็นสมาชิก VIP ไหมหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน

 

 

พวกเขาแทบจะบ้าตาย แม้จะรู้ว่านี่เป็นความฝันที่แปลกพิสดารแต่ก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้ได้ มันต้องเป็นฝีมือของสัตว์วิเศษที่เป็นของเจ้าของแปลงกุยช่ายนี่แน่ๆ

 

 

ตอนนี้เจ้ากระรอกกำลังทำให้โลกแห่งความฝันที่ไม่มีวันจบนี่ใกล้ความจริงมากที่สุดตามที่หลี่ว์ซู่สั่ง มันรู้ดีว่าถ้าโลกแห่งความฝันนี่เหมือนจริงจนคนที่ติดอยู่ในนั้นแยกไม่ออกมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีพลังที่จะควบคุมโลกแห่งความฝันนี้มากขึ้น

 

 

หากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้คนที่ถูกควบคุมไม่รู้ตัวว่าฝันอยู่ แถมความฝันจะไม่ถูกรบกวนอีกด้วย

 

 

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าคนที่ถูกควบคุมความฝันจะสามารถฝันไปอย่างนั้นได้ถึงหลายพันปี ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้พลังนี้ โดยการทำให้คนที่ถูกควบคุมหลงใหลในความฝันจนไม่อยากตื่นขึ้นอีกเลย

 

 

แต่เจ้ากระรอกก็ยังไม่แก่กล้าถึงขั้นนั้น… มันเข้าใจดี เมื่อมันได้เข้าไปในโลกแห่งความฝันของใครสักคนแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ

 

 

โชคดีที่มันได้เพิ่มระดับขึ้นมาแล้วเลยสามารถควบคุมโลกแห่งความฝันได้ดีขึ้น ตอนนี้ถ้าลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านอยากจะตื่นขึ้นมา มันก็ยังทำให้เขาสลบต่อไปได้…

 

 

พวกชาวบ้านถูกทำให้หลับอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง จนเจ้ากระรอกเริ่มเหนื่อยล้ากับการใช้พลังนี้ ทุกคนจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความกลัว “ผีหลอก!”

 

 

สำหรับคนธรรมดาแล้ว พวกเขาแยกไม่ออกระหว่างถูกผีหลอกกับถูกสะกดให้ติดอยู่ในความฝัน

 

 

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่คนพวกนี้มาขโมยผักกุยช่าย พวกเขามาเริ่มมาขโมยมันไปหลังวันที่เสี่ยวอวี๋เดินทางออกไปที่เมืองหลวง ตอนแรกก็ขโมยไปแค่ก้านสองก้าน แต่แล้วลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านก็คิดการใหญ่ เขาอยากกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี๋ด้วยการขโมยกุยช่ายทั้งหลายกลับไปที่หมู่บ้าน เขามองเห็นอนาคตที่สดใส!

 

 

ในเมื่อเขาไม่สามารถยั่วโมโหหลี่ว์ซู่ได้ แต่เขายังยั่วโมโหเด็กผู้หญิงนี่ได้อยู่นี่

 

 

แต่ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าไม่มีใครสามารถรังแกเด็กผู้หญิงคนนี้ได้ง่ายๆ …

 

 

หลังจากที่เจ้ากระรอกปล่อยคนพวกนั้นไป มันก็รายงานหลี่ว์ชู่ทันที ตอนที่หลี่ว์ซู่สั่งให้มันดูแลแปลงกุยช่าย มันก็ไม่ได้อยากจะใช้พลังทรมานคนอื่นหรอก ที่สำคัญที่สุดคือมันอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่ขโมยกุยช่ายไป

 

 

ตอนนั้นหลี่ว์ซู่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่บ้าน แล้วจู่ๆ เขาก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาสามารถใช้ตราแผ่นดินช่วยหลิวหลี่เพิ่มระดับได้นี่นา

 

 

แต่ดูเหมือนว่าหลิวหลี่เพิ่งจะไปอยู่ที่ที่มีพลังจิตวิญญาณสูงได้ไม่นาน เขาไม่รู้ว่าหลิวหลี่ฝึกไปถึงไหนแล้ว

 

 

หลิวหลี่เปิดข้อมูลหน้าโปรไฟล์ของหลิวหลี่ในแอปพลิเคชันแชตขึ้นมาดู เขาอยากดูหน้าโพสต์เสียหน่อย แต่ก็พบว่าเขาถูกบล็อกไว้ หลี่ว์ซู่รู้ว่าหลิวหลี่ไม่อยากให้เขาเห็นโพสต์ของตัวเอง แล้วหลิวหลี่เองก็ไม่อยากเห็นโพสต์ของหลี่ว์ซู่ด้วย

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที เขาก็อยากจะเห็นโพสต์ของหลิวหลี่บ้างจากใจของญาติผู้พี่ที่อยากดูแลน้องชาย ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าเขาเป็นพ่อแม่ที่เป็นห่วงว่าลูกจะโดนครูตีหรือจะโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งหรือเปล่า…

 

 

ทันใดนั้นเจ้ากระรอกก็เดินเข้ามา มันสื่อสารกับหลี่ว์ซู่ทางสายตาออกมาสามประโยคว่า ได้ข้อสรุปแล้ว คนร้ายเป็นพวกชาวบ้าน ฉันรู้เลยว่าพวกมันเป็นใคร

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปสักพักแล้วเขาก็ชี้กระบี่ไม้ไปที่เจ้ากระรอก “วันหลังพูดมันออกมาเลยได้ไหม ไม่ใช่มาส่งสายตาให้กันแบบนี้ แผ่นกระดาษที่ให้ไปก็ใช้ด้วยสิ”

 

 

เจ้ากระรอกติดการสื่อสารทางสายตามาจากเสี่ยวอวี๋ เพราะแค่ส่งสายตาออกไปเธอก็เข้าใจแล้ว!

 

 

[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +199!]

 

 

หลี่ว์ซู่คิดอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยออกไป “เดี๋ยวฉันจะให้รูปของคนคนหนึ่งไว้ ไปตามหาว่าเขาเป็นใคร ไปหาที่อยู่ปัจจุบันมาให้ได้ แล้วไปหามาด้วยว่าเขาไปฝึกทุกวันที่ไหน”

 

 

ว่าแล้วก็ส่งรูปหลิวหลี่ให้เจ้ากระรอกดู เขารู้สึกสงสัยใครรู้ “ต้องทำสำเนาให้หนูตัวอื่นๆ ด้วยหรือเปล่า”

 

 

เจ้ากระรอกใช้อุ้งเท้าเขียนตัวหนังสือบนพื้นอย่างมั่นใจ ‘ไม่จำเป็น เดี๋ยวจะไปเข้าฝันแล้วบอกพวกมันทุกตัวเอง’

 

 

“ความคิดดีนี่…” หลี่ว์ซู่หยุดคิดไปครู่นึ่ง “ไปเร็ว อย่าชักช้า”

 

 

หลี่ว์ซู่เพิ่งรู้ว่าทักษะที่ทำให้หลับของเจ้ากระรอกนี้จะใช้กับหนูได้ด้วย แถมมันยังจะส่งภาพหลิวหลี่ให้พวกหนูโดยการเข้าฝันอีกต่างหาก

 

 

หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเจ้ากระรอกก็เอาข้อมูลของหลิวหลี่มาให้ บ้านเขาอยู่ที่ตึกหมายเลข 12 เขตวิลล่า สวนสนามกอล์ฟเจี้ยนเยี่ย

 

 

หลี่ว์ซู่ปิดปากตกใจ ครอบครัวนี้รวยมากเลยนี่ แค่บ้านที่อยู่ก็คงราคาล้านกว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นที่ดินบนพื้นที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเสียด้วย ต้องมีเงินอยู่ในมือราวสี่สิบล้านเป็นอย่างต่ำถึงจะซื้อที่ดินผืนนี้ได้

 

 

สำหรับนักธุรกิจแล้วการจะมีเงินสะพัดเยอะมากขนาดนั้นต่อปีเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีแรงทำงานหนักได้ขนาดนั้น

 

 

ขณะที่หลี่ว์ซู่นั่งคิดอยู่นั้น จิตของเขาก็ล่องลอยผ่านตราแผ่นดินแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้าของเมืองลั่ว

 

 

เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เจียงซู่อีแข็งแกร่งขนาดไหนแล้ว ตอนที่เขาเพิ่มระดับพลังจิตวิญญาณเพื่อช่วยเจียงซู่อี ระดับพลังจิตวิญญาณบริเวณนั้นสูงกว่าที่อื่นๆ มาก เจียงซู่อีต้องรู้สึกขอบคุณฮีโร่ไร้นามคนนี้หน่อยแล้วใช่ไหม

 

 

ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็เจอตึกหมายเลข 12 เขตวิลล่า สนามกอล์ฟเจี้ยนเยี่ยแล้ว เขาหายใจเข้าลึก “หลิวซิว ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันมาเพื่อช่วยลูกพี่ลูกน้องนาย นายอยู่บนสวรรค์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่เปลี่ยนไปไม่เหมือนตอนที่เขาเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้เจียงซู่อีอย่างลับๆ อีกแล้ว ครั้งนี้เขาจะเล่นใหญ่ไม่ปิดบังการช่วยเหลือ

 

 

นึกย้อนกลับไปตอนที่เขายังไม่ได้บอกความจริงแล้วก็เอาศพของหลิวซิวออกมาจากตราแผ่นดิน เขาก็คิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน เขาต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขามีตราแผ่นดินไว้ครอบครอง

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เนี่ยถิงไม่ได้ว่าอะไร ราวกับว่าเนี่ยถิงละสือเสวจิ้นต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเขามีตราแผ่นดินอยู่กับตัว เขาไม่รู้ว่าราชันฟ้าอ้วนหลี่อีเสี้ยวจะแสดงอาการอย่างไรถ้ารู้เรื่องนี้ เพราะตอนนั้นควรเป็นเขาที่ได้ดวงตาแห่งค่ายกลที่โบราณสถานเป่ยหมัง…

 

 

เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาจะไม่หลบซ่อนการเพิ่มพลังจิตวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะเพิ่มพลังให้เยอะขึ้นกว่าที่เขาเคยเพิ่มให้เจียงซู่อี

 

 

ช่างกลางดึกคืนนั้น หลิวหลี่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ แล้วอยู่ๆ เขาก้ได้ยินเสียงสั่นกรอบแกรบมาจากในห้อง เศษฝุ่นร่วงหล่นมาจากเพดาน

 

 

หลิวหลี่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น หลิวหลี่ไม่ได้เป็นพวกอ่อนต่อโลก จริงๆ แล้วเขานั้นหัวดีกว่าคนอื่นมาก ตอนที่อยู่ที่โบราณสถานเป่ยหมังเองก็ด้วย

 

 

นักเรียนหลายคนคิดว่าตัวเองเก่งเกินตัวแล้วก็เอาแต่หาแต่ดวงตาแห่งค่ายกลกัน ทว่าพวกเขาไม่เคยกล้าพอที่จะไปเผชิญหน้าต่อสู้กับพวกโครงกระดูก แต่หลิวหลี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขามองพวกโครงกระดูกแล้วก็รู้ว่าเขาสู้พวกมันไม่ได้ เขาก็เลยหันไปขโมยผลไม้จากกระรอกกินประทังชีวิตแทน

 

 

ใครๆ ต่างก็เห็นว่าหลิวหลี่ที่ตัวเปื้อนเลือดนั่งยองๆ กินผลไม้อยู่ที่พื้นตอนที่พวกเขากำลังเดินออกไปจากโบราณสถาน ทำไมทุกคนถึงปลอดภัยกันดีอยู่ล่ะ เพราะว่าคนอื่นๆ น่าจะช่วยปกป้องพวกเขาไว้น่ะสิ

 

 

แต่หลิวหลี่นั้นต่างออกไป อย่างน้อยเขาก็พึ่งตัวเองด้วยการไปแย่งเอาผลไม้เหล่านี้มาได้

 

 

แม้จะไม่มีแจ้งเตือนแผ่นดินไหวและไม่มีความผิดปกติอื่นๆ แต่ถึงอย่างไรหลิวหลี่ก็กระโดดผลุงออกจากประตูกระจกสูงเพื่อออกไปดูว่ามีอะไรข้างนอก

 

 

เสียงกระจกกระทบกันยังสั่นไม่หยุด จากนั้นคฤหาสน์ก็ถล่มลงมาเสียงดังโครม!

 

 

หลิวหลี่มองคฤหาสน์ที่พังลงไปด้วยความตกใจกลัว…

 

 

[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +1000!]

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset