ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 952 งานยิ่งใหญ่

 

 

 

ก่อนออกเดินทาง หลี่เฮยทั่นคลานหลบอยู่ใต้รถม้าเพราะคิดที่จะแอบตามหลี่ว์ซู่ไป แต่เขาก็ถูกหลี่ว์ซู่จับได้เสียก่อน  

 

 

หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉันออกไปเพื่อสำรวจเส้นทางก่อนและเมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยไม่มีปัญหา ฉันถึงจะมาพาทุกคนไป ระหว่างนี้ก็อยู่ที่นี่และฝึกฝนอย่างสงบ ความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของทุกคนจะสามารถช่วยฉันได้ในอนาคต”  

 

 

หลี่เฮยทั่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาเพียงต้องรอตามที่องค์ราชาสัญญาว่าจะเรียกพวกเขาไป!  

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ร่วมทางไปกับกองคาราวานการค้า โดยทั่วไปแล้วก็มีขุนนางจำนวนมากที่เข้าร่วมเดินทางกับกลุ่มของพวกเขา กองคาราวานนี้จึงยินดีที่จะพาทั้งคู่ไปด้วยกัน แลกกับการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับกองคาราวานการค้า และกองคาราวานการค้าก็จะรับผิดชอบค่าอาหารและที่พักประจำวันของพวกเขา   

 

 

กองคาราวานจึงไม่แปลกใจอะไรมากเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ประการแรกก็คือ พวกเขาไม่เคยเห็นทั้งหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาก่อน และประการที่สองก็คือ พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าเมืองหนานเกิงจะออกไปในเวลานี้ และยิ่งไปกว่านั้น หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ดูไม่เหมือนคนเป็นเจ้าเมือง…   

 

 

ส่วนคนขับเกวียนของพวกเขาคือหัวหน้าบาทหลวงเป็นผู้เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นกำลังแรงงานที่ทรงพลังที่สุดของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋   

 

 

เมื่อถึงยามค่ำ กองคาราวานการค้าจะตั้งค่ายอยู่ชายป่า เนื่องจากไม่มีคนเฝ้ายามอยู่รอบๆ หลี่ว์ซู่จึงไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีสัมผัสจิตที่จะรับรู้ได้เมื่อถูกคนอื่นมุ่งร้ายใส่  

 

 

คนในกองคาราวานไม่ได้คิดจะพูดคุยอะไรกับหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ จากมุมมองของทั้งสองฝ่ายนั้น มันเป็นความสัมพันธ์ในการเป็นคู่ค้ากันเท่านั้น กองคาราวานจะนำหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปส่งที่เมืองหลวงเท่านั้น ส่วนตัวตนของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นล้วนไม่สำคัญ มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา  

 

 

ในสายตาของกองคาราวาน ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมจะไม่มาเดินทางร่วมไปกับพวกเขา จะมีก็แค่คนที่กลัวโจร แล้วจะมีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนที่กลัวโจรกันล่ะ?   

 

 

อันที่จริง หัวหน้ากองคาราวานไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะนำโจรมาด้วย… แถมยังเป็นโจรที่มีชื่อเสียงมาก…  

 

 

ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะเข้าร่วมกองคาราวานการค้า เขารู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกองคาราวานเป็นเพียงยอดฝีมือระดับสอง ดังนั้นเขาจึงสามารถมองข้ามเรื่องภัยคุกคามใดๆ จากกองคาราวานการค้านี้ไปได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทั้งจอห์นสัน แอนโทนี่ และหัวหน้าบาทหลวงต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง  

 

 

แม้ว่าจะมีตระกูลที่มั่งคั่งมากมายในจักรวาลหลี่ว์ แต่ก็มีเด็กร่ำรวยเพียงไม่กี่คนจากตระกูลเหล่านี้ที่สามารถเดินทางโดยได้รับการคุ้มครองจากยอดฝีมือระดับหนึ่งสามคน … หรือแม้แต่ไม่มีเลย  

 

 

ในกองคาราวานมีมากกว่ายี่สิบคนที่จ่ายเงินเพื่อร่วมเดินทางไปด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่เดินทางไกลเหมือนหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ อย่างไรก็ตาม กองคาราวานก็มักจะดูด ‘ผู้โดยสาร’ แบบนี้ไปตลอดทาง ดังนั้นจึงมีผู้คนมาเข้าร่วมเดินทางไปกับพวกเขาอย่างต่อเนื่อง  

 

 

ในระหว่างวัน หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ในรถม้า หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะนั่งข้างหัวหน้าบาทหลวงด้วยความรู้สึกเบื่อสุดๆ ขณะที่นั่งห้อยขาของทั้งสองของเธอออกไปนอกรถม้า แต่หลี่ว์ซู่จะนั่งอยู่ข้างในรถม้าและฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของเขา  

 

 

เขานั่งขัดสมาธิในรถม้าและหลับตาในขณะที่มีกิ่งไม้ที่เพิ่งหักใหม่อยู่บนเข่าของเขาซึ่งคล้ายกับครั้งก่อนหน้านี้ที่มีใบไม้ยังอยู่บนกิ่งไม้  

 

 

ตอนนี้ดูเหมือนว่า หลี่ว์ซู่จะไม่ต้องการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไปเมื่อเขาฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ พลังกระบี่ที่อยู่ในหัวใจของเขาพร้อมที่จะปรากฏออกมาตามการเรียกหาของเขา และในบางครั้งกิ่งที่อยู่บนตักของเขาจะสั่นสะท้าน แต่มันก็ไม่ได้เสียหายใดๆ  

 

 

ในเวลาเดียวกันคลื่นพลังจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และปฐพีก็ได้มารวมกันในร่างกายของเขาและช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  

 

 

หากมีคนในกระท่อมกระบี่มาอยู่ใกล้ๆ เขา พวกเขาก็ย่อมจะแปลกใจ เพราะแม้แต่ในกระท่อมกระบี่ก็ไม่มีใครสามารถละจากการฝึกดาบภายนอกและฝึกฝนพลังกระบี่ภายในของพวกเขาได้ก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั่งแกว่งขาของเธอไปมาออกไปด้านนอกรถม้าขณะที่ฟังการสนทนาของคนในกองคาราวานการค้าที่พูดคุยกันว่า หากกองคาราวานเดินทางไปได้อย่างราบรื่น พวกเขาก็จะสามารถเห็นการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่อันยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ในทุกๆ ปีนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และคึกคักเสียยิ่งกว่าเทศกาลปีใหม่ บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่จะแสดงทักษะอันยอดเยี่ยมของพวกเขา และในที่สุดผู้บำเพ็ญระดับต้นๆ ก็จะมีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้จากผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่”  

 

 

บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่จากนอกพื้นที่ก็จะรีบกลับมาเช่นกัน แม้ว่าบางพื้นที่จะกำลังทำสงครามกันอยู่ แต่ผู้บัญชาการกองทัพซึ่งเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ก็จะหยุดการต่อสู้กันในเวลานี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกันในสนามรบ แต่พวกเขาก็ยังนับกันเป็นพี่น้องเมื่ออยู่ในกระท่อมกระบี่  

 

 

สงครามมีไว้เพื่อผลประโยชน์ แต่สิ่งสุดอัศจรรย์ก็คือ แม้จะเป็นสงครามที่รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่สามารถทำลายมิตรภาพระหว่างศิษย์ของกระท่อมกระบี่ได้  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำปากยื่นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ “อะไรจะขนาดนั้น?”  

 

 

และผลก็คือ เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็หัวเราะและหัวหน้ากองคาราวานก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อยก็กำลังจะไปที่เมืองหลวงด้วยนี่ เมื่อไปถึงแล้วก็จะเข้าใจได้เองว่ากระท่อมกระบี่เป็นสถานที่ที่น่าทึ่งมาก”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำปากยื่นอีกครั้ง ตามที่คนเหล่านี้กล่าวไว้ สถานที่อย่างกระท่อมกระบี่ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ พวกเขาสามารถรักษากระท่อมกระบี่ให้ยั่งยืนได้เพราะการเสียสละของบรรดาลูกศิษย์ นอกจากนี้ กระท่อมกระบี่ยังห้ามไม่ให้ยกย่องเจ้าสำนักของกระท่อมกระบี่เป็นเทพกระบี่ และกระท่อมกระบี่ก็เป็นถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการต่อสู้เพื่อราชันแห่งทวยเทพ  

 

 

มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นและเป็นอันตรายต่อตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิด  

 

 

แต่เมื่อคนเหล่านี้กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องกระท่อมกระบี่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ถึงคิดได้ว่า หลี่ว์ซู่กำลังจะกลายเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ในไม่ช้า และเมื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงความอัศจรรย์ของบรรดาเหล่าศิษย์ของกระท่อมกระบี่ว่าทรงพลังและเยี่ยมยอดขนาดไหน เธอก็เบิกบานขึ้นในทันใด  

 

 

ด้วยเหตุผลในตัวตนปัจจุบันของหลี่ว์ซู่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่สนใจว่าเขาจะสามารถเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ได้หรือไม่ แต่แค่คิดเธอก็มีความสุขแล้ว  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในความคิดของเธอ หากหลี่ว์ซู่อยากจะเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ ก็ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน  

 

 

คาราวานการค้าชอบเรียกผู้โดยสารว่า ‘นายจ้าง’ เพื่อแสดงความเคารพต่อพวกเขา แล้วจู่ๆ ก็มีนายจ้างคนหนึ่งในกองคาราวานถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณต้องได้พบผู้โดยสารจำนวนมากในขณะที่เดินทางจากเหนือล่องใต้ เคยเจอมีเหตุการณ์แปลกๆ หรือบุคคลที่น่าสนใจบ้างไหม?”   

 

 

“ฮ่าฮ่า” หัวหน้ากองคาราวานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “มีแน่นอน เมื่อสามปีก่อน ขุนนางผู้หนึ่งจากทางตะวันออก ว่าจ้างพวกเราหยิ่งผยองว่าเขาได้รับจดหมายรับรองและกำลังจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ แต่ทันทีที่ไปถึงเมืองหลวง เขาก็หวาดกลัวจนขอร้องให้เราพาเขากลับบ้านโดยเร็ว ฮ่าฮ่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปสู่การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ได้”  

 

 

“แล้วโดยทั่วไปแล้วสินค้าที่คุณจัดส่ง เป็นของมีค่าหรือเปล่า?” นายจ้างวัยกลางคนถามด้วยรอยยิ้ม  

 

 

“ไม่มากนักหรอก” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวเสียงต่ำในทันที “เราซื้อและขายสินค้าหวังเอากำไรจากส่วนต่างมากกว่า และถ้าเป็นของราคาแพง คิดว่าเราจะได้เงินมากสักเท่าไหร่ล่ะ?”  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานรู้ความจริงที่ว่าอย่าได้โอ้อวดความมั่งคั่งของตนอย่างเปิดเผย แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ในฐานะอดีตผู้จัดการ เธอรู้ชัดอย่างแน่นอนว่ากองคาราวานนี้ทรงพลังมาก จำนวนการซื้อสิ้นค้าจัดอยู่ในกลุ่มห้าอันดับแรกของทั้งหมด ซึ่งแม้แต่ตระกูลซ่งก็ยังไม่ได้ซื้อสินค้ามากเท่าที่พวกเขาทำด้วยซ้ำ  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นึกโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อจำได้ว่า จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ได้ส่งมอบบัญชีให้เธออย่างไร ทำไมวิชาคำนวนของพวกเขาจึงแย่ขนาดนั้น? พวกเขาไม่เข้าใจแม้กระทั่งการปรับดุลบัญชีด้วยซ้ำ?!  

 

 

และชั่วขณะนั้น จู่ๆ ก็มีคนถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “สาวน้อยก็กำลังจะไปที่เมืองหลวงด้วยใช่หรือไม่? ไปทำไมหรือ?”   

 

 

จู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานก็ถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ล่ะ ?”  

 

 

หืม?  

 

 

เมื่อหัวหน้ากองคาราวานพูดแบบนี้ ทุกคนที่ได้ยินก็ยิ่งดูเหมือนจะเป็นไปได้ กองทัพอู่เว่ยได้เสนอชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกมาพักใหญ่แล้ว และกองทัพอู่เว่ยประจำการอยู่ในเมืองหนานเกิงใช่ไหม? นอกจากนั้นทั้งสองก็มาเข้าร่วมกับกองคาราวานการค้าที่เมืองหนานเกิง…  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset