เสี่ยวอวี๋เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เธอเก็บของใช้ประจำวันไว้ในกระเป๋าเดินทางสีชมพูที่เพิ่งซื้อมา และเก็บขนมต่างๆ ไว้ในแหวนมิติ
เธอรู้แหละว่าคงไม่ได้รับอนุญาตให้เอาขนมไปค่ายฝึกด้วย แต่คงไม่มีใครห้ามเอาวงแหวนมิติไปหรอกใช่ไหม
“รอฉันฝึกเสร็จก่อนเถอะ ต่อไปในอนาคต ฉันจะช่วยชีวิตเธอเอง” เสี่ยวอวี๋บอกหลี่ว์ซู่ที่กำลังยืนอยู่นอกประตูห้อง “ถ้าฉันบอกว่าจะปกป้องเธอก็คือหมายความตามนั้น! เสี่ยวอวี๋คนนี้ทำตามที่พูดแน่!”
หลี่ว์ซู่เจ็บหลังศีรษะขึ้นมาตงิดๆ ทำไมเด็กสาวอายุน้อยคนนี้ถึงอยากจะเป็นราชันฟ้าขึ้นมาได้นะ
[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +199!]
“หลี่ว์ซู่จะคิดถึงกันหรือเปล่า ฉันไปตั้งหลายเดือน” เสี่ยวอวี๋ถาม
“คิดถึงอะไรกันเล่า ไปแค่สามเดือนเองไม่ใช่เหรอ” หลี่ว์ซู่ตอบออกไปแบบไม่ได้คิด
[ได้แต้มอารมณ์จากเสี่ยวอวี๋ +399!]
“หลี่ว์ซู่ มองหน้าฉันแล้วตอบใหม่” เสี่ยวอวี๋พูดเสียงเย็น
“ฮ่าๆๆ คิดถึงสิ คิดถึงแน่นอน” หลี่ว์ซู่ตอบอีกรอบอย่างรู้สึกผิด
“คิดอะไรอยู่น่ะ ทำไมถึงใจลอยขนาดนี้” เสี่ยวอวี๋เริ่มรู้สึกน้อยใจ
“กำลังคิดอยู่ว่าจะขายศิลาวิญญาณยังไงดี” หลี่ว์ซู่ตอบ
หลี่ว์ซู่ส่งเจ้ากระรอกออกไปเพื่อหาสถานที่ขายของที่คล้ายๆ ตลาดมืดในเมืองลั่ว หลี่ว์ซู่คิดว่าเมืองเหวินหวานไม่น่าไว้ใจ เขาอยากรู้ด้วยว่ามีคลาดมืดที่ไหนหลบซ่อนอยู่ในเมืองลั่วอีกหรือเปล่า
หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินเข้ามาดูแล พวกเขาก็ไม่ได้กำจัดพวกผู้บำเพ็ญลับออกไปทั้งหมด กลับกัน พวกเขาเลี้ยงดูพวกผู้บำเพ็ญเหล่านี้แทน
นี่คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนเลย พวกเขาเคยเข้มงวดมากเพราะอยากรักษาเสถียรภาพทางสังคมไว้ พวกเขากลัวว่าจะมีคนก่ออาชญากรรมขึ้นมา แต่ตอนนี้พวกผู้บำเพ็ญลับไม่ก่อปัญหาและดูเชื่อฟังดี เครือข่ายฟ้าดินก็เลยไม่ไปเข้มงวดกับพวกเขามาก
จงอวี้ถังเคยบอกว่าผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวกลายเป็นคนเร่ร่อน ยกตัวอย่างเช่นหลี่เตี่ยน ลุงร้านแผงลอยที่ตลาดมืด นั้นหง่อมลงอย่างรวดเร็ว พวกเขากลัวว่าถ้าได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มหรือองค์กรใดเข้าแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นแกะดำ ด้วยเหตุนี้ผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวซึ่งเคยก่ออาชกรรมมาก่อนอย่างหลี่เตี่ยนจึงไม่สามารถเข้าร่วมกับองค์กรหรือกลุ่มไหนได้ พวกเขาอาจถูกควบคุมตัวหรือถูกจ้างไปเป็นสายลับขององค์กรแทน
สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว พวกเขาประกาศชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวจึงต้องฝึกฝนเพื่อไม่ให้ถูกจับตัวได้ ไม่อย่างนั้นชะตาของพวกเขาก็คงจบลง เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับตลาดมืดกว่าสิบแห่งในเซี่ยโจว อวี้โจว และส่านโจว ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก
หลี่ว์ซู่รู้ไม่สนใจว่าเครือข่ายฟ้าดินจะทำอะไรหรอก เขาแค่อยากหาที่เหมาะๆ ไว้ขายศิลาวิญญาณก็เท่านั้น
เมื่อมีคนอยากซื้อ ก็ต้องมีคนขายที่ตลาด ในสถานการณ์เช่นนี้ ของจะที่ขายมีน้อยกว่าคนที่อยากซื้อ ราคาของศิลาวิญญาณจึงมีราคาสูงตาม
โดยปกติแล้วคนขายศิลาวิญญาณก็คือคนจากเครือข่ายฟ้าดินและนักเรียนห้องเต้าหยวนนี่แหละ กระนั้นก็มีคนขายไม่มาก
กระทู้ในเว็บบอร์ดของมูลนิธิหนึ่งบอกว่ามีคนที่มีอำนาจและร่ำรวยเพิ่งเข้ามาในตลาดมืดที่เมืองเซี่ยโจว เขาซื้อศิลาวิญญาณไปถึงสามร้อยเม็ดด้วยกัน ไม่ว่าจะมีเท่าไหร่ก็เหมาไปหมด
มีข่าวลือว่าเขาเป็นนายหน้าให้กับครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนั้นจะใช้ศิลาทั้งหมดไปกับการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัว เด็กในครอบครัวบางคนก็มีทักษะและความสามารถแต่ยังไม่แสดงออกมาให้เห็น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วความสามารถของเด็กพวกนั้นสูงผิดปกติ
นี่ก็สองวันผ่านไปแล้วหลังจากที่หลี่ว์ซู่ไปส่งเสี่ยวอวี๋เข้าค่ายฝึก วันนั้นมีรถทหารกว่ายี่สิบคันมาจอดที่สนามในโรงเรียนภาษาต่างประเทศลั่วเฉิง ผู้ปกครองต่างร้องไห้กอดลูก ร้องอย่างกับว่าจะส่งลูกไปตายในสนามรบแล้วไม่มีวันกลับมาอย่างนั้นแหละ เด็กหลายคนก็ร้องไห้หนักเหมือนกัน เด็กบางคนมองมาอย่างสงสัย พวกเขาอาจจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องออกมาก็เป็นได้
มีผู้ปกครองหนึ่งคนที่เห็นหลี่ว์ซู่พาเสี่ยวอวี๋มาลงทะเบียนแล้วก็เช็ดน้ำตา
“ทำไมถึงมีเด็กผู้หญิงเล็กๆ มาได้ล่ะ นี่น่ะเหรอเด็กอัจฉริยะที่พูดถึงที่บ้านอยู่บ่อยๆ”
“ใช่ครับ” เด็กที่ถูกถามตอบกลับโดยทำสีหน้าไม่ถูก
“แล้วข้างๆ นั่นใครล่ะ” ผู้ปกครองถามต่อด้วยความสงสัย
“อ้อ คนนั้นก็รุ่นเดียวกันแหละ แต่ว่าเขาสอบเข้าวิทยาลัยไม่ได้ ก็เลยถูกส่งไปที่หน่วยรักษาความปลอดภัย” ใครสักคนตอบแทน
“นี่ไง ผลของการไม่ตั้งใจเรียน” ผู้ปกครองคนนั้นพยักหน้า
นักเรียนที่อยู่ข้างๆ เลยปิดปากเงียบ หลายคนรู้ว่าเกรดของหลี่ว์ซู่อยู่ในเกณฑ์ดี แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกส่งไปอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยเสียได้
ในความเป็นจริงแล้วผู้คนก็ไม่ได้รู้ความจริงในโลกไปเสียทุกอย่าง ที่ไม่รู้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าระดับยังไม่สูงพอ พวกเขาเลยไม่จำเป็นจะต้องรู้นั่นเอง
เสี่ยวอวี๋มองไปที่กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองที่บอกลากันทั้งน้ำตา เธอคิดไปถึงสิ่งที่หลี่ว์ซู่พูดไว้สองวันก่อน ถ้าอยากจะป็นราชันฟ้าก็ต้องมีความสามารถที่จะโน้มน้าวให้คนเชื่อฟังได้
แต่จะทำอย่างไรล่ะ แค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องหนักแน่นและแข็งแกร่งอีกด้วย
“หลี่ว์ซู่อย่าร้องไห้แบบคนพวกนั้นเชียวนะ เด็กชะมัดเลย” เสี่ยวอวี๋หันไปบอกหลี่ว์ซู่
เสียงของเธอไม่ได้เบาเลย ทั้งสนามเลยตกอยู่ในความเงียบ…
[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวเจี้ยงกั๋ว +481]
[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยเผย…]
[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +99…]
หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าความเร็วในการหาแต้มแลกผลไม้แห่งนรกของเสี่ยวอวี๋นั้นไวใช้ได้เลย…
หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าตำแหน่งราชันฟ้าคงไม่ถูกหยิบยื่นให้กับเด็กคนหนึ่งหรอก ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสามารถสูงก็ตาม เด็กยังไม่มีวุฒิภาวะที่โตพอ ถึงแม้เสี่ยวอวี๋จะโตเกินตัวแต่ก็ไม่มีข้อยกเว้นอยู่ดี ราชันฟ้าเป็นหน้าเป็นตาของเครือข่ายฟ้าดิน มีหลายครั้งที่ทัศนคติของราชันฟ้าจะเป็นตัวแทนเครือข่ายฟ้าดินทั้งหมดเมื่อเผชิญกับกองกำลังภายนอก
เพราะฉะนั้นฝันของเสี่ยวอวี๋ที่จะเป็นราชันฟ้าก็คงเป็นได้แค่ฝัน…
หลี่ว์ซู่แน่ใจว่าที่เสี่ยวอวี๋อยากเป็นราชันฟ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอยากแบกรับความรับผิดชอบ แต่เธอแค่อยากเอาคืนเฉยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเนี่ยถิงก็คงต้องปฏิเสธเสี่ยวอวี๋เรื่องตำแหน่งฟ้าแน่ๆ
ต่อให้เสี่ยวอวี๋ร่วมมือกับผู้บำเพ็ญระดับ B อีกสองคนก็ยังเทียบพลังของเนี่ยถิงคนเดียวไม่ติด…
เสี่ยวอวี๋กระโดดขึ้นรถทหารโดยไม่หันกลับมามอง เธอเหมือนกับซุนหงอคง [1] นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่เทียมสวรรค์ที่ไม่เกรงกลัวต่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวดวงไหนๆ เธอพร้อมจะควงพลองวิเศษ [2] ทำลายวังแห่งสวรรค์ให้ไม่เหลือซาก
หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดว่าเธอคงไม่ไปสร้างปัญหาใหญ่ที่นั่น
แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าตอนนี้เสี่ยวอวี๋ต้องคอยสะสมแต้มอารมณ์ด้วยนี่นา งั้นเธออยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปเถอะ
หลี่ว์ซู่เองก็ต้องไปเรียนตามปกติ เขาต้องใช้ชีวิตรอการสอบม.ปลายการท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเพื่อนร่วมชั้น
ภายในช่วงนี้ เขาต้องคิดให้ออกว่าจะเอาศิลาวิญญาณในมือไปเปลี่ยนเป็นเงินสดอย่างไร นี่คืออาณาจักรสีเทาที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
——
[1] รู้จักกันอีกชื่อว่าราขาลิง เป็นตัวละครที่สำคัญของนิยายจีนในสมัยศตวรรษที่ 16
[2] พลองวิเศษที่เป็นอาวุธของซุนหงอคง มีขนาดใหญ่มากและสามารถยืดยาวไร้ขีดจำกัดได้