ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 542

“นี่ๆ รู้ป่ะ” จู่ๆ นักเรียนในห้องก็ถามขึ้นมา “เฉาชิงฉือไม่ได้ไปฝึกล่ะ เหมือนกับเจียงซู่อีเลย อยู่ๆ เธอก็หายไป”

 

 

เยี่ยหลิงหลิ่งกังวลใจกับเรื่องซุบซิบนี้ที่สุด เธอกอดถุงขนมมันฝรั่งเอาไว้แล้วถามขณะเคี้ยว “เป็นไปได้มั้ยว่าเธอเข้าร่วมการฝึกแต่ไม่มีใครเห็นเธอเฉยๆ”

 

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก รถทหารขับออกไปเมื่อสองวันก่อน แต่ฉันเห็นเฉาชิงฉือที่ตลาดเจี้ยนตงตอนบ่ายเมื่อวาน เพื่อนร่วมชั้นเธอบอกว่าเธอไม่ได้ไปเข้าเรียน” นักเรียนคนหนึ่งว่า “เมื่อคืนในกลุ่มแชตได้คุยกันรึเปล่าว่าทำไมเฉาชิงฉือไม่ได้ไปฝึก”

 

 

“บางทีเธออาจต้องไปปฏิบัติภารกิจก็ได้” เยี่ยหลิงหลิ่งกล่าวพลางครุ่นคิด แล้วจู่ๆ เธอก็โพล่งถาม “ถ้างั้นหลี่ว์ซู่ก็…”

 

 

“เบาเสียงหน่อย” นักเรียนอีกคนมองไปทางหลี่ว์ซู่ “หลี่ว์ซู่น่ะไม่ใช่หรอก กรณีเขาไม่เหมือนเฉาชิงฉือ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาเชียว ดูจากท่าทีเขาตอนนี้ เขาคงเศร้าอยู่”

 

 

ในมือหลี่ว์ซู่มีหนังสือเรียนประวัติศาสตร์อยู่ เขาพลิกหน้าหนังสือไปหน้าใหม่ทุกครึ่งนาที ดวงตาจับจ้องไปที่ตัวอักษร หลี่ว์ซู่เอาแต่ทบทวนเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่กลับมาเข้าเรียน

 

 

ทว่าเขาใช้เวลาทบทวนรวดเร็วมาก ในสายตาเพื่อนร่วมห้อง พวกเขาเห็นแค่ว่าหลี่ว์ซู่พลิกอ่านหนังสือแบบผ่านๆ เท่านั้น ทว่ามันสมองของหลี่ว์ซู่นั้นไม่เหมือนใคร เขารู้เนื้อหาทั้งหมดอยู่แล้ว และตอนนี้เขาก็แค่อ่านทวนมันอีกรอบ

 

 

หลี่ว์ซู่เป็นนักเรียนดีเด่นมาตลอด หากเหตุการณ์ที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืนไม่เกิดขึ้น ดูจากทัศนคติที่จริงจังของตัวเองแล้ว เขาก็คงใช้ชีวิตที่มุ่งหาความสำเร็จแบบคนอื่นๆ เช่นกัน

 

 

เยี่ยหลิงหลิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “หลี่ว์ซู่ นายวางแผนจะเรียนซ้ำชั้นแล้วสอบเข้าวิทยาลัยผู้บำเพ็ญหรือว่า…”

 

 

หลี่ว์ซู่มองเธออย่างสงบ “ฉันไม่อยากเสวนากับคนที่ได้คะแนนน้อยกว่าหกร้อยสี่สิบ”

 

 

เยี่ยหลิงหลิ่งอึ้งไปถนัด

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยหลิงหลิ่ง +999!]

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จาก…]

 

 

ห้องเรียนเงียบกริบไปราวสองวินาที ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน ราวกับว่าพวกเขาย้อนกลับไปยังช่วงก่อนหน้าจิตวิญญาณฟื้นคืน ตอนที่ทุกคนเกรงกลัวหลี่ว์ซู่กับคะแนนสอบของเขา…

 

 

แล้วพวกเขาก็เข้าใจเรื่องราว หลี่ว์ซู่วางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัยปกติ พวกเขาไม่มีทางแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ได้หรอก!

 

 

ทว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจพวกเขา เพราะถึงอย่างไรเขากับนักเรียนพวกนั้นก็อยู่คนละโลกกันอยู่แล้ว

 

 

คำว่า “พลังจิตวิญญาณฟื้นฟู” เจ็ดพยางค์นี้เป็นดาบคมที่ตวัดแบ่งแยกโลกของพวกเขาออกจากกัน

 

 

เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ยังคงต้องเตรียมตัวสอบจบการศึกษาและใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่สำหรับหลี่ว์ซู่นั้น เขาถูกลิขิตให้เดินไปบนเส้นทางอันแสนขรุขระของผู้บำเพ็ญ

 

 

หากหลี่ว์ซู่เอ่ยปากบอกเพื่อนของเขาว่าเขาฆ่าคนไปมากมายขนากไหน พวกเขาอาจหวาดกลัวหลี่ว์ซู่ไปเลยก็ได้

 

 

เขาไม่เหมือนกับหลิวหลี่ มือของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด เส้นทางผู้บำเพ็ญของเขาปูไปด้วยซากศพ

 

 

ตอนนี้มีปริศนามากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์การตายของทาคาชิมะ ทาริอัตสึ กระนั้นคนที่อยู่ในสมรภูมิรบครั้งนั้นต่างก็พากันปิดปากเงียบสนิททั้งหมด แม้กลุ่มอนุรักษนิยมจะลองสอบถามกับซากุราอิ ยาเอโกะแล้ว แต่เธอก็ไม่หลุดพูดอะไรออกมาเลยสักนิด

 

 

ทว่าเมื่อสายลับจากองค์กรต่างๆ เดินทางไปยังฐานของพวกทวยเทพเพื่อสืบดู ข้อมูลที่พวกเขาได้กลับมามีจุดร่วมที่ตรงกันอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือทาคาชิมะได้ใช้พิธีกรรมเลือดในการเลื่อนระดับพลังของตัวเอง แต่เพราะเขาไม่สามารถเปิดดวงตาแห่งสวรรค์รัศมีสิบกิโลเมตรได้ นี่จึงแสดงว่าเขาไม่ได้เลื่อนระดับไปเป็นระดับ A อย่างแท้จริง ทุกคนคาดเดาว่าแม้ทาคาชิมะจะไปไม่ถึงระดับ A แต่เขาก็น่าจะมีพลังเป็นลำดับต้นๆ ของระดับ B หรือไม่ก็สูงกว่านั้น

 

 

แต่ถ้าอย่างนั้น ใครเป็นคนฆ่าทาคาชิมะกันล่ะ

 

 

ตัวตนของคนคนนี้เป็นความลับสุดยอดถึงขนาดที่ว่าทั่วทั้งโลกต่างก็จับตามอง

 

 

คนอย่างเยี่ยหลิงหลิ่งคงไม่คาดคิดหรอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้จะเป็นคนที่พริ้มพราวที่สุดคนหนึ่งของโลก นอกเสียจากว่าเขาจะเฉลยออกมาว่าเขานี่แหละที่เป็นคนฆ่าทาคาชิมะ หรือไม่ก็ยอมรับข้อเสนอของเนี่ยถิงแล้วขึ้นเป็นราชันฟ้า

 

 

ทว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเลือกกลับเป็นการนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเป็นสุขในห้องเรียนอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้

 

 

เยี่ยหลิงหลิ่งคงไม่เข้าใจหรอก กระทั่งเนี่ยถิงเองก็คงไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ทว่าสือเสวจิ้นกลับหัวเราะจนพูดไม่เป็นภาษา

 

 

ตอนเย็นหลังเลิกเรียน หลี่ว์ซู่รีบเก็บของออกจากห้องเรียนไปทันทีราวกับเขาได้คาแรกเตอร์ชายผู้สันโดษคืนมาดังเดิม เมื่อเพื่อนนักเรียนคนอื่นเดินออกมาจากห้อง หลี่ว์ซู่ก็วาร์ปไปถึงประตูโรงเรียนแล้ว เยี่ยหลิงหลิ่งมองดูร่างของหลี่ว์ซู่จากระเบียง แล้วจู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมา “ดูนั่น!”

 

 

ทุกคนหันไปมองตาม พวกเขาสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่กำลังยืนคุยอยู่กับซีเฟ่ย อาจารย์ประจำห้องเต้าหยวน นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ “มีอะไรแปลกเหรอ พวกเขาสองคนรู้จักกันนี่”

 

 

เยี่ยหลิงหลิ่งเองก็รู้สึกไม่แน่ใจเช่นกัน “ฉันว่าฉันเห็นซีเฟ่ยทำวันทยาหัตย์หลี่ว์ซู่… แต่ฉันอาจจะตาฝาด”

 

 

ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวอยู่ที่ไหน เพราฉะนั้นซีเฟ่ยจึงรับหน้าที่ดูแลเมืองลั่วแทน ทุกคนต่างก็ประทับใจในตัวเขา ทำให้เขากลายเป็นที่ชื่นชอบที่สุดในบรรดาคนของเครือข่ายฟ้าดินสาขาประจำเมืองลั่ว

 

 

“ร้อยเอกหลี่ว์ซู่ จะกลับบ้านแล้วเหรอ” ซีเฟ่ยหัวเราะแล้วถาม เขายังไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นยศพันเอกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครปิดข่าวก็เถอะ แต่เนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นก็ไม่ได้บอกคนที่เหลือ

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ “ผมก็เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเหมือนกันนะ ผมว่าจะตรวจตราดูพื้นที่นี่สักหน่อยว่ามีผู้บำเพ็ญคนไหนทำผิดกฎหรือเปล่า”

 

 

ซีเฟ่ยที่กำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็เงียบไป เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี หลี่ว์ซู่จะไปทำอะไรแผลงๆ อีกหรือเปล่า เขาไม่เห็นจะต้องไปตรวจตราพื้นที่อะไรตอนนี้ ซีเฟ่ยคิดว่าแถวนี้คงจะสงบสุขกว่าถ้าหลี่ว์ซู่ไปโรงเรียนและกลับบ้านตามปกติ

 

 

“อย่าให้ผมเสียเวลาคุณเลยครับ เดี๋ยวผมไปก่อนล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรกับซีเฟ่ยมากมาย เขารีบเดินไปขึ้นรถเมล์โดยไม่หันกลับมามอง

 

 

เจ้ากระรอกช่วยเขาหาที่แปลกๆ ได้สำเร็จ ที่นั่นอยู่ในเมืองเหวินหวาน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่หลังประตูเหล็กนั่น

 

 

พวกหนูของเจ้ากระรอกเห็นผู้บำเพ็ญหรือพวกมนุษย์ที่มีพลังปะปนอยู่กับผู้คนที่เดินเข้าออกประตูนั้น แต่การคุ้มกันที่นั่นหนาแน่นหนามาก พวกหนูเลยเข้าไปข้างในไม่ได้

 

 

หลี่ว์ซู่วางแผนว่าจะไปที่นั่นเพื่อไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเข้าไปในสถานที่อันตราย ในเมืองลั่ว เขาไม่มีศัตรูในเครือข่ายฟ้าดิน นับประสาอะไรกับตลาดมืดที่อยู่หลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้

 

 

เขาเดินเข้าไปในประตูเมืองเหวินหวาน ไม่มีคนธรรมดาออกมาเดินตอนกลางคืน ไม่มีแสงไฟตามถนน ทุกๆ อย่างรอบตัวดูมืดไปหมด

 

 

เขาเห็นคนเดินเข้าออกเป็นระยะๆ คนเหล่านั้นมองหลี่ว์ซู่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่ไว้ใจแล้วก็รีบเดินหายไป

 

 

หลี่ว์ซู่เดินเช้าไปข้างใน ตอนที่เขาเดินเข้าไปยังบริเวณเงาของชายคาตึก เขาก็เปลี่ยนหน้าตาตัวเองให้กลายเป็นเกาเสินอิ่น

 

 

ตอนแรกเขาอยากเปลี่ยนเป็นเฉินจู่อาน แต่เขาทำหน้าตุ้ยนุ้ยไม่ได้…

 

 

เขาเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ แล้วประตูเหล็กก็ปิดสนิทตามหลัง มีแสงสลัวส่องผ่านรอยแยกตรงประตู เขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset