ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 549

ตอนที่ 549 ร่วมมือกันคุมตลาดมืด

 

 

หลี่อีเสี้ยวดูจะภูมิใจในความเป็น ‘องค์ท่าน’ มากเพราะมันเข้ากับชื่อของตัวเอง เขาวางปากกาลงแล้วถาม “หลี่ว์ซู่ นายไปที่ตลาดมืดนั่นทำไม”

 

 

“ไปขายกุยช่ายไงครับ ปลูกเองที่บ้านเลยนะ” เขาหัวเราะอย่างเริงร่า

 

 

“อย่ามาหลอกกันให้ยาก ฉันเห็นอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแล้ว” หลี่อีเสี้ยวส่งสายตาเป็นประกายทิ่มแทงมาให้ “ไปถึงตลาดมืดเพื่อไปขายกุยช่ายงั้นเหรอ แถมยังปลอมตัวเข้าไปอีก คิดว่ากำลังหลอกใครอยู่!”

 

 

หลี่ว์ซู่กัดฟัน ถ้าไม่มีใครจำเขาได้ เขาคงอธิบายได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ไม่น่ามีใครเชื่อแล้วว่าเขาแค่มาขายผักกุยช่ายโดยลงทุนเปลี่ยนหน้าตาของตัวเองเข้าไปในตลาดมืดแบบนี้

 

 

หลี่อีเสี้ยวไม่รอให้หลี่ว์ซู่ตอบ เขาหลิ่วตาให้แล้วเอ่ยถาม “หรือว่าได้อะไรดีๆ มาจากประเทศญี่ปุ่นแล้วอยากปล่อยของงั้นเหรอ”

 

 

หลี่อีเสี้ยวคิดว่าตัวตนของหลี่ว์ซู่ตอนนี้คงไม่สามารถเข้าไปซื้อสินค้าอะไรในตลาดมืดได้ ถ้าเขาอยากซื้อจริงๆ เขาควรไปอาณาจักรแห่งความมืดโดยตรงเลยดีกว่า ตลาดมืดคือที่ของพวกผู้บำเพ็ญลับที่มีสถานะต่ำต้อย

 

 

หลี่อีเสี้ยวรู้ว่าพวกเครื่องมือหรือวัตถุแฝงพลังที่สืบทอดกันมาจะตกอยู่ในมือของเครือข่ายฟ้าดินหรือพวกตระกูลใหญ่ๆ ก่อน ก็เลยเหลือตกมาไม่มากนัก พวกของแบบนี้ก็เลยหายากในตลาดมืด

 

 

หลี่ว์ซู่ก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เขามีศิลาวิญญาณกว่าเก้าหมื่นเม็ด ถ้าเอาไปแลกเป็นเงินได้ เขาคงได้เงินมาแบบใช้ไม่หมดชาตินี้

 

 

ก่อนที่จะเจอน่าหลานเชวี่ยและคนอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่พอเจอตระกูลใหญ่เช่นนี้แล้ว เขาก็คิดอะไรออก พวกตระกูลใหญ่ต่างก็อยากให้ลูกหลานในตระกูลไต่เต้าได้ยศสูงๆ ในเครือข่ายฟ้าดินกันทั้งนั้น พวกเขายอมทุ่มเงินจ่ายเพื่อสิ่งนี้ นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ตระกูลใหญ่อยากได้ศิลาวิญญาณเยอะๆ

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่เองก็มีศิลาวิญญาณไว้ครอบครอง และตระกูลหลายตระกูลก็มีเครื่องมือและวัตถุวิเศษ ขนาดกลุ่มทวยเทพเองยังมีวัตถุวิเศษย่างทรายขาวจากทะเลน้ำลึก เพระฉะนั้นเขาจึงไม่เขื่อว่าตระกูลใหญ่ในประเทศจีนที่เต็มไปด้วยทรัพยากรแบบนี้จะไม่มีสมบัติครอบครองไว้อยู่เลย

 

 

ในตอนแรกอาวุธและวัตถุวิเศษถูกเรียกรวมๆ กันว่าอาวุธ แต่หลังจากนั้นพวกสิ่งของที่เกิดใกล้ๆ กับแหล่งกำเนิดอย่างเช่นน้ำ ก็เป็นวัตถุวิเศษที่ชื่อว่าทรายขาวจากทะเลน้ำลึก เหมือนกับอาวุธที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่อย่างหอกมังกรทมิฬหรือซินถิงก็กลายมาเป็นวัตถุวิเศษแทน วัตถุวิเศษก็คืออาวุธวิเศษที่มีลำดับขั้นสูงกว่านั่นเอง

 

 

ส่วนข้อสงสัยที่ว่ามีอะไรที่ลำดับขั้นสูงกว่าและมีพลังมากกว่าวัตถุวิเศษไหม ตอนนี้อาณาจักรแห่งความมืดยังไม่พบเจอ แต่ใครบางคนในอาณาจักรแห่งความมืดก็พูดกันว่าค้อนกุงเนียร์ของคอรัลนั้นถือเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือว่าวัตถุในตำนานใดๆ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด

 

 

มีคนพยายามจะอธิบายความหมายของวัตถุวิเศษที่อยู่เหนือวัตถุในตำนาน วัตถุศักดิ์สิทธิ์มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าของ ในอนาคตวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้อาจเลื่อนขั้นเป็นวัตถุในตำนานแบบอื่นก็ได้ ประเภทที่สองจะเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากอดีตอันยาวนาน

 

 

ในยุคสมัยที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืนนี้ ผู้คนต่างก็ตามหาวัตถุหลายๆ อย่างโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ดังนั้นคำจำกัดความเหล่านี้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่มีคำนิยามที่แน่ชัดอยู่ดี

 

 

ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยที่ดีที่สุด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในสมัยก่อนถูกโค่นลงไป และมีสิ่งใหม่ขึ้นมาทดแทน ราวกับมวลมนุษย์ได้ค้นพบทวีปใหม่ ใครไปถึงทวีปนั้นก่อนก็จะได้มีสิทธิ์ในดารกำหนดนิยามของทวีปนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่หยุดคิดกับคำถามของหลี่อีเสี้ยวแล้วจึงตอบออกไป “ผมมีศิลาวิญญาณจะเอาไปขาย แต่กลัวว่าลูกค้าทั่วไปจะไม่มีกำลังซื้อ ก็เลยคิดอยู่ว่าไปติดต่อขายกับตระกูลใหญ่ๆ แทนดีไหม”

 

 

“มีศิลาเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ลูกค้าทั่วไปซื้อไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ นับประสาอะไรกับศิลาตั้งหลายพันเม็ดกัน!”

 

 

“เอ่อ…” หลี่ว์ซู่คิดแล้วกระแอมออกมา “อะแฮ่ม จำนวนก็ประมาณนั้นแหละครับ” หลี่ว์ซู่ไม่กล้าพูดความจริง เขากลัวว่าจะทำให้หลี่อีเสี้ยวตกใจเกินไป อีกอย่างผู้คนสมัยนี้ก็ไม่ได้สนใจอยากปกปิดความมั่งคั่งของตัวเองอยู่แล้ว ไว้ค่อยบอกความจริงตอนติดต่อกับตระกูลใหญ่แล้วก็ยังไม่สาย

 

 

แต่ในเมื่อนี่เป็นการร่วมมือกัน และเขาทั้งสองต้องตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน หลี่อีเสี้ยวเลยพูดไป

 

 

“ฉันจะช่วยเรื่องนี้เอง ช่วยทุกอย่างเลย รวมถึงเรื่องของเนี่ยถิงด้วย ถ้าไม่ได้มีศิลามากขนาดนั้น เนี่ยถิงคงไม่มาหาพวกเราด้วยตัวเองหรอก ไม่น่ามีปัญหาอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หลี่อีเสี้ยวคนนี้พูดคำไหนคำนั้น ฉันไม่ปากโป้งฟ้องเรื่องนายกับใครหรอก!”

 

 

ก็ดีเหมือนกันที่หลี่อีเสี้ยวตั้งใจจะช่วย แต่หลี่อีเสี้ยวเข้าใจผิดเรื่องจำนวนของศิลาที่หลี่ว์ซู่มีเสียแล้ว ถึงแม้ว่าหลี่อีเสี้ยวจะรับมือกับศิลามากขนาดนี้ได้เมื่อถึงเวลา แต่ก็ยังมีอีกปัญหาอื่นอีก…

 

 

เขารับมือกับศิลาไม่กี่พันเม็ดได้ แต่ถ้าเป็นหลายหมื่นเม็ดล่ะ…

 

 

“ได้ครับ แต่ผมขออะไรอย่าง ผมอยากให้คนซื้อเอาวัตถุวิเศษมาแลกให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้” หลี่ว์ซู่หยุดคิดแล้วพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นผมกลัวว่าเขาคงหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาแลกไม่ไหวหรอก”

 

 

หลี่อีเสี้ยวยิ้ม “ไม่มีตระกูลไหนหอบเงินล้านมาจ่ายไม่ไหวหรอกนะ พวกเขามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

มีตระกูลใหญ่หลายตระกูลในประเทศนี้ ต่อให้ต้องจ่ายพันล้านก็ไหว กระทั่งหมื่นล้านก็ยังไหว หลี่ว์ซู่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เขาไม่เคยประเมินจำนวนเงินของคนพวกนี้ต่ำไปเลย จำนวนเงินที่พวกเขาโชว์ต่อสื่อน่ะมันแค่เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แท้จริงแล้วเงินจำนวนเท่านี้เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

 

 

แต่มีอีกปัญหาหนึ่งเหมือนกันเรื่องตระกูลใหญ่พวกนี้ ที่พวกเขามีอำนาจมากขนาดนี้ก็เพราะพวกเขาเข้าใจว่าเงินต้องลงทุนต่อให้งอกเงย พวกเขาเลยเอาไปลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ได้เป็นกำไรงามๆ สำหรับคนพวกนี้แล้ว เงินมันก็แค่เงิน ในทางกลับกัน การฝากเงินเข้าธนาคารนั้นเป็นแค่ความคิดโง่ๆ พวกเขาคิดว่าดอกเบี้ยจากธนาคารน่ะไม่นับเป็นเงินหรอก

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ คงไม่มีตระกูลไหนมีเงินในมือมากพอจะกวาดศิลาวิญญาณทั้งหมดเก้าหมื่นเม็ดภายในรอบเดียวแน่ๆ

 

 

“ผมขอยืนยันเรื่องการเอาวัตถุวิเศษมาแลกนะ ถ้าไม่เอามาก็ถือว่าข้อตกลงเป็นโมฆะ” หลี่ว์ซู่คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรถ้าจะขายศิลาเพื่อไปแลกเงิน เขาขายไม่กี่เม็ดก็ได้เงินเยอะแล้ว คงเป็นการดีกว่าที่จะเลือกเอาทรัพยากรสำหรับการฝึกแทนเงินในสถานการณ์แบบนี้

 

 

“งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันเอาไปบอกพวกเขาเอง” หลี่อีเสี้ยวโบกมือ “แต่น้องชายเอ๋ย ยังไงเราก็ต้องมาคุยกันเรื่องเงินให้มันชัดๆ เอาส่วนแบ่งเป็นห้าต่อห้า คิดว่าไง”

 

 

หลี่อีเสี้ยวเองก็รู้สึกผิดที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะสัดส่วนการแบ่งเท่านี้นับว่าแบ่งเยอะมาก และหน้าที่เขามีเพียงคอยเป็นธุระติดต่อพวกตระกูลใหญ่ๆ ให้หลี่ว์ซู่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ห้าต่อห้าดูจะขอเยอะไปหน่อย

 

 

เขามองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างระมัดระวัง ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะตอบ หลี่อีเสี้ยวก็โพล่งขึ้นมา

 

 

“งั้นสี่ต่อหกเป็นไง”

 

 

“ไม่ล่ะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วมองหลี่อีเสี้ยว

 

 

“สามต่อเจ็ดแล้วกันเอ้า” หลี่อีเสี้ยวเริ่มพูดด้วยความใจกว้าง “สามต่อเจ็ด! ลงไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันใจร้ายกับตัวเองมากนะ ถึงเนี่ยถิงจะไม่ปล่อยให้ฉันคุมตลาดมืดเมืองลั่ว แต่ฉันก็ต้องเจอกับแรงกดดันอื่นๆ อีกมาก”

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะเถียงกับหลี่อีเสี้ยว หลี่อีเสี้ยวยังไม่รู้จำนวนศิลาที่แท้จริง เขาเลยไม่มีทางประมาณค่าตามที่คิดไว้ได้ แต่หลี่ว์ซู่นั้นรู้ดีว่ามีศิลาจำนวนเท่าไหร่ในมืออย่างแน่ชัด

 

 

“ส่วนแบ่งคือเก้าจุดเก้าต่อศูนย์จุดหนึ่ง” หลี่ว์ซู่รู้ว่าถ้าเขายังไม่พูดออกไป หลี่อีเสี้ยวจะไม่มีทางยอมลดความคาดหวังลงต่ำกว่านี้แน่ๆ

 

 

หลี่อีเสี้ยวหน้าตึง “น้องชาย เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีจุดทศนิยมในส่วนแบ่งเป็นครั้งแรกนี่แหละ…”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +999!]

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset