ในตอนนี้แล้วทุกๆ คนต่างก็เป็นกังวลกันมาก เพราะพวกเขาได้ยินว่ามีอันตรายรออยู่ในโบราณาสถานหลัวปู้พัว และการฝึกซ้อมนั้นก็เปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นคนจริงจังกันมาก
แต่หลี่ว์ซู่นั้นกลับดูไม่กังวลอะไรเลย ทำให้ดูเหมือนคนใช้เส้นเข้ามาจริงๆ นั่นแหละ
“รอดูเดี๋ยวก็เห็นเอง ถ้าเป็นพวกไข่ในหิน ลงสนามจริงเดี๋ยวก็เห็นว่าฝีมือต่างกันแค่ไหน” อีกคนหนึ่งออกความเห็นขึ้นมา นี่มันก็เหมือนตอนที่เกาเสินอิ่นเคยไม่ชอบหน้าเฉินจู่อานเพราะคนที่เคยลำบากมาแล้วมักจะชอบดูถูกคนที่อ่อนแอ
และยิ่งไปกว่านั้นแล้ว พวกเจ็ดคนนี่ก็สู้กันสุดตัวกันมากทีเดียว ซึ่งก็บอกได้จากการบาดเจ็บของพวกเขาที่ได้มาจากการฝึกฝนต่อสู้นี่แหละ
ตอนนี้หัวหน้าทหารก็เพิ่งมาถึง พอหลี่ว์ซู่โบกมือทักทายเขา หัวหน้าทหารก็ตกใจตัวสั่นเล็กน้อย เขาดึงหลี่ว์ซู่ออกมาให้พ้นจากสายตาทุกคนทันที “ฮ่าๆๆ ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะร้อยเอกหลี่ว์ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ “ผมสบายดี แล้วทำไมคุณถึงมานี่ได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าคุณประจำอยู่เมืองหลวงเหรอ เมื่อก่อนน่ะ…”
“ฮ่าๆๆ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสิร้อยเอกหลี่ว์” หัวหน้าทหารตอบกลับอย่างลำบากใจ “ผมถูกให้มาประจำที่นี่ เป็นหัวหน้าทหารในค่าย เสี่ยวอวี๋น้องสาวคุณทำได้ดีมากเลยนะ”
หลี่ว์ซู่เพิ่งเข้าใจว่าที่ตัวเองถูกดึงมานี่ก็เพราะว่าผู้ชายคนนี้ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องอดีตอันแสนข่มขื่นของตัวเองที่เคยโดนหลี่ว์ซู่อัดมาก่อน เขาเป็นถึงหัวหน้าทหาร คงจะต้องรักษาหน้าไว้หน่อยล่ะมั้ง
“แน่นอนสิ แน่นอน!” หลี่ว์ซู่หัวเราะ เขาก็อยากจะแสดงความเคารพออกไปบ้าง พวกนักเรียนเจ็ดคนที่ห่างไปไม่เท่าไหร่ไม่ได้ยินที่ทั้งสองคนพูดกัน แต่พวกเขารู้ว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่ “นี่พวกแกเคยเห็นหัวหน้าทหารพูดคุยอารมณ์ดีกับใครแบบนั้นบ้างไหม”
“ไม่ล่ะ…”
“สงสัยหมอนี่คงมีอิทธิพลจริงๆ ขนาดหัวหน้าทหารยังใจดีกับมันมากเลย!” อีกคนหนึ่งพูดออกมา
“สงสัยเราเข้าใจถูกกันแล้วล่ะ เจ้านี่เป็นเด็กเส้นจริงๆ แต่น่าเสียดายนะ เวลานี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงจะมีอำนาจมากเท่าไหร่ เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะไม่เหลืออำนาจอะไรในมือแล้วล่ะ” อีกคนหนึ่งเยาะเย้ยออกมา
พอหลี่ว์ซู่กลับไปรวมตัวกับทีมอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าทั้งเจ็ดคนนั้นไม่อยากจะคุยกับหลี่ว์ซู่เลย
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขามานี่เพื่อมาสำรวจโบราณสถาน ไม่ได้มาหาเพื่อนคุย
จากนั้นหัวหน้าทหารก็เดินเข้ามาสั่งการตรงหน้าพวกเขา “ฉันจะไม่ย้ำเรื่องอันตรายที่โบราณสถานหลัวปู้พัวแล้วนะ หวังว่าพวกนายจะทำตามกฎตลอดทางด้วย การเดินทางนี้ไม่ได้สั้นเลย อย่าทำตัวเป็นแกะดำในทีม การกระทำของพวกนายในการไปสำรวจครั้งนี้จะถูกบันทึกลงในไฟล์ทีหลัง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก”
ทั้งเจ็ดคนตอบกลับอย่างจริงจัง “ครับท่าน!”
ครั้งนี้เป็นเหมือนโอกาสสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถให้ได้แสดงความสามารถทั้งหมดของพวกเขา ทุกคนนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาหลังจากการฝึกฝนมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีประสบการณ์ภาคสนามและไปต่อสู้แบบจริงๆ เลย พวกเขาก็เลยตื่นเต้นกันมากที่จะไปออกผจญภัยอย่างกับได้ของเล่นใหม่
การนั่งรถทหารไปนั้นไม่สะดวกสบายเลย ที่จริงแล้วมันมั่นคงน้อยว่ารถไฟสีเขียว [1] อีก แต่ถ้ามองในแง่ดีแล้วรถทหารก็มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับแปดคนได้
ในครั้งนี้ เครือข่ายฟ้าดินไม่เพียงแต่เช่ารถทหารมาเป็นกองทัพเพื่อขนส่งนักเรียนกว่าหมื่นคนไปที่หลัวปู้พัวเท่านั้น แต่พวกเขายังเช่ารถไฟกว่าหลายขบวนไปที่ชายแดนทางตอนเหนือของประเทศอีกด้วย โชคดีที่การคมนาคมในจีนนั้นพัฒนาไปมากในปัจจุบัน การเดินทางของคนจีนในช่วงตรุษจีนนั้นมีจำนวนถึง สองล้านเก้าแสนคนในทุกๆ ปี เหมือนกับเป็นการอพยพผู้คนแห่งชาติในทั้งประเทศจีนได้เลย
เพราะฉะนั้นปัญหาต่างๆ ก็ถูกแก้ไขไปเรียบร้อยแล้วด้วยการปรับปรุงโครงสร้างขั้นพื้นฐานนั่นเอง
นักเรียนทั้งเจ็ดคนกำลังพูดคุยอย่างดุเดือดในเรื่องสิ่งที่ต้องระวังในโบราณสถาน
ไม่นานพวกเขาก็ได้ยินหลี่ว์ซู่กรนอยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่นั้นผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วที่ม้านั่งข้างๆ ที่เก็บของถึงแม้ว่าทางนั้นจะขรุขระก็ตาม
[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +66!]
[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่เจียนเหริน +66!]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
เจียงเฟิงหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ไม่ได้เตรียมตัวมาแถมยังไม่มีอุปกรณ์ด้วย ไอ้หมอนี่แย่แน่”
หลี่เจียนเหรินไม่สนใจ “ถ้ามันอยากมาตายที่นี่ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
แต่ความเป็นจริงแล้วหลี่ว์ซู่นั้นไปโบราณสถานมาแล้วสามที่ และเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในนั้นดีว่าไม่มีทางรู้ได้จากข้างนอกหรอก อย่างเช่นมีโครงกระดูกโผล่ขึ้นมาจากพื้นในโบราณสถานเป่ยหมัง มีต้นไม้วิเศษที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือ และยังมีการ์กอยล์ในโบราณสถานเกาะช้างอีก ใครมันจะไปรู้ก่อนหน้าได้
งั้นสิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือการพักผ่อนเอาแรงให้เพียงพอ ไม่ใช่คาดเดาสุ่มกันไปต่างๆ นานา
อย่างไรแล้วทีมของเจียงเฟิงก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่เลย สำหรับนักเรียนห้องเต้าหยวนแล้ว พวกหัวกะทิคือพวกที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ในความเห็นของสือเสวจิ้นแล้ว หลี่ว์ซู่นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นเยอะ
แต่ก็ต้องรอดูกันไปแหละว่าพวกหัวกะทิจะไล่ตามเขาได้ทันในที่สุดไหม
จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ไม่ได้หลับไปตลอดทางหรอก แต่ว่าเขากลับหลับตาลงเพื่อเอาแรงขณะที่เขายังตื่นอยู่ ทั้งกระบี่บิน ซือโก่วและฝูฉื่อของเขานั้นไม่ได้เสียเวลาเลย มันกำลังขุดภูเขาพลังอยู่ตลอดเวลา เหมือนตอนที่มันทำให้ภูเขาถล่มลงมาได้
หลี่ว์ซู่ไม่ได้หยุดฝึกดาบเลยในทุกๆ วันหลังจากกลับมาจากกลุ่มทวยเทพ และจากที่ทำตามไห่กงจื่อบอก หิมะที่ภูเขาก็เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อนในเวลาแค่สองเดือนเท่านั้น
ภูเขานั้นสูงขึ้นมากว่าเดิมหลังจากที่ถูกขุดด้วย วิญญาณดาบอาจจะโผล่ออกมาอีกก็ถ้าภูเขาหิมะเกิดขึ้นมาอีก
หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเมื่อภูเขานั้นถล่มลงมา แต่เขาก็ดีใจและประหลาดใจเมื่อมีวิญญาณดาบเกิดออกมา การขุดภูเขาพลังชี่ของหลี่เสียนอีนั้นง่ายกว่า และมีกลไกมากกว่า เพราะเขาตั้งใจที่จะผลิตดาบส่องแสงที่เริ่มต้นออกมาเพื่อการต่อสู้ขณะที่ขุดไปด้วย
แต่หลี่ว์ซู่กลับได้วิญญาณดาบมาขณะที่ต้องทนเจ็บไม่นานเท่านั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าวิธีนี้มันได้ผล และเขาก็ได้บอกผู่เสียนอีเรื่องนี้ไปแล้ว
ปู่เสียนอีตกตะลึงมากตอนเขารู้ว่ามีวิญญาณดาบเกิดขึ้นมาหลังจากที่ภูเขาพลังชี่ของหลี่ว์ซู่ถล่ม เขาไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย!
เมื่อก่อนนั้นเขาแนะนำไปด้วยความไม่แน่ใจด้วยซ้ำ แต่หลี่ว์ซู่ทำสำเร็จได้อย่างไรเนี่ย!
ทำไมเจ้านี้โชคดีแบบนี้ ทะเลพลังของหลี่ว์ซู่นั้นควรที่จะถูกทำให้หยุดได้โดยภูเขาหิมะ แต่กลับกลายเป็นว่าภูเขาหิมะนี่เป็นสิ่งที่ดีงามเสียอย่างนั้น…
——
[1] เป็นรถไฟประเภทที่ช้าและถูก ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1990