ตอนที่ 19 เซินเจิ้น
เมื่อรถบัสขับมาใกล้จะถึงหมู่บ้านหยาง ทันใดนั้นหยางซือเหมยก็บอกให้คนขับรถช่วยจอดและเธอก็เดินลงมา เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวของเธอเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องที่หายตัวไปทั้งคืน โดยเธอตั้งใจจะโกหกว่าตนเองนอนค้างคืนอยู่กับท่านอาจารย์บนเขา
และเมื่อเดินมาถึงทางเข้าบ้านก็เห็นว่า คุณปู่กำลังปรึกษากับคุณพ่อของเธอเกี่ยวกับเรื่องการสร้างกำแพงดิน ขณะที่คุณยายกำลังจัดฟืน ส่วนคุณแม่ก็กำลังดูแลน้องสาวคนเล็กอยู่ที่บริเวณใต้ต้นไม้ โดยสังเกตเห็นว่าทุกคนไม่มีสีหน้าวิตกกังวลใด ๆ
ในตอนนี้เมื่อทุกคนเห็นเธอ พวกเขากลับมีสีหน้าประหลาดใจแทนพลางเอ่ยถามว่า
“หลานรัก ทำไมวันนี้ถึงกลับลงมาจากบนเขาเร็วขนาดนี้?” คุณย่าเอ่ยถามขณะเช็ดเหงื่อ
ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดว่าเธอนอนอยู่ที่วัดเมื่อคืนนี้โดยไม่รู้สึกเป็นห่วงแม้แต่น้อย และเป็นเธอที่รู้สึกกังวลใจไปเอง
“อ่า…วันนี้อาจารย์ไม่ค่อยว่างค่ะ หนูก็เลยกลับมาเร็ว”
หยางซือเหมยกล่าวพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าผู้เป็นมารดา เเละเมื่อเธอป้อนอาหารเสร็จแล้ว น้องสาวคนเล็กก็ถูกวางไว้ในตะกร้าเพื่อให้หยางซือเหมยดูแลต่อ
น้องสาวที่สมบูรณ์ของเธอเอานิ้วที่อวบอิ่มล้วงเข้าไปในปากขณะที่จ้องมองพี่สาวด้วยดวงตากลมโตที่สีดำสนิท
หยางซือเหมยเอื้อมมือไปแตะแก้มเล็ก ๆ ที่น่ารักของน้องสาวของตนเอง จากนั้นเธอก็เริ่มหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุขและส่งเสียงเรียกทารกน้อยตรงหน้าอย่างต่อเนื่องพร้อมกับโบกแขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างอย่างอารมณ์ดี
แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงการตายที่น่าเศร้าของน้องสาวคนเล็กในชาติก่อน ซึ่งมันทำให้หัวใจของเธอเศร้าหมองในทันที ขณะที่ตั้งสัตย์กับตัวเองเอาไว้ว่า คราวนี้เธอจะป้องกันไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อที่น้องสาวของเธอจะได้เติบโตขึ้นมาอย่างราบรื่นและเรียกเธอว่าพี่สาวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะและอ่อนโยน
แต่ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความคิดอยู่นั้น คุณอาหยางเหอก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาพลางร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
“พี่ใหญ่..พี่ใหญ่..เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หยางชิงเอ่ยถามขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น
“เมื่อครู่นี้เหลียงหลูฮัวตกลงไปในบ่อเผาขยะทำให้ร่างกายของเธอถูกไปกว่าครึ่ง และตอนนี้เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว” หยางเหอกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
โดยปกติแล้วเหลียงหลูฮัวมักจะเดินเฉิดฉายไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อโอ้อวดว่าตัวเองนั้นเป็นภรรยาผู้ใหญ่บ้าน โดยที่ไม่มีใครชอบขี้หน้าเธอเลย
หยางชิงผู้ซึ่งไม่เคยรู้สึกยินดีกับความโชคร้ายของคนอื่นจึงทำเพียงแค่ส่งเสียงตอบรับอย่างอ่อนโยนและหันหน้ากลับไปที่การคำนวณวัสดุสำหรับสร้างกำแพงดินต่อไป
เเละเมื่อหยางเหอเห็นว่าเขาไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบสนองที่ตนเองต้องการจึงเดินจากไปอย่างบึ้งตึง
ขณะที่หยางซือเหมยกำลังนึกทบทวนย้อนกลับไปและจำได้ว่า ในชาติที่แล้วเหลียงหลูฮัวไม่ได้ประสบชะตากรรมเช่นนี้ แต่ตอนนี้เธอกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการตกลงไปในหลุมขยะ ซึ่งมันน่าจะเป็นผลจากการที่เธอเข้าไปปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยที่ฝังศพบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง
หลังจากนั้นประมาณสามสิบนาทีต่อมาหยางเหอก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับมาอีกครั้งพร้อมกับร้องออกมาราวกับว่าเขาได้ค้นพบทวีปใหม่
“ข่าวใหม่..ข่าวใหม่..อันนี้สด ๆ ร้อน ๆ เลย เมื่อกี้นี้ตอนที่ผู้ใหญ่บ้านกำลังเดินทางไปโรงพยาบาลกับภรรยา..รถของพวกเขาเกิดขัดข้องและชนกำแพง ซึ่งได้ยินมาว่าเขาได้รับบาดเจ็บด้วย”
“พี่ใหญ่ พี่คิดเหมือนผมหรือเปล่าว่า ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้รับผลกรรมที่ตัวเองเป็นคนก่อแล้ว” หยางเหอกระซิบถามที่ด้านข้างหยางชิงอย่างแผ่วเบา
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ เดี๋ยวผลกรรมมันจะมาตกอยู่ที่ปากของแกแทน” หยางชิงกล่าวเตือน
“โอเค..โอเค..ผมจะไม่พูดอีกแล้ว แต่ที่ผมพูดนี่ก็เพราะเห็นว่าพวกเขามักจะกลั่นแกล้งและรังแกครอบครัวของพี่จนผมรู้สึกสงสาร ก็เลยอยากจะเล่าสู่กันฟังน่ะ..อิอิ”
และเมื่อหยางเหอเหลือบมองเห็นหยางซือเหมยกำลังอ่านหนังสืออยู่ด้านข้างจึงเดินเข้าไปหาเด็กน้อยและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“ตัวเล็ก! กำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอ”
หยางซือเหมยขี้เกียจอธิบายจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวว่า
“แค่พลิกดูเฉย ๆ ”
“โหงวเฮ้ง?”
เมื่อหยางเหอเห็นปกหนังสือเล่มนั้นเขาก็ยิ้มจนเผยให้เห็นฟันขาวและกล่าวว่า
“ตัวเล็ก อาได้ยินมาว่าหนูกำลังศึกษาจากนักบวชชราที่อยู่บนเขา แล้วได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำนายดวงบ้างหรือเปล่า? มาดูดวงให้อาบ้างสิว่าปีนี้จะดีหรือเปล่า?”
หยางซือเหมยจำได้ว่าในชาติก่อนหยางเหอเคยติดตามใครบางคนไปทำงานที่เซินเจิ้นด้วยการซื้อสินค้าราคาถูกมาขายในราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้เขาสามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ และยังเปิดโรงงานแปรรูปไม้ขนาดใหญ่ได้อีกด้วย นับได้ว่าโชคชะตาของเขากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
“คุณอามีแผนที่จะไปทำงานที่เซินเจิ้นเหรอ?” หยางซือเหมยเอ่ยถามด้วยแววตาที่ไร้เดียงสา
เมื่อได้ยินเช่นนี้หยางเหอจึงรู้สึกตกใจมาก เพราะในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เขากำลังมีความคิดว่าจะออกไปทำมาหากิน แต่เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลยแม้แต่ภรรยาของตนเอง
จึงไม่เข้าใจว่าเด็กน้อยวัยห้าขวบคนนี้รู้ได้อย่างไร หรือว่าเธอสามารถทำนายดวงชะตาได้จริง?