ตอนที่ 20 ปลุกเสก
คุณอาหยางเหอทำได้แค่เพียงพยักหน้าและเอ่ยถามอย่างคาดหวังว่า:
“ตัวเล็ก แล้วดูได้หรือเปล่าว่าการลงทุนของอาจะราบรื่นมั๊ย?”
“อืม! หน้าผากของคุณอาสูงและกว้าง ส่วนขากรรไกรล่างก็ดูเต็มดี ดังนั้นตราบใดที่คุณอามีความกล้าที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ หลังจากผ่านไปหนึ่งปีคุณอาจะสามารถทำกำไรได้ดีอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางเหอก็รู้สึกดีใจมาก เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมานี้เขามีความเครียดมาก เพราะลังเลใจและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทำงานที่อื่นดีหรือไม่
ซึ่งเหตุผลหลักก็คือในช่วงปี 1992 อัตราคนที่ออกไปทำงานต่างเมืองนั้นมีน้อยมาก โดยประชากรส่วนใหญ่มักจะทำอาชีพเกษตรกร
“หยางเหอ! เธอเป็นแค่เด็กอายุห้าขวบจะไปรู้เรื่องอะไร? อย่าฟังเรื่องไร้สาระเลย..จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ” หยางชิงกล่าวจากด้านข้าง
“พี่ใหญ่ ผมคิดว่าเธอพูดมีเหตุผลอยู่นะ เพราะนักบวชผู้ชราเป็นคนสอนเธอด้วยตัวเองเลยนะ ผมคิดว่าจะลองเชื่อเธอดูสักครั้ง”
จากนั้นก็หันมาเอ่ยถามเด็กน้อยว่า
“ตัวเล็ก แล้วหนูคิดว่าอาควรไปทำงานที่เมืองไหนดี?”
“อาเป็นคนธาตุน้ำซึ่งมีความสัมพันธ์กับธาตุไม้”
“ไอ้หยา! ทำไมถึงเก่งอย่างนี้ล่ะ? รู้ด้วยว่าอาเป็นคนธาตุน้ำ แล้วที่บอกว่าธาตุน้ำมีความสัมพันธ์กับธาตุไม้มันหมายความว่ายังไงอะ?” หยางเหอเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
ขณะที่หยางซือเหมยเม้มริมฝีปากของตนเองราวกับว่ากำลังใช้ความคิดก่อนที่จะกล่าวว่า
“หนูให้คำแนะนำได้เท่านี้แหละค่ะเพราะหนูไม่สามารถเปิดเผยความลับสวรรค์ได้ ต่อไปอาก็จะรู้เอง”
“ฮ่าฮ่า..อาเชื่อ..อาเชื่อแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะเลย!”
หยางเหอกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กน้อยอย่างมีความสุข จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและกลับบ้านเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการของเขากับภรรยา
และเมื่อหยางเหอจากไปแล้ว หยางชิงก็อดไม่ได้ที่จะบ่นให้บุตรสาว
“ซือเหมย! พ่อให้ไปเรียนหนังสือกับนักบวชชราเพื่อเปิดหูเปิดตา ไม่ใช่ให้ไปเรียนรู้วิธีหลอกลวงคนอื่น ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกก็ไม่ต้องขึ้นเขาอีกแล้วนะ..”
“ค่ะ”
หยางซือเหมยไม่ต้องการโต้เถียงกับบิดาของตนเอง ดังนั้นเธอจึงปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง แต่ทันใดนั้นเมื่อเธอได้เห็นสีหน้าที่หมองคล้ำของบิดา หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
เธอจึงใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการรื้อฟื้นความทรงจำเพื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดาตนเองในช่วงเวลานี้
“พ่อคะ ช่วงวันสองวันนี้พ่อต้องออกไปข้างนอกใช่หรือเปล่า?”
“ใช่! พรุ่งนี้พ่อต้องไปสำนักการศึกษาเพื่อจัดการเรื่องเอกสาร แล้วรู้ได้ยังไงล่ะ?” หยางชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ก็อ่านจากใบหน้าของพ่อน่ะสิ” หยางซือเหมยยังกล่าวอย่างเป็นห่วงอีกว่า
“พ่อช่วยเลื่อนออกไปอีกสองวันได้หรือเปล่าคะ? หนูไม่สามารถเปิดเผยความลับสวรรค์ได้”
“ไม่ได้! พรุ่งนี้พ่อต้องไปทำธุระ”
“ช่วงสองวันนี้ถ้าพ่อออกไปข้างนอกจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับพ่อ! ให้คนอื่นจัดการแทนพ่อไม่ได้เหรอ?”
หยางซือเหมยดึงชายเสื้อบิดาอย่างประหม่าขณะที่เธอขอร้อง
“เด็กคนนี้มันยังไงกัน! เมื่อกี้พ่อเพิ่งบ่นไปเองนะเรื่องดูดวงให้กับคนอื่น..ตอนนี้เริ่มลามมาดูดวงให้พ่อของตัวเองแล้วนะ แต่ถึงจะพูดยังไงพ่อก็ต้องไปอยู่ดี เพราะพรุ่งนี้มีธุระสำคัญจริง ๆ ” หยางชิงใจหงุดหงิดเล็กน้อยขณะที่โบกมือให้เธอ
“ซือเหมยอย่าไปกวนใจพ่อเลย เพราะพรุ่งนี้เขาจะต้องไปยื่นเอกสารเพื่อเปลี่ยนสถานะ ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเขาจะได้บรรจุเป็นข้าราชการครูแล้วนะ และต่อไปเขาก็จะมีเงินมาซื้อชุดลายดอกไม้ให้หนู” คุณยายคะยั้นคะยอจากด้านข้าง
หยางซือเหมยจำได้ว่าในชาติที่แล้วนั้นบิดาของเธอเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อทำธุระเกี่ยวกับเรื่องเอกสาร แต่กลับถูกรถชนจนขาหัก
แล้วเธอจะทำอย่างไรดี?
ตอนนี้เธอไม่สามารถปล่อยให้บิดาของตนเองได้รับบาดเจ็บได้อีกแล้ว แต่เธอก็หยุดเขาไม่ได้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องหาทางแก้ไขเสียแล้ว!
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็รีบเดินเข้าไปในห้องของตนเอง แล้วหยิบกระดาษสีเหลืองกับหมึกสีแดงชาดออกมา และเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเครื่องรางของขลังเธอก็กัดนิ้วของตนเองเพื่อใช้เลือดผสมกับชาดพร้อมกับบริกรรมคาถาเพื่อส่งพลังงานทางจิตวิญญาณลงไปบนกระดาษขณะที่เธอเขียนยันต์
ในขณะที่กำลังสร้างเครื่องรางของขลังนั้น ผู้ปลุกเสกจะต้องมีสมาธิที่แน่วแน่ในขณะที่บริกรรมคาถาและทุกกระบวนการจะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนจบ มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นเพียงเครื่องรางที่ไร้ประสิทธิภาพ
โดยหยางซือเหมยลงมือปลุกเสกถึงห้าแผ่น แต่ก็สามารถทำให้สำเร็จได้แค่เพียงแผ่นเดียวเท่านั้น ขณะที่พลังวัตรของเธอนั้นสูญเสียไปมากจนเหงื่อออกท่วมไปทั้งตัว