ตอนที่ 30 ของเก่า
ถนนเหวินไหลแห่งนี้มีชีวิตชีวาเหมือนเช่นเคย และขณะที่เดินผ่านไปจะมีเสียงร้องเรียกดังมาจากทุกทิศทุกทางจากพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงลอยขายของอยู่ที่บริเวณข้างทางโดยมีสินค้ามากมายหลายประเภทวางขายเกลื่อนกลาดให้ทุกคนได้เลือกสรรตามความพอใจ
ขณะที่บางคนสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งของชนิดนั้นเป็นของปลอมหรือว่าของจริง และมีแม้กระทั่งสินค้าบางชิ้นที่ตั้งใจทำให้ดูของเก่าแก่ด้วยการชุบดินโคลนเพื่อหลอกล่อลูกค้าว่าเป็นของเก่าที่ตนเองขุดพบ
แต่บางทีก็อาจจะมีของแท้ปะปนอยู่ด้วย ซึ่งสิ่งนี้มักจะขึ้นอยู่กับความเข้าใจของบุคคลนั้น ๆ
และตอนนี้หยางซือเหมยก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ โดยเธอสามารถจำสิ่งนี้ได้อย่างแม่นยำว่า ครั้งหนึ่งมีความปั่นป่วนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในตลาดแห่งนี้เนื่องจากมีชายชราคนหนึ่งซื้อเครื่องลายครามสีขาวอมฟ้าไปในราคาสามร้อยเหรียญจากแผงขายของที่วางขาย อยู่บนพื้นดิน
แต่หลังจากนั้นปรากฏว่ามันเป็นเครื่องลายครามโบราณอันล้ำค่าและหาได้ยากซึ่งมีมูลค่ามากกว่าล้านเหรียญ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเริ่มแตกตื่นและเกิดความคลั่งไคล้ในของเก่าเหล่านี้สำหรับผู้ที่ดูเป็น และผู้ที่ดูไม่เป็นก็ต้องการที่จะลองเสี่ยงโชคดูสักครั้ง
ขณะที่สถานการณ์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วเพราะในกระเป๋าของเธอมีเงินอยู่สามร้อยเหรียญ ลองมาดูกัน…ว่าเธอจะมีโชคหรือไม่?
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเริ่มเดินค้นหาสิ่งที่ตนเองต้องการจากแผงขายของทีละร้านเพื่อดูว่ามีอะไรที่สามารถดึงดูดสายตาของเธอหรือไม่?
แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับของเก่า ดังนั้นไม่ว่าจะมองยังไงสิ่งของเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นของจริงสำหรับเธอ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นของปลอมเหมือนกันหมด
เมื่อเดินมาเรื่อย ๆ ตามทางจนกระทั่งเธอมาถึงหน้าร้านของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเธอก็ค้นพบว่ามีบางสิ่งที่เปล่งประกายเป็นแสงสีเขียวอ่อน ๆ อยู่ภายในกองสิ่งของสีเข้มเหล่านั้น ขณะที่เธอคิดว่ามันแปลกประหลาดมากพลางเอื้อมมือไปคุ้ยหาวัตถุเรืองแสงชนิดนั้นทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น
และด้วยความที่เธอเป็นเพียงเด็กน้อย เมื่อเจ้าของแผงขายของเห็นเธอจึงรีบขัดขวางโดยการตะโกนว่า
“ไอ้ตัวเล็ก! อย่ารื้อของนะ พ่อแม่อยู่ไหนเนี่ย?”
“อ่า…พ่อแม่ของหนูอยู่นั่นไง”หยางซือเหมยกล่าวเท็จพร้อมกับสุ่มชี้ไปยังคู่รักที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนมากนัก
“กลับไปหาพ่อแม่ของหนูเถอะ! อย่ามายุ่งกับของเก่าพวกนี้เลย ไป..ไป..ลุงจะขายของ!” เจ้าของร้านกล่าวพร้อมกับโบกมือไล่เธอด้วยความรู้สึกรำคาญ
แต่หยางซือเหมยไม่ได้ใส่ใจในคำกล่าวนั้น ขณะที่ยังคงใช้มือคุ้ยเขี่ยจึงพบว่าวัตถุเรืองแสงนั้นเป็นวงเวียนที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยและมีแผ่นทองคำเปลวปิดอยู่ อีกทั้งยังมีดินโคลนติดอยู่ด้วย
ทำไมวงเวียนที่บิดเบี้ยวนี้จึงให้แสงสว่างได้..ในเมื่อมันไม่มีแหล่งกำเนิดแสงใด ๆและแม้ว่าเธอจะไม่สามารถอธิบายได้ แต่สิ่งนี้ทำให้เธอเกิดความรู้สึกสนใจจึงเอ่ยถามเจ้าของแผงลอยว่า
“วงเวียนบิดเบี้ยวอันนี้ราคาเท่าไหร่คะ?”
“หนูชอบเหรอ! ไปเรียกพ่อแม่มาสิ เดี๋ยวลุงจะลดราคาให้เป็นพิเศษ”
เมื่อเจ้าของแผงขายสินค้าเห็นว่ามีโอกาสจะได้ขายของ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่สนใจเรื่องอายุของหยางซือเหมยอีกต่อไป ขณะที่หยางซือเหมยกล่าวว่า
“ไม่ต้องเรียกพ่อแม่หนูมาหรอก..เดี๋ยวพวกเขาไม่ให้ซื้อ หนูจะซื้อเองเพราะหนูมีเงินอั่งเปา”
“แล้วมีเงินเท่าไหร่ล่ะ?”
“ลุงไม่ต้องถามหรอกว่ามีเงินเท่าไหร่? บอกราคามาก็พอแล้ว!”
ถ้าเขาได้พบกับคนอื่นที่ต้องการซื้อวงเวียนที่บิดเบี้ยวอันนี้เจ้าของร้านจะต้องบอกราคาที่สูงเกินจริงเอาไว้ก่อน โดยเขาจะบอกว่ามันเป็นวัตถุโบราณที่ขุดขึ้นมาได้และเป็นของหายาก
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับเด็กอายุห้าขวบ ซึ่งมันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดจาโอ้อวดให้มากความ จึงตัดสินใจว่าจะกล่าวกับเธออย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อคิดอีกทีเขาก็คิดว่าจะลองหลอกล่อเด็กน้อยคนนี้ดู เผื่อว่าจะได้เงินมากขึ้น
จากนั้นเขาก็ยื่นนิ้วออกมานิ้วเดียวออกมาอย่างกะทันหัน
“สาวน้อยนี่เป็นของเก่านะ ลุงเห็นว่าหนูชอบก็เลยยอมขาดทุนขายให้ก็แล้วกัน เอามาแค่ร้อยเหรียญก็พอแล้ว มีเงินพอรึเปล่าล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามหลอกลวงเด็ก! ทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเริ่มแสดงท่าทีรังเกียจเขาแล้วในตอนนี้
“แพงเกินไปหรือเปล่าลุง? หนูคิดว่าสิบเหรียญก็น่าจะพอแล้ว”จากนั้นหยางซือเหมยก็ตั้งใจตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
“เมื่อวานหนูซื้อของเล่นที่ดีมากในราคาเพียงแค่ห้าเหรียญเอง นี่อะไรโลหะวงกลมที่ทั้งหักทั้งเก่า..ทำไมถึงแพงนักล่ะ? เห็นว่าหนูเป็นเด็กจะโกงงั้นเหรอ? ไม่ซื้อหรอก..เชอะ”
เมื่อเห็นผู้คนรอบข้างล้วนทำให้เขาดูน่ารังเกียจเจ้าของร้านก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองได้รับแรงกดดันทางจิตใจเล็กน้อย โดยเขาแทบจะไม่สามารถเผชิญหน้าผู้คนได้ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังสามารถขายของได้ในราคาสิบเหรียญ จึงรีบเผชิญหน้ากับลูกค้าตัวน้อยอย่างรวดเร็ว
“โอเค..โอเค! สิบเหรียญก็ได้ เห็นว่าหนูน่ารักนะเนี่ยก็เลยขายขาดทุนให้”
“ห้าเหรียญก็พอนะลุง ที่เหลือหนูจะเก็บเอาไว้ซื้อขนมกิน..นะลุงนะ”
หยางซือเหมยกระพริบตาด้วยดวงตากลมโตที่ไร้เดียงสาและน่ารักน่าเอ็นดูโดยเล็งตรงไปที่เจ้าของร้าน
เมื่อเขาเห็นดวงตาคู่นั้นเจ้าของแผงลอยก็รู้สึกว่าถ้าเขาไม่ขายมันให้เธอมันก็เหมือนกับการก่ออาชญากรรมระดับชาติ เพราะตอนนี้ผู้คนรอบข้างต่างก็กำลังจ้องมองมาที่ตนเอง
เอาวะ! ขายก็ขาย!
“อะ..ตัดใจ..ห้าเหรียญก็ได้!” เจ้าของร้านกล่าวในขณะที่เขาวางวงเวียนที่บิดเบี้ยวไว้ในมือของหยางซือเหมยด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ขอบคุณลุงมากค่ะ”
หยางซือเหมยยิ้มกว้างด้วยความยินดีขณะควักเงินห้าเหรียญออกมายื่นให้กับเขาและรับวงเวียนที่บิดงอมาพลิกซ้ายพลิกขวา และพยายามค้นหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าแสงนั้นมันมาจากไหน แต่ก็ไม่สามารถค้นพบ…