ตอนที่ 31 เข้าแถว
‘ศาลาโม่’ ตั้งอยู่บนถนนเหวินไหล โดยสถานที่แห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินราคาวัตถุโบราณช่วยตรวจสอบความถูกต้องของวัตถุโบราณโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ทำให้ทุก ๆ วันจะมีผู้คนมากมายนำสินค้าจากร้านค้าแผงลอยที่ตนเองซื้อมาตรวจสอบราคาอยู่เสมอ ดังนั้นในเวลานี้มีผู้คนมากมายกำลังมายืนรออยู่ที่บริเวณหน้าโต๊ะของผู้ประเมินราคาวัตถุโบราณเพื่อเข้ารับการตรวจสอบ
และในตอนนี้หยางซือเหมยก็เดินมาหยุดอยู่ที่จุดนี้เช่นเดียวกัน และกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่โดยรอบซึ่งกำลังถือสิ่งของอยู่ในมือ ขณะที่เธอพยายามสังเกตสิ่งของเหล่านั้นอย่างพิจารณา และพบว่าวัตถุโบราณเหล่านั้นช่างมีมากมายหลายประเภทเสียเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นแจกันลายดอกไม้ ชามกระเบื้อง เครื่องทองสำริด หยกและยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ตอนนี้เธอพบว่า ตรงหน้าตนเองมีชายชราคนหนึ่งกำลังยืนถือมังกรและหงส์ที่แกะสลักด้วยทองสัมฤทธิ์ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นสิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือหม้อโบราณลายไก่สวรรค์ที่กำลังเปล่งประกายสีฟ้าอ่อนเรืองรองอย่างงดงาม
และหากนำมันมาเปรียบเทียบกับวัตถุทรงกลมที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวที่อยู่ในมือของตนเองแล้วมันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
จากนั้นเธอจึงจ้องมองไปยังหม้อโบราณนั้นอยู่หลายครั้งและพบว่าแม้ภายนอกของหม้อโบราณนี้จะมีร่องรอยแห่งความหมองคล้ำอีกทั้งยังดูไม่ค่อยน่าสนใจ แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นแสงสีเขียวสว่างวาบเปล่งประกายขึ้นจนเธอรู้สึกตกใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นชายชราที่ถือหม้อโบราณก้าวเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะผู้ประเมินและวางมันลงบนโต๊ะด้วยท่าทางจริงจังพร้อมกับกล่าวว่า
“ได้โปรดช่วยตรวจสอบหม้อโบราณกับทองสัมฤทธิ์ที่แกะสลักเป็นรูปหงส์กับมังกรของราชวงศ์ชิงนี้ด้วยครับ!”
เมื่อชายชรากล่าวจบผู้ตรวจสอบก็คว้าแว่นขยายขึ้นมาและเริ่มตรวจสอบอย่างพิถีพิถันขณะที่เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางกล่าวว่า
“รูปทรงของหม้อมีลักษณะเหมือนกับถ้วยชาที่เปิดปากกว้างเหมือนกับดอกไม้บานอีกทั้งยังมีมีลวดลายรูปไก่ฟ้าที่อ่อนช้อยงดงามทำให้มีความสง่างามยิ่งนัก และรายละเอียดที่ปรากฏอยู่บนนั้นมีความซับซ้อนที่เกิดจากการตัดขอบด้วยเส้นสีทองเหลืองอร่ามทำให้มันสามารถเปล่งประกายได้ในที่มืดมิด
แม้ว่ามันจะถูกเก็บเอาไว้ที่ไหนสักที่เป็นเวลานานสองสามร้อยปีแล้ว แต่ก็ไม่สามารถแอบซ่อนหรือปกปิดความสดใสของมันได้ ดังนั้นผมขอฟันธงเลยว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ชิง”
ทันทีที่ฝูงชนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงฮือฮาด้วยความรู้สึกอิจฉาขณะที่พยายามสอบถามชายชราว่าเขาซื้อมาในราคาเท่าไร ทำให้ใบหน้าของชายชราเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีขณะที่เขาเหยียดนิ้วออกมา สามนิ้วพลางกล่าวว่า
“สามพันเหรียญ“ ขณะที่เขาหันหน้าไปทางพูดตรวจสอบพร้อมกับกล่าวว่า
“แล้วราคาประเมินของหม้อโบราณจากราชวงศ์ชิงนี้จะมีมูลค่าถึงหนึ่งแสนเหรียญหรือเปล่าครับ?
“เรานี้มาจากสมัยเฉียนหลงและเป็นฝีมือของท่านจางซานชิงดังนั้นแน่นอนว่ามูลค่าทางการตลาดจะต้องอยู่ที่ประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญ“ ผู้ตรวจสอบกล่าว
ทันใดนั้นความโกลาหลในหมู่ฝูงชนก็เกิดขึ้นอีกครั้งขณะที่ใบหน้าของพวกเขาปกคลุมไปด้วยความอิจฉาตาร้อนจนแทบจะกระอักเลือดตาย ส่งผลให้ในเวลาต่อมาพวกเขาต่างก็แย่งกันส่งสิ่งของที่อยู่ในมือด้วยความหวังว่าจะมีความโชคดีเกิดขึ้นกับตนเองบ้าง
อย่างไรก็ตามวัตถุโบราณทั้งหมดที่พวกเขาส่งไปตรวจสอบนั้นทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมโดยไม่มีของแท้แม้แต่ชิ้นเดียว
ขณะที่หยางซือเหมยค้นพบว่าตนเองสามารถมองเห็นรัศมีที่เปล่งประกายออกมาจากหม้อโบราณเมื่อครู่นี้ได้ ซึ่งในตอนนี้หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วพบว่ามันเป็นของแท้จริง ๆ!
และเพื่อเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าตนเองสามารถล่วงรู้ได้ว่าวัตถุชิ้นไหนเป็นของแท้หรือของปลอม หยางซือเหมยจึงเดินเข้าไปในบริเวณศาลาโม่อีกครั้ง
แน่นอนว่าศาลาโม่แห่งนี้ชื่อเสียงด้านการตรวจสอบวัตถุโบราณอยู่แล้ว และหากวัตถุโบราณชิ้นนั้นเป็นของปลอมก็จะได้รับคำอธิบายอย่างชัดเจนจากผู้ตรวจสอบที่มีความเชี่ยวชาญระดับต้น ๆ ของประเทศ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงได้รับความนิยมมากที่สุดบนถนนโบราณเส้นนี้
โดยก่อนที่จะเดินมาถึงบริเวณนี้หยางซือเหมยพบว่า สินค้าที่อยู่ตามข้างทางของถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีแสงสว่างปรากฏให้เห็น โดยมีเพียงบางชิ้นเท่านั้นที่เปล่งประกายสีเขียว สีฟ้า สีดำและสีขาวออกมา
ซึ่งในบรรดานั้นคือหม้อโบราณของราชวงศ์ชิงที่มีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมาเช่นเดียวกันกับวัตถุทรงกลมบิดเบี้ยวที่อยู่ในมือของเธอ
ทำให้ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าหากเป็นวัดถูกโบราณของแท้เธอจะสามารถมองเห็นแสงเปล่งประกายออกมา แต่ถ้าเป็นของปลอมมันก็จะไม่มีแสงใด ๆ ปรากฏให้เห็นเลย
หรือว่าสิ่งนี้คือพลังงานที่แฝงตัวอยู่ในวัตถุ?
และถ้าเธอสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัตถุโบราณของจริงกับของปลอมได้ด้วยสายตา เธอก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัตถุโบราณใช่หรือไม่?
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ของชายชราเมื่อครู่ที่สามารถเปลี่ยนเงินสามพันเหรียญให้กลายเป็นเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญได้ในพริบตา
ทันใดนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเด็กน้อย และรีบวิ่งไปต่อแถวเพื่อรอการตรวจสอบวัตถุที่อยู่ในมือตนเองทันที ขณะที่มีคนเห็นเธอเดินมาเข้าแถวจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“สาวน้อย! มาเข้าแถวทำไมจ๊ะ?”
“มาตรวจสอบวัตถุโบราณค่ะ” หยางซือเหมยกล่าวขณะที่ยิ้มอย่างไร้เดียงสาพร้อมกับเขย่าวัตถุทรงกลมในมือของตนเอง
“ฮ่า..ฮ่า..อยากโชคดีเหมือนคนอื่นบ้างล่ะสิ แล้วพ่อแม่อยู่ไหนล่ะเนี่ย” ผู้ชายคนนั้นกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขัน
“เป็นเด็กแล้วมีวัตถุโบราณเป็นของตัวเองบ้างไม่ได้หรือยังไง? บางทีหนูอาจจะโชคดีเหมือนคนอื่นบ้างก็ได้”
หยางซือเหมยกล่าว ขณะที่กลอกตาไปมาเพื่อตอบโต้การแสดงออกที่ดูถูกเหยียดหยามนั้น