ตอนที่ 32 มูลค่าสูง
“ฮ่า ๆ ไหนบอกลุงมาสิว่าหนูซื้อวัตถุล้ำค่าชิ้นนี้มาในราคาเท่าไหร่?” ผู้ชายคนนั้นกล่าวพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
“หนูซื้อมาตั้งห้าเหรียญแน่ะ แพงมากเลยใช่มั๊ยล่ะ?!” หยางซือเหมยเชิดคางขึ้นขณะที่กล่าวด้วยท่าทีที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ แต่สำหรับคนที่เห็นกลับรู้สึกว่ามันช่างน่ารักน่าชัง และอดไม่ได้ที่อยากจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มนั้น
“ใช่! แพงมากเลย ตั้งห้าเหรียญ! ฮ่า ๆ” บทสนทนานี้ทำให้อีกหลายคนที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างยิ้มออกมาขณะที่คิดว่าสาวน้อยคนนี้น่าสนใจมาก
แต่หยางซือเหมยได้ไม่ใส่ใจสายตาเหล่านั้นที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ เพราะกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการรอผลการประเมินวัตถุโบราณของตนเอง และจะคอยดูสิว่าหลังจากผลการประเมินออกมาแล้วจะมีใครกล้าเยาะเย้ยเธออยู่อีกหรือไม่
ขณะที่วัตถุโบราณของผู้คนที่เข้าแถวอยู่ข้างหน้าเธอนั้นผลการตรวจสอบออกมาว่าเป็นของปลอมทั้งหมด และสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนรอบข้างก็คือ คุณลุงที่แอบมองเธอเมื่อสักครู่นี้ใช้เงินห้าพันเหรียญซื้อแจกันสีฟ้าอมขาวมาขอรับการตรวจสอบเช่นเดียวกัน
แต่ผลปรากฏว่าแจกันใบนั้นเป็นของเลียนแบบ และราคาประเมินที่ผู้ตรวจสอบแจ้งให้ทราบคือ มูลค่าของวัตถุชิ้นนี้ไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยเหรียญ มันจึงทำให้เขารู้สึกโมโหมากจนถึงขั้นทุบแจกันใบนั้นจนแตกละเอียด
และตอนนี้หยางซือเหมยกำลังยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะสูงของผู้ตรวจสอบในขณะที่เขาเห็นเพียงเเค่มือขาวอวบเพียงเล็กน้อยที่ยื่นวัตถุอันบิดเบี้ยวรูปแบบโบราณขึ้นมา เขาจึงยืนขึ้นและก้มลงมองไปที่หยางซือเหมย
“คุณคะ โปรดช่วยตรวจสอบสิ่งนี้ให้หนูด้วยค่ะ!” เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเยาว์พร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง
เดิมทีผู้ประเมินต้องการไล่เธอกลับบ้าน แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นวัตถุโบราณทรงกลมนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เนื่องจากรู้สึกได้ถึงความพิเศษบางอย่างในนั้น จึงรีบหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบอย่างรอบคอบ
และยิ่งมองมันลึกซึ้งมากเท่าไหร่สีหน้าของเขาก็ยิ่งแสดงความประหลาดใจและจริงจังมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ต้องการทราบให้ละเอียดมากขึ้นจึงตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาเปรียบเทียบมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครู่หนึ่ง
และด้วยประสบการณ์จากการทำงานด้านนี้มาหลายสิบปีทำให้เขาทราบว่า วัตถุโบราณชิ้นนี้จะต้องเป็นสิ่งล้ำค่าที่มีมูลค่าสูงลิบลิ่วอย่างแน่นอน ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนรอบข้างเริ่มเซ็งแซ่ขึ้น
“ไม่มีทางหรอก! สมบัติของเด็กน้อยคนนั้นจะเป็นของจริงไปได้ยังไง?”
“ได้ยินมาว่าเธอซื้อมันมาแค่ห้าเหรียญไม่ใช่เหรอ?”
“เด็กตัวแค่นี้จะไปเข้าใจเรื่องวัตถุโบราณได้ยังไง? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะโชคดีขนาดนั้น!”
“ก็ไม่แน่นะ! ดูท่าทางของอาจารย์ซ่งสิ..มันแปลก ๆ อยู่นา เพราะถ้ามันเป็นของปลอมเขาคงจะไม่แสดงท่าทางเคร่งเครียดอย่างนั้นหรอก”
……
เมื่อเห็นว่าผู้ที่ทำการตรวจสอบยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้หลังจากตรวจสอบมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว จากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในหมู่ฝูงชนอีกครั้งด้วยความเห็นที่หลากหลาย
หลังจากนั้นไม่นานนักผู้ประเมินก็จับวัตถุทรงกลมที่บิดงอชิ้นนั้นขึ้นมาด้วยความระมัดระวังราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าพร้อมกับเอ่ยถามหยางซือเหมยว่า:
“เด็กน้อย พ่อแม่ของหนูอยู่ที่ไหน? ลุงต้องการพูดคุยบางอย่างกับพวกเขา”
“คุณลุงคะ ถ้ามีอะไรก็สามารถคุยกับหนูได้เลยค่ะ เพราะของชิ้นนี้หนูเป็นคนซื้อมันมาเอง และพ่อแม่ของหนูก็ไม่รู้ด้วยว่าหนูซื้อมันมา อ้อ! ตอนนี้พ่อของหนูก็ขาหักและอยู่ที่โรงพยาบาลคงจะมาหาคุณลุงไม่ได้หรอกค่ะ”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องคุยกับผู้ใหญ่ แล้วในครอบครัวของหนูมีผู้ใหญ่คนอื่นอีกหรือเปล่าล่ะ? ลุงจะช่วยโทรตามพวกเขาให้”
“คุณลุงกำลังจะบอกว่าวัตถุโบราณของหนูเป็นของจริงใช่หรือเปล่าคะ?”
และในทันทีที่ผู้ตรวจสอบพยักหน้าเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของผู้คนที่อยู่รอบข้าง
เหล่านั้นก็ดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
โอ้มายกอด! คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ซื้อมาด้วยเงินเพียงห้าเหรียญจะเป็นของแท้! เด็กผู้หญิงตัวคนนี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน
“อาจารย์ซ่งครับ วัตถุที่บิดเบี้ยวอันนี้มีต้นกำเนิดมาจากไหนเหรอครับ? ทำไมมันถึงดูธรรมดามาก” ชายชราผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหม้อโบราณที่ยังไม่ได้เดินจากไปเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“วัตถุที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ชิ้นนี้มีต้นกำเนิดมาจากสมัยราชวงศ์ชิง แต่จากประสบการณ์ทางด้านวัตถุโบราณที่มี ผมเห็นว่าเทคนิคการปิดทองแบบนี้น่าจะมาจากยุคสงคราม
อย่างไรก็ตามวัตถุโบราณที่บิดเบี้ยวชิ้นนี้ดูเหมือนจะยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนยังไม่ได้ว่ามาจากราชวงศ์ไหน แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือมันเป็นสมบัติล้ำค่า…”
จากนั้นภายในดวงตาของผู้ตรวจสอบก็ฉายแววแห่งความตื่นเต้นขณะที่เขากล่าวว่า
“และนี่เป็นการค้นพบสมบัติโบราณครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน!”
ตอนนี้หยางซือเหมยไม่อาจจะสามารถเข้าใจความหมายในคำกล่าวของเขาได้ แต่รู้ว่าวัตถุที่บิดเบี้ยวของเธอมีประวัติอันยาวนานและควรค่าแก่การอนุรักษ์เอาไว้ และคงจะเป็นที่ต้องการของอีกหลายคน
“ราคาของมันประมาณเท่าไหร่ครับอาจารย์?” ฝูงชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงและเอ่ยถามอย่างคาดคั้น
เมื่อได้ยินคำถามผู้ตรวจสอบก็ส่ายหัวทันที
“มูลค่าของมันไม่ใช่สิ่งที่ผมสามารถประเมินได้ แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวัตถุโบราณชิ้นนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่มูลค่าสูงมากจริง ๆ
และหากเป็นวัตถุโบราณที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ของราชวงศ์ชิงแบบนี้ ปกติแล้วก็จะมีมูลค่ามากกว่าสามแสนเหรียญ”
โดยคำอธิบายที่ยืดยาวนั้นก็ทำให้ฝูงชนต่างก็อ้าปากค้างอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง
และไม่ต้องกล่าวถึงราคาที่สูงเสียดฟ้า เพราะเงินสามแสนเหรียญในตอนนั้นเป็นจำนวนเงินที่สูงมากแล้ว เนื่องจากค่าราคาที่ดินในเวลานั้นคือสองถึงสามร้อยเหรียญต่อตารางวาเท่านั้นซึ่งเงินสามแสนเหรียญนี้สามารถซื้อบ้านที่มีเนื้อที่ร้อยตารางได้เป็นสิบหลัง