ตอนที่ 33 ไม่กล้าสู้
ตอนนี้ทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังวัตถุทรงกลมที่บิดเบี้ยวชิ้นนั้นราวกับว่ามันคือขุมทรัพย์ทองคำ ขณะที่มีความหวังว่าพวกเขาจะคว้ามันกลับบ้านได้
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสะสมโบราณวัตถุที่ต้องการครอบครองสมบัติล้ำค่าที่เป็นทองสัมฤทธิ์ของราชวงศ์ชิง แม้ว่าจะไม่เห็นมันมาก่อนแต่เมื่อได้ยินว่าสิ่งนี้ใช้ทักษะการปิดทองร่วมด้วย พวกเขาก็ยิ่งมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนั้นมากขึ้น
ขณะนี้ใบหน้าผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างก็แสดงความอิจฉาตาร้อนจนแทบจะกระอักเลือดด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ขณะที่ซ่งซวนจ้องมองไปยังหยางซือเหมยพร้อมกับกล่าวว่า
“สาวน้อย! หนูยังเป็นเด็กแต่สมบัติชิ้นนี้ล้ำค่ามาก ดังนั้นลุงจึงอยากจะปรึกษากับพ่อแม่ของหนูว่าพวกเขายินดีที่จะขายมันให้กับร้านของเราหรือเปล่า ตอนนี้ช่วยบอกหมายเลขโทรศัพท์ของพ่อแม่หนูให้ลุงทราบจะได้หรือเปล่า?”
ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มีคุณธรรม อีกทั้งเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงในการปฏิบัติต่อคนทั่วไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและแน่นอนว่าเขาเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ในการประกอบธุรกิจ
อย่างไรก็ตามหากเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์เขาอาจจะแกล้งกล่าวกับเด็กน้อยว่าวัตถุที่บิดเบี้ยว ชิ้นนี้เป็นของปลอมจากนั้นก็ใช้เงินหนึ่งพันเหรียญหรือมากกว่านั้นเพื่อปิดปากเด็กก็สามารถทำได้ แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งนั้นเพราะมันขัดต่อหลักคุณธรรมที่มนุษย์ควรมี
และตอนนี้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากที่จะคืนของล้ำค่าเช่นนี้ให้กับหยางซือเหมย เพราะเขากังวลว่าเธอจะถูกคนโลภบางคนปล้นมันไปและอาจจะทำร้ายเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้
“พ่อของหนูอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ แต่คุณลุงสามารถคุยเรื่องราคากับหนูก่อนได้”
ในชาติที่แล้วเธอเคยทำมาหากินในพื้นที่นี้มาก่อน ดังนั้นหยางซือเหมยจึงรู้ว่าอาจารย์ซ่งผู้ที่ตรวจสอบและประเมินราคาวัตถุโบราณของศาลาโม่นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องความน่าเชื่อถือมากเพียงใด ดังนั้นเธอจึงมีความรู้สึกมั่นใจในตัวเขา
“หนูสามารถตัดสินใจได้เหรอ?”
“ของชิ้นนี้หนูเป็นคนซื้อมันมาด้วยเงินของหนูเอง ดังนั้นคุณพ่อของหนูคงไม่อยากยุ่งด้วยเชิญอาจารย์ซ่งประเมินราคาได้เลยค่ะ ถ้าได้เงินแล้วหนูค่อยเอาไปให้พ่อในภายหลัง”
“ร้านของลุงไม่ใช่ร้านที่ใหญ่โตอะไรและการค้าของเราก็มีผลกำไรเพียงเล็กน้อยดังนั้นจึงไม่สามารถเสนอราคาที่สูงมากได้ โดยเราสามารถรับซื้อได้ในราคาสามแสนห้าหมื่นเหรียญเท่านั้น” ซ่งซวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ในความเป็นจริงแม้ว่าเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์แต่เขาก็เป็นนักธุรกิจ ดังนั้นราคาที่เขาเสนอให้ก็นับได้ว่าไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป
“ผมให้สี่แสนเหรียญ!”
ทันใดนั้นเสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังออกมาจากฝูงชน ทำให้ทุกคนต่างก็หันหน้าไปมองดูและพบว่าเป็นเสียงของชายชราที่มีท่าทางค่อนข้างมีฐานะโดยเขาจูงเด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วย
และเมื่อเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นคิ้วของหยางซือเหมยก็เริ่มกระตุก!
เนื่องจากเด็กน้อยคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือมินกัง..ชายคนที่เธอแอบชอบในชาติที่แล้วโดยที่เธอไม่สมหวังในเรื่องของความรัก และครั้งที่แล้วเธอเห็นเขาบนรถบัสแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเขาที่นี่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอกำลังจ้องมองเขาด้วยจิตวิญญาณของหญิงสาวที่มีอายุยี่สิบแปดปีดังนั้นความรู้สึกจึงค่อนข้างจะแตกต่างจากตอนนั้นมาก
บางทีมินกังอาจจะจำเธอได้ในขณะที่เขาแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างซุกซนและทำหน้าทำตากวนประสาทเธอ
“ฮิฮิ..”
โดยภาพนี้มันทำให้หยางซือเหมยถึงกับเหงื่อตก เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงแลบลิ้นออกมาและทำหน้าแบบนี้ทุกครั้งที่เห็นเธอ และมันทำลายความเท่ห์ของเขาไปจนหมดสิ้น
ทันใดนั้นเสียงของอาจารย์ซ่งก็ดังขึ้น
“เป็นพี่มินนั่นเอง?”
ตอนนี้แม้ว่าดวงตาของอาจารย์ซ่งซวนจะแสดงความไม่พอใจออกมา แต่เขาก็ยังคงแสดงความสุภาพและเคารพต่อมินยู่หลิน เพราะชายชราคนนี้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกษียณอายุแล้ว
และแน่นอนว่าอิทธิพลของเขายังคงฝังรากลึกในเมืองนี้ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำให้เขาเกิดความขุ่นเคืองใจ นอกจากนี้การซื้อขายของเก่ามักจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย
เมื่อได้ยินคำกล่าวทักทายมินยู่หลินก็พยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่สายตาของเขาไม่ได้ละจากวัตถุทรงกลมที่บิดเบี้ยวภายในมือของซ่งซวนเลย
เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นคนที่มีความชื่นชอบวัตถุโบราณทองสัมฤทธิ์ของราชวงศ์ชิงอยู่แล้ว และเมื่อเขาได้ยินเสียงบทสนทนาจากทางด้านนอกว่า วัตถุชิ้นนี้คือสมบัติล้ำค่าทองสัมฤทธิ์ซึ่งใช้ทักษะการปิดทองที่ยังไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของโบราณวัตถุเขาจะยิ่งเกิดความต้องการสมบัติชิ้นนี้มาครอบครอง
นอกจากนี้ในช่วงหลายที่ผ่านมามูลค่าของวัตถุโบราณที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ของราชวงศ์ชิงนั้นมีราคาพุ่งขึ้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
และเมื่อได้ยินว่ามีคนเสนอเงินสี่แสนเหรียญเพื่อแลกกับสมบัติของเด็กหญิงตัวน้อย ก็ส่งผลให้ผู้สังเกตการณ์โดยรอบส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายด้วยความเสียดายที่สมบัติชิ้นนี้ไม่ได้เป็นของพวกเขา ขณะที่ดวงตาของผู้คนเหล่านั้นสว่างเป็นประกายขึ้นและรู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่มีโชคดีเช่นนี้
ตอนนี้แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินสี่แสนห้าหมื่นเหรียญเพื่อแลกกับวัตถุชิ้นนี้อาจารย์ซ่งซวนก็ยังสามารถยอมรับราคานั้นได้ เนื่องจากมูลค่าของวัตถุโบราณชิ้นนี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในอนาคต ซึ่งสามารถถือว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของตลาดแห่งนี้ก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามเขายังตระหนักดีถึงความหลงใหลในวัตถุโบราณที่ครอบงำมินยู่หลิน โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีต่อวัตถุโบราณที่ทำจากทองทองสัมฤทธิ์ของราชวงศ์ชิงชิ้นนี้
ซึ่งสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเขาทราบมาว่า ชายชราผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและจะทำทุกวิถีทางเพื่อล้างแค้นคนที่ทำให้เขารู้สึกคับข้องใจ
และหากครั้งนี้เขายื่นข้อเสนอเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน มันอาจเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องพบกับการตอบโต้ที่รุนแรงจนไม่อาจต้านทานไหว ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยอมรับมัน ขณะที่กล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก:
“ของชิ้นนี้เป็นของเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนี้ ถ้าพี่หมินต้องการซื้อก็สามารถพูดคุยเรื่องราคากับเธอได้เลยครับ”