ตอนที่ 34 ขาดตัว
หยางซือเหมยสามารถสังเกตเห็นความไม่พอใจของอาจารย์ซ่งซวนและท่าทางของมินยู่หลินที่มีต่อวัตถุโบราณที่บิดเบี้ยวของตนเองได้
ขณะที่เธอไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าการซื้อขายของโบราณจะสามารถทำกำไรได้มากมายมหาศาลเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้รู้สึกราวกับว่าการหาเงินแบบนี้รวดเร็วยิ่งกว่าการปล้นธนาคารเสียอีกและยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงแล้วเธอจะต้องตักตวงมันอย่างเต็มที่!
ก่อนหน้านี้เธอเคยวางแผนว่าจะลงทุนในที่ดินซึ่งผลตอบแทนอาจจะได้ไม่ถึงร้อยเท่า อีกทั้งเธอยังจะต้องรอเวลาให้มูลค่าของมันเพิ่มมากขึ้นและอาจจะใช้เวลานานมากพอสมควร แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้วโดยคิดว่าจะเปิดร้านขายวัตถุโบราณโดยจะให้บิดาเป็นเจ้าของ จากนั้นครอบครัวของเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการดำรงชีวิตอีกต่อไป
ตอนนี้เมื่อเธอทราบว่าวัตถุโบราณที่บิดเบี้ยวชิ้นนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดาจึงมีความคิดว่า ราคาสี่แสนเหรียญยังคงเป็นราคาที่ต่ำมาก ดังนั้นเธอจึงถือโอกาสโก่งราคาโดยกล่าวกับมินยู่หลินว่า
“ถ้าคุณต้องการหนูจะขายให้ห้าแสนเหรียญ แต่ถ้าคุณสู้ราคาไม่ไหวหนูก็จะฝากวัตถุโบราณชิ้นนี้ไว้ที่ศาลาโม่ก่อน”
คำกล่าวที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้มินยู่หลินถึงกับคิ้วกระตุกทันที ขณะฝูงชนที่อยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึงด้วยอาการอ้าปากค้างพร้อมกับมองไปยังหยางซือเหมยราวกับกำลังมองดูมนุษย์ต่างดาว โดยพวกเขาคิดว่าความกล้าหาญของเด็กผู้หญิงคนนี้เหนือมนุษย์จริง ๆ
จุดที่สำคัญที่สุดคือเธอเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่าเงินมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต และเธอต้องการเงินมากมายมหาศาลเช่นนี้ไปทำอะไร อย่างไรก็ตามในตอนที่ยังเด็กพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินสามารถซื้ออะไรได้บ้าง
แต่ตอนนี้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้ากลับมีความกล้าหาญที่จะเรียกราคาสำหรับสิ่งที่ตนเองครอบครองด้วยเงินจำนวนหลายแสนเหรียญในการซื้อขายวัตถุโบราณครั้งนี้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเดินชมสินค้าบนถนนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่หยางซือเหมยยืนอยู่
โดยพบว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้มีผิวพรรณที่เปล่งประกายและเนียนใสซึ่งเทียบได้กับเครื่องกระเบื้องเคลือบชั้นเลิศที่เปล่งประกายสดใส อีกทั้งยังมีคิ้วที่ดกดำโก่งเป็นรูปทรงที่งดงาม
และสิ่งที่มีความโดดเด่นที่สุดนั่นก็คือเธอมีไฝสีแดงสดอยู่ระหว่างคิ้วคู่นั้น ซึ่งมันเป็นรูปลักษณ์ที่ทำให้เด็กน้อยดูมีความเฉลียวฉลาดมากเป็นพิเศษ แต่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนคือในแววตาของเธอมีความเป็นผู้ใหญ่ที่แสนจะสงบนิ่งซึ่งมีความตรงกันข้ามกับวัยเด็กเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนโดยรอบมองเห็นราวกับว่าเธอไม่ใช่เด็ก
“สี่แสนแปดหมื่น!” มินยู่หลินกัดฟันแน่น
“ห้าแสนขาดตัว! ถ้าไม่เอาก็จบ!”
หยางซือเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้มเบา ๆ อีกว่า
“คุณปู่มินคะ ถ้าจะให้พูดอย่างตรงไปตรงมาแม้แต่ทองหนึ่งพันแท่งก็อาจไม่เพียงพอที่จะซื้อสิ่งที่ใจคุณต้องการได้ และหากคุณสูญเสียสมบัติชิ้นนี้ที่คุณโหยหาเพราะเสียดายเงินเพียงแค่สองหมื่นเหรียญ มันจะสายเกินไปที่จะเสียใจเมื่อมีคนอื่นมาซื้อมันตัดหน้าคุณไป”
และแน่นอนว่าคำกล่าวเหล่านั้นพุ่งตรงไปจี้จุดอ่อนของมินยู่หลินจนสามารถทำให้หัวใจของชายชราอ่อนยวบลงในทันที!
จริงอยู่ที่เขายินดีที่จะจ่ายเงินสี่แสนแปดหมื่น แต่หากจะจ่ายเพิ่มอีกเพียงแค่สองหมื่นเหรียญมันจะเป็นอะไรไป? เพราะถ้าคนอื่นมาซื้อมันไป เขาคงเสียใจและโมโหตัวเองอย่างไม่จบไม่สิ้น
อย่างไรก็ตามเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้าจึงฉลาดได้ถึงเพียงนี้?
เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กหญิงคนนี้จะมีอายุไล่เลี่ยกับหลานชายของตนเอง ดังนั้นชายชราจึงนึกถึงหลานชายที่เอาแต่ร้องโอดครวญเกี่ยวกับเรื่องหุ่นยนต์ที่เขาอยากได้ทั้งวัน โดยมีความคิดว่ามันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ตกลงห้าแสนก็ได้!” มินยู่หลินทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ ส่งผลให้รอยยิ้มของหยางซือเหมยกระจายไปทั่วใบหน้าของเธอทันที
และเมื่อทุกคนเห็นว่าวัตถุที่ซื้อมาในราคาเพียงแค่ห้าเหรียญสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ถึงห้าแสนเหรียญภายในระยะเวลาไม่ทันจะข้ามคืนด้วยซ้ำ ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นระทึกด้วยดวงตาที่แดงก่ำแห่งความอิจฉา
จากนั้นข่าวที่ว่ามีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนของเก่าที่ทุกคนมองข้ามให้กลับกลายเป็นเงินครึ่งล้านก็ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วจากถนนโบราณแห่งนี้ซึ่งมันส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนในเวลาต่อมา
และเมื่อเจ้าของเดิมผู้ซึ่งเป็นคนขายวัตถุทรงกลมบิดเบี้ยวให้กับหยางซือเหมยไปในราคาเพียงห้าเหรียญได้ยินว่ามันมาจากร้านของตนเองในตอนแรกเขาก็รู้สึกเสียใจมากจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้ร้านของเขาจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ต้องการมาเลือกซื้อของเก่า ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสขึ้นราคาสินค้าจนน่าตกใจ
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งของที่เขาซื้อมาด้วยเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญถูกเพิ่มราคาขายให้มากขึ้นเป็นสองร้อยเหรียญหรือบางชิ้นอาจมีราคามากกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญด้วยซ้ำ ดังนั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงสร้างผลกำไรให้กับเขาเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้มีความหวังเหล่านั้นได้นำสิ่งของที่ซื้อจากร้านนี้ไปตรวจสอบเพื่อประเมินราคาและทราบในภายหลังว่ามันเป็นของปลอม พวกเขาจึงทำได้แค่เพียงทุบหน้าอกและกระทืบเท้าด้วยความรู้สึกเสียใจ
ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างแต่ตอนนี้เด็กน้อยที่ชื่อหยางซือเหมยกำลังถือเช็คเงินสดห้าแสนเหรียญที่มินยู่หลินมอบให้ด้วยอาการลิงโลดเมื่อเธอได้เห็นเลขศูนย์ห้าตัวอยู่ข้างหลังเลขห้าบนกระดาษแผ่นนั้น
เนื่องจากในปีพ.ศ.2535 เศรษฐีหรือผู้มีฐานะดีในเมืองนี้มีไม่มากนักหรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีจำนวนน้อยมาก…โอ้..แต่ตอนนี้เธอสามารถหาเงินได้ห้าเหรียญภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ดังนั้นในเวลานี้นับได้ว่าเธอเป็นคนร่ำรวยที่สามารถซื้อบ้านในเมืองและสามารถหาเลี้ยงครอบครัวของตนเองได้แล้วโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าหรืออาหารอีกต่อไป
เด็กน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุขด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง ขณะที่อาจารย์ซ่งซวนเกิดความกังวลใจว่าเงินจำนวนมหาศาลนี้จะทำให้เธอถูกทำร้ายโดยพวกคนชั่วที่ต้องการเงินของเธอ ดังนั้นเขาจึงกรุณาพาเด็กหญิงตัวน้อยกลับไปพบบิดาของเธอด้วยตนเอง
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการเห็นมากกว่านี้คือ บิดามารดาของเด็กคนนี้เป็นคนแบบไหนจึงสามารถเลี้ยงดูเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ให้มีความฉลาดเฉลียวได้มากขนาดนี้…