ตอนที่ 35 โปรดรอ
เมื่อหยางชิงเห็นเช็คเงินสดห้าแสนเหรียญเขาก็แทบเป็นลมหมดสติขณะที่รีบพยุงร่างของตนเองลุกขึ้นนั่งบนเตียงในโรงพยาบาล
“คุณ…เอ่อคือ…นี่ผมฝันไปหรือเปล่า?” มือที่ถือเช็คเงินสดนั้นสั่นเทาขณะที่เขาเอ่ยถามด้วยความสบสน
เมื่อมองเห็นลักษณะของหยางชิงแล้ว อาจารย์ซ่งก็เกิดความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาจับใจ เพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมีรูปร่างที่ผอมแห้ง
อีกทั้งยังมีท่าทางขี้ขลาดและอ่อนแอซึ่งมีลักษณะเหมือนกับชาวบ้านในชนบททั่วไป และจากรูปลักษณ์ที่เขาแสดงออกมานั้นมันไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้อาจารย์ซ่งไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเขามีบุตรสาวที่เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร
“คุณหยางครับ นี่เป็นเรื่องจริง และมันเป็นเงินที่ได้มาจากมันได้มาจากขายวัตถุโบราณของซือเหมย”
ซ่งซวนกล่าวพร้อมกับเหลือบตามองยังหยางซือเหมยที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งอย่างสงบ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกราวกับว่าตนเองได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่แทนที่เด็กน้อยหยางซือเหมย โดยหญิงสาวคนนั้นกำลังแสดงท่าทีไม่แยแสผู้คนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเขากะพริบตาและพยายามจ้องมองดูอีกครั้งก็เห็นเป็นเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมทรงบ๊อบสั้นที่น่ารักเหมือนเดิมที่กำลังจ้องมองมาทางเขาพลางกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
และเมื่อเขาได้สบตากับเธอหัวใจของอาจารย์ซ่งก็เต้นแรงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มันจึงสร้างความรู้สึกประหลาดใจอย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต
โดยเขาไม่เข้าใจว่าอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และตัดสินใจบางอย่างได้ในทันทีพร้อมกับรีบร้อนกล่าวว่า
“คุณหยางครับ ผมรู้สึกประทับใจในตัวลูกสาวของคุณมาก และอยากรับเธอมาเป็นลูกศิษย์เพื่อเปิดโอกาสให้เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของวัตถุโบราณ ไม่รู้ว่าคุณจะอนุญาตหรือเปล่า?”
“ฮะ?”
เนื่องจากคำกล่าวนี้หยางชิงจึงจ้องมองชายตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาทราบดีเกี่ยวกับตัวตนของอาจารย์ซ่งซวนผู้นี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าทุกครั้งที่เข้ามาในเมืองเขามักจะไปเดินเล่นในตลาดของเก่าเพื่อดูว่ามีสินค้าอะไรมาใหม่บ้างเพื่อสร้างสีสันให้กับชีวิตของตนเอง
ทำให้เขาทราบว่าศาลาโม่เป็นร้านขายวัตถุโบราณที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้และอาจารย์ซ่งซวนไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้าของกิจการเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ตรวจสอบและประเมินราคาที่เชื่อถือได้และน่าเคารพในเรื่องของวัตถุโบราณอีกด้วย
และตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาต้องการรับบุตรสาวของตัวเองเป็นลูกศิษย์จริงหรือ?
ด้วยถ้อยคำที่อาจารย์ซ่งกล่าวหยางซือเหมยก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เพราะในชาติที่แล้วเขาไม่เคยแม้แต่จะมองเธอด้วยหางตาด้วยซ้ำหรือกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือเขาไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตานั่นเอง
ในทางตรงกันข้ามในขณะที่เธอตั้งแผงขายของเธอมักจะคอยแอบมองไปยังรูปลักษณ์ของเขาขณะที่ก้มหัวลงเพื่อประเมินสิ่งของต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเธอคิดว่าคุณลุงวัยกลางคนที่น่านับถือผู้นี้เป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้และอยากจะเป็นลูกศิษย์ใจแทบขาด
แน่นอนว่าบัดนี้เขาไม่ใช่ลุงวัยกลางคนในตอนนั้น เพราะเวลามันย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบสามปีก่อน โดยตอนนี้ซ่งซวนน่าจะมีอายุประมาณสามสิบปีที่มีรูปร่างที่สูงใหญ่และบุคลิกที่สุขุมเยือกเย็น อีกทั้งยังมีอารมณ์ที่แสนจะละเอียดอ่อนเหมือนกับนักวิชาการ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือเขายังมีความเฉลียวฉลาดที่เป็นลักษณะนิสัยของนักธุรกิจอีกด้วย
และจากสายตาของหญิงสาววัยยี่สิบแปดปีผู้ชายคนนี้นับได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขากำลังเขาก้มศีรษะลงเพื่อตั้งสมาธิไปที่การประเมินราคา
จากนั้นเมื่อหยางซือเหมยพบว่า ธุรกิจการค้าของเก่าสามารถทำกำไรมายมายเพียงใดเธอจึงต้องการที่จะเรียนรู้มันอย่างจริงจัง แม้ว่าเธอจะสามารถมองเห็นพลังงานทางจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในวัตถุโบราณก็ตาม
เนื่องจากเธอไม่สามารถเข้าใจถึงคุณค่าหรือต้นกำเนิดของมันอย่างแท้จริงได้ เพราะหากเธอต้องการทำธุรกิจการค้าขายวัตถุโบราณแน่นอนว่าเธอจะต้องมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับมัน
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจอภิปรัชญาของท่านอาจารย์หยูชิงที่อยู่บนเขาอย่างสมบูรณ์และยังไม่รู้ว่าชะตากรรมเกี่ยวกับการล่มสลายของครอบครัวในอีกครึ่งปีข้างหน้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
ดังนั้นคงจะต้องรอให้ผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน ทำให้ตอนนี้เธอไม่ต้องการจากบิดามารดาไปไหน ดังนั้นจึงเด็กน้อยจึงกล่าวกับซ่งซวนด้วยความรู้สึกขอบคุณว่า
“อาจารย์คะ หนูขอบคุณมากสำหรับความกรุณาของคุณ อันที่จริงหนูอยากเป็นลูกศิษย์ของคุณมากเพราะหนูก็สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่หนูอยากจะขอร้องให้อาจารย์รออีกหนึ่งปีจะได้หรือเปล่าคะ?”
เมื่ออาจารย์ซ่งซวนได้ยินคำกล่าวที่มุ่งมั่นของเด็กน้อย ในทันทีทันใดเขาก็จ้องมองเธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้งพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ
“โอเค! ฉันจะรอเธอ!”
และในตอนที่เขากล่าวออกมาว่า“ ฉันจะรอเธอ” ทั้งท่าทาง น้ำเสียงและการแสดงออกนั้นราวกับว่าเขากำลังกล่าวกับคนที่เขารักโดยมีอารมณ์และความรู้สึกที่แสนจะลึกซึ้ง
ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้หัวใจของหยางซือเหมยที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเด็กน้อยวัยห้าขวบที่ไม่เคยสัมผัสกับรักแท้มาก่อนเลยเริ่มเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรงจนทำให้ใบหูของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
และเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เนียนใสเหมือนหยกชั้นดีของเธอมีสีแดงอมชมพูที่แสนจะน่ารัก อาจารย์ซ่งซวนก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมดำขลับอันอ่อนนุ่มของเด็กน้อยและกล่าวราวกับถูกผีสิงว่า:
“หืม! ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันจะรอเธอแน่นอน!”
โดยไม่ต้องสงสัย ในชั่วพริบตาใบหน้าของหยางซือเหมยก็กลายเป็นสีแดงเข้มมากขึ้นไปอีกขณะที่เธอพยายามหลบมือของเขา