ตอนที่ 36 ความลับสวรรค์
จากนั้นหยางซือเหมยก็เดินมาส่งซ่งซวนที่ทางเข้าโรงพยาบาลแต่เมื่อเดินจากไปได้เพียงแค่สองสามก้าวเขาก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า
“คราวหน้าถ้าเข้ามาในเมืองมา อย่าลืมแวะไปที่ศาลาโม่บ้างนะ”
ในเวลานั้นแสงตะวันที่เปล่งประกายสีทองได้สาดส่องลงมากระทบบนใบหน้าของเขา ทำให้รอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ดูแล้วช่างอบอุ่นและแพรวพราวจนทำให้ดวงตาของหยางซือเหมยสั่นไหวเล็กน้อย
ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าโลกใบนี้ช่างไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ตอนนี้ซงซ่วนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ส่งยิ้มมาให้เธอด้วยความปรารถนาดี มันจึงทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตของการเกิดใหม่ในครั้งนี้ช่างวิเศษจริง ๆ
แต่ตอนนั้นเธอทำเพียงแค่พยักหน้าให้เขาพร้อมกับโบกมืออำลาแล้วหันกลับเพื่อที่จะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
ขณะที่ซ่งซวนยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิมและมองดูร่างอันบอบบางของเธอภายใต้แสงแดดที่อบอุ่นในตอนเช้าตรู่ จนกระทั่งร่างนั้นค่อย ๆ ห่างหายไป ซึ่งมันทำให้รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาที่กำลังเบิกบานได้ห่อเหี่ยวลงไปในทันทีทันใด
จึงรีบยกมือขึ้นมาทาบที่บริเวณหัวใจของตนเองพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมองว่า ทำไมเขาถึงเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้
มันจะเป็นไปได้หรือที่ผู้ชายในวัยสามสิบอย่างเขาจะแอบชอบเด็กหญิงตัวน้อยที่มีอายุเพียงแค่ห้าขวบ?
ฮ่า ๆ …มันจะเป็นไปได้ยังไง? เพราะเขาคงจะไม่มีอารมณ์ที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเช่นนั้นหรอก! แต่อาจจะเป็นเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ารักและมีความเฉลียวฉลาดมากเสียจนทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนใจ
จากนั้นเขาก็หันกลับไปด้วยสภาพจิตใจที่ค่อนข้างจะสับสนวุ่นวาย และเดินกลับไปที่ศาลาโม่อย่างไม่เร่งรีบ
ส่วนผู้คนที่อยู่บริเวณศาลาโม่ก็ยังคงรอคอยการกลับมาของเขา เพื่อให้ผู้ชายคนนี้ช่วยตรวจสอบและประเมินราคาวัตถุที่ตนเองนำมา โดยที่พวกเขาได้เข้าแถวรอมาเป็นเวลานานมากแล้ว
และเมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นเขาเดินกลับมา พวกเขาก็รีบนำเสนอวัตถุโบราณของตนเองเพื่อขอรับการประเมินราคาอย่างมีความสุข
ซึ่งแน่นอนว่ามีบางคนที่ต้องการจะสอบถามเกี่ยวกับหยางซือเหมย ขณะที่ซ่งซวนทำเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
***
เมื่อเห็นบุตรสาวตัวน้อยเดินกลับเข้ามา หยางชิงก็ยิงคำถามใส่เธอในทันที
“ซือเหมย! ไปทำอะไรมา? ทำไมถึงมีเงินมากมายขนาดนี้?”
แต่เด็กน้อยยังไม่ทันจะอาบปากตอบคำถามเขาก็เอ่ยถามอย่างละล่ำละลักอีกว่า
“ลูกคงไม่ได้ใช้กลอุบายช่อโกงเงินของคนอื่นมาใช่หรือเปล่า?”
“พ่อคะ หนูซื้อวัตถุโบราณในตลาดและนำมันไปขายค่ะ อันนี้ไม่ได้โกหกนะคะ”หยางซือเหมยกระพริบตาขณะที่เธอจ้องมองไปยังหยางชิงและกล่าวอีกว่า
“พ่อคะ ตอนแรกหนูอยากลงทุนในที่ดิน แต่ตอนนี้หนูเปลี่ยนใจแล้วเพราะแม้ว่ามันจะสามารถทำเงินได้แต่มันก็ยุ่งยากเกินไป ดังนั้นหนูคิดว่าเราทำธุรกิจเกี่ยวกับของเก่าจะดีกว่า ถ้าเราสามารถเปิดร้านขายของเก่าที่ถนนโบราณแห่งนั้นได้ เราก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องการทำมาหากินของเราอีกต่อไปแล้ว”
“ซือเหมย เปิดร้านขายของเก่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ! ลูกจะต้องเรียนรู้และมีความสามารถเหมือนกับอาจารย์ซ่งและจะต้องมีความเชี่ยวชาญด้านของเก่า ไม่อย่างนั้นเราก็จะขาดทุน
ส่วนเรื่องที่ลูกสามารถหาเงินได้มากมายในวันนี้ก็คงจะเป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น อย่าเพ้อฝันไปกับจินตนาการที่ไร้สาระเลยลูก
อย่างไรก็ตามเนื่องจากคุณซ่งเต็มใจที่จะรับลูกเป็นศิษย์ของเขาแล้วทำไมยังต้องรอเวลาอีกตั้งหนึ่งปี? พ่อคิดว่าลูกศึกษาการประเมินวัตถุโบราณจากเขายังจะดีเสียกว่าไปเรียนรู้การทำนายและเรื่องโชคลางจากนักบวชบนเขา”
หยางชิงกล่าวกับหยางซือเหมยอย่างจริงจังอีกว่า
“ในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิงต่อไปลูกอาจจะถูกเรียกว่าแม่มดหรือคนเจ้าเล่ห์ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย นอกจากนี้ตั้งแต่สมัยโบราณการทำนายดวงชะตาและสิ่งที่คล้ายกันนี้ ผู้คนต่างก็กล่าวว่าเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ ซึ่งมันจะทำให้ลูกได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน
เพราะคนที่เป็นหมอดูจะได้รับผลกระทบคือจะมีข้อเสียห้าประการ และขาดสมดุลในชีวิตสามประการ ดังนั้นเมื่อสรุปข้อดีและข้อเสียของมัน พ่อคิดว่ามันจะส่งผลเสียต่อลูกมากกว่าผลดี..
ซือเหมย! พ่อไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องร่ำรวยมาก แต่หวังเพียงว่าเมื่อเติบโตขึ้นลูกจะมีอาชีพที่เหมาะสมเพื่อสร้างครอบครัวที่มั่นคงและมีความสุขก็พอแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำแนะนำจากใจจริงของบิดาเช่นนี้ทำให้หัวใจของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้ว่าบิดาของเธอจะไม่มีความสามารถ แต่เขาก็ยังคงรักและเป็นห่วงอนาตคของเธอ
และหากเขาไม่ได้ตายก่อนวัยอันควรในชาติที่แล้วเธอคงจะไม่ถูกทอดทิ้งให้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งพิงเช่นนั้น
ข้อเสียห้าประการและการขาดสมดุลสามประการที่บิดากล่าวนั้น ท่านอาจารย์ของเธอก็เคยกล่าวถึงเช่นกัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่สามารถมองเห็นอนาคตและทำนายดวงชะตาชีวิตให้กับคนอื่นจะส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความพลิกผันและความโดดเดี่ยว
นี่เป็นเพราะหมอดูเหล่านั้นเปิดเผยความลับของสวรรค์เพื่อพลิกชะตากรรมเพื่อช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาภัยพิบัติของพวกเขาโดยใช้พรสวรรค์ของตนเอง
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่รวมถึงคนเจ้าเล่ห์ที่มักจะต้มตุ๋นและหลอกลวงผู้คนโดยการกล่าวเกินจริง เนื่องจากพวกเขากล่าวเรื่องจริงเพียงแค่สามส่วนในสิบส่วนเท่านั้นเพื่อฉ้อโกงทรัพย์สินของผู้อื่น