อ่านโดจิน doujinza.com
ตอนที่ 39 ต้มตุ๋น
“กังน้อย…”
ทันใดนั้นน้ำเสียงที่ก้องกังวานของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้หยางซือเหมยต้องหันหน้าไปขณะที่อ้าปากค้างด้วยอาการตื่นตะลึงและหัวใจของเธอก็เริ่มเต้นรัวเหมือนกลองอีกครั้ง
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอคือผู้ชายที่มีรูปร่างสูงโปร่งอีกทั้งยังสมส่วนอย่างสมบูรณ์แบบ และสวมสูทสีน้ำเงินที่รับกับทรงผมสั้นที่ประกอบเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนจะอ่อนโยน โดยพบว่าเขามีดวงตาที่ลึกซึ้งกับจมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากรูปกระจับที่โค้งขึ้นแต่มันกลับไม่ใช่รอยยิ้ม
โอ้…เขาช่างเหมือนกับมินกังของเธอในชาติที่แล้ว!
“พ่อครับ…”
เสียงตอบกลับของเด็กน้อยมินกังที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจก็ดังขึ้นเช่นกัน ขณะที่เขารีบวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของผู้ชายคนนั้นและจับที่เอวของเขาพร้อมกับร้องไห้พลางคร่ำครวญว่า
“ฮือ..ฮือ..ผมจะไปหาแม่”
โดยไม่ต้องสงสัย…ผู้ชายคนนี้คือมินชิงฮัวผู้ซึ่งเป็นบิดาของมินกังนั่นเอง และเขามีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับมินกังตอนที่โตขึ้นเป็นหนุ่มราวกับแกะ
หมินชิงฮัวอุ้มมินกังขึ้นพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าลายตารางหมากรุกสีฟ้าที่ตัดด้วยเส้นสีขาวออกมาจากกางเกงของตนเองและซับน้ำตากับเช็ดน้ำมูกด้วยความอ่อนโยนของความเป็นบิดาขณะที่ปลอบโยนว่า:
“กังน้อยอย่าร้องไห้ เดี๋ยวแม่ก็หายแล้ว…”;
เขาอุ้มมินกังและจ้องมองผ่านห้องกระจกไปยังใบหน้าอันบอบบางของภรรยาของตนเองที่กำลังหลับใหลด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวเนื่องจากความเจ็บปวด ทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งของเขารู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมาก
ขณะที่เขาไม่เข้าใจว่าหวังชิงเซียนผู้ซึ่งเป็นภรรยาที่อ่อนโยนและสง่างามกลายเป็นคนเสียสติเพียงชั่วข้ามคืนราวกับถูกสาปเช่นนี้ได้อย่างไร? โดยสภาพของเธอช่างน่าสงสารด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและร้องตะโกนเอะอะโวยวายอีกทั้งยังใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
“ฮือ..ฮือ.. ผมอยากอยู่กับแม่ ผมอยากให้แม่หายเร็ว ๆ ฮือ..ฮือ” มินกังยังคง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ทันใดนั้นหยางซือเหมยก็เปล่งเสียงออกมาจากด้านข้างว่า
“หนูมีวิธีทำให้เธอดีขึ้น!”
ด้วยเสียงนี้มินชิงฮัวจึงทราบว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้กับบริเวณนี้ด้วย จากนั้นเขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีดำและมีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่ดูเหมือนว่านิสัยของเขานั้นค่อนข้างเย็นชาด้วยท่าทีที่ไม่แยแสต่อผู้คนรอบข้างกับเด็กหญิงตัวน้อยในวัยใกล้เคียงกับบุตรชายของตนเอง
ส่วนคำกล่าวที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นแน่นอนว่าจะต้องเป็นเสียงเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ และด้วยสายตาอันลึกซึ้งของมินชิงฮัวที่จับจ้องมายังเธออย่างชัดเจน ทำให้หยางซือ
เหมยรู้สึกราวกับว่าตนเองได้พบกับมินกังในชาติที่แล้ว
ซึ่งมันทำให้จิตใจของเธอเกิดความรู้สึกสับสนและมีอาการประหม่าอย่างไม่สามารถอธิบายได้ และรู้สึกราวกับว่าลิ้นของตนเองถูกมัดเอาไว้ขณะที่กล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า:
“เธอ…เธอ…ได้รับผลกระทบ…จาก…อันตราย…คุณไสย…เอ่อ…เช่น…นี้…”
คิ้วของมินชิงฮัวย่นขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเขามักจะเชื่อในหลักของวิทยาศาสตร์ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อเมื่อมีคนกล่าวถึงสิ่งที่เหนือธรรมชาติใด ๆ ในโลก ยิ่งไปกว่านั้นคำกล่าวประเภทนี้มาหลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงวัยห้าขวบ
เมื่อหยางซือเหมยเห็นว่าเขาไม่สนใจคำกล่าวของตนเองจึงไม่ทราบว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี ขณะที่ตอนนี้เธอมีอาการประหม่ามากเกินไปจึงทำสิ่งที่รุ่มร่าม เนื่องจากเธอหลงคิดไปว่าตนเองกำลังอยู่ต่อหน้ามินกังผู้หล่อเหลาของเธอ
ดังนั้นขณะนี้สมองของเธอจึงวุ่นวายไปหมดจนไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองต้องการได้และในเวลานั้นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของมินชิงฮัวก็ดังขึ้น จากนั้นเมื่อรับสายและได้ยินเสียงจากทางปลายสายเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนที่จะกล่าวว่า:
“พ่อครับ พ่อเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ยังไง? ด้วยสถานะของครอบครัวเราพ่อจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ! จะให้นักบวชลัทธิเต๋ามาทำไมที่นี่? พ่อไม่กลัวเหรอว่าคนอื่นเค้าจะหัวเราะเยาะเอา”
จากนั้นเขาก็นิ่งเงียบ แต่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ยังคงส่งเสียงอะไรบางอย่าง ดังนั้นมินชิงฮัวจึงไม่ต้องการที่จะดื้อรั้นและทำได้เพียงตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า
“อย่างนั้นตามใจพ่อก็แล้วกัน” และรีบวางสายลงในทันที
ส่วนเหตุการณ์ในห้องเมื่อยากล่อมประสาทที่ฉีดให้กับหวังชิงเซียนหมดฤทธิ์แล้ว ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น ขณะที่หน้าซีดเผือดนั้นบิดเบี้ยวจนน่ากลัว โดยขาและแขนยังคงถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่เพียงบิดตัวไปมาและร้องตะโกนอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งแน่นอนว่ามันช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ทำให้มินกังตัวน้อยเกิดอาการตื่นตระหนกจนร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง
และเมื่อมินชิงฮัวเห็นภรรยาของเขาในรูปแบบนี้ก็เอาหัวพุ่งเข้าไปโขกกับกำแพงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ
ต่อมาหลังจากหวังชิงเซียนพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถและใช้กำลังทั้งหมดที่มีแล้ว เธอก็ค่อย ๆ สงบลงอย่างช้า ๆ ขณะที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นอย่างน่าสยดสยองแต่มันดูราวกับว่าไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย ทำให้ดูเหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ
และในจังหวะนั้นมินยู่หลินได้รีบร้อนเดินเข้ามากับนักบวชลัทธิเต๋าที่สวมชุดเต็มรูปแบบสีน้ำเงินใหม่เอี่ยมพร้อมกับดาบไม้แกะสลักในมือ โดยมีใบหน้าที่ยาวและคางแหลมอีกทั้งยังมีเคราแพะกับดวงตาที่เป็นรูปสามเหลี่ยม
ต่อมาชายชราได้กระตุ้นผู้ชายที่มากับเขาโดยการกล่าวว่า
“อาจารย์ครับ ลูกสะใภ้ของผมอยู่ข้างใน รีบเข้าไปช่วยขับไล่คำสาปเถอะครับ” มินยู่หลินกล่าวกับนักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเป็นอย่างมาก
นักบวชลัทธิเต๋าแสดงท่าทางมั่นใจและหยิ่งผยองพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวว่า
“คุณสบายใจได้เลย..ไม่ว่าจะเป็นภูตผีหรือปีศาจ พวกมันก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงสายตาที่แหลมคมของนักบวชเต๋าคนนี้ได้”
หยางซือเหมยต้องการทราบเป็นอย่างมากว่านักบวชเต๋าคนนี้มีความสามารถในการมองเห็นความร้ายกาจของสร้อยข้อมือหยกโลหิตเส้นนั้นหรือไม่ ดังนั้นเธอจึงยังคงรอดูภาพเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นต่อไป
ขณะที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังอุ้มหยางซือเหมยหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาสีเข้มที่เศร้าสลดได้วางร่างของเธอลงพร้อมกับกล่าวว่า
“ผมจะออกไปก่อน!”
หลังจากกล่าวอย่างนั้นแล้วเขาก็จ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยในชั่วพริบตาร่างของเขาก็หายไปจากบริเวณทางเดินของโรงพยาบาลราวกับวิญญาณที่สามารถหายตัวได้
ขณะที่หยางซือเหมยจ้องมองไปด้วยความสงสัย และในตอนท้ายที่ร่างของเขาหายไปมันทำให้หัวใจของเธอรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วเธอก็ถูกดึงดูดความสนใจอย่างรวดเร็วจากการกระทำของนักบวชเต๋าที่กำลังอยู่ภายในห้อง
และตอนนี้เธอเห็นเพียงว่านักบวชเต๋าในห้องกำลังถือเครื่องรางกระดาษในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นแกว่งดาบไม้แกะสลักพร้อมกับบ่นพึมพำด้วยคำกล่าวที่ฟังไม่รู้เรื่องขณะที่กระโดดไปมารอบ ๆ เหมือนลิงกำลังหนีน้ำก็ว่าได้
จากนั้นเขาได้แทงดาบไม้นั้นไปในอากาศทางทิศตะวันออกและกระทุ้งกลับไปทางทิศตะวันตก อีกทั้งในบางครั้งยังเพิ่มการเคลื่อนไหวที่แสนจะโดดเด่นมากเป็นพิเศษ ขณะที่หยางซือเหมยมองดูด้วยสีหน้าที่รู้สึกรำคาญใจ
เนื่องจากเธอค้นพบว่ายันต์ของนักบวชลัทธิเต๋าผู้นี้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์สิ้นดีเพราะมันไม่มีประกายของความกระจ่างใสเลยแม้แต่น้อยโดยมันเป็นเพียงแค่เศษกระดาษธรรมดา
นอกจากนี้คาถาที่เขาบ่นขมุบขมิบนั้นก็ไม่ใช่คาถาของลัทธิเต๋าที่แท้จริง แต่มันเป็นการเล่นตลกให้คนที่ไม่รู้เรื่องดูก็เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านักบวชลัทธิเต๋าคนนี้เป็นนักต้มตุ๋นอย่างแน่นอน
“อา…”
ทันใดนั้นนักบวชลัทธิเต๋าก็ส่งเสียงดังสั่นสะท้านอย่างน่ากลัวพร้อมกับดาบไม้ในมือก็สั่นสะท้านเช่นเดียวกัน และเมื่อเขาจ้วงแทงไปข้างหน้าอีกหนึ่งครั้งก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
จากนั้นใบหน้าที่แสนจะน่าเกรงขามของเขาก็เปล่งประกายความมั่นใจที่แสดงถึงชัยชนะ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหยิบเครื่องรางกระดาษแปะไว้บนหน้าผากของหวังชิงเซียนพร้อมกับบ่นพึมพำบางอย่าง ต่อมาเขาก็นั่งวางฟอร์มด้วยท่าทีสงบลงบนเก้าอี้
“อาจารย์ครับ คุณขับไล่วิญญาณชั่วร้ายไปแล้วใช่หรือเปล่าครับ?”
ด้วยท่าทีที่มั่นใจเช่นนั้นมินยู่หลินจึงคิดว่าเขาได้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปแล้ว แต่อันที่จริงมันเป็นเพียงการแสดงที่น่าตื่นเต้น ซึ่งสามารถเทียบได้กับการแสดงของนักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม
“ด้วยพิธีกรรมของลัทธิเต๋า แน่นอนว่าปีศาจและภูตผีปีศาจใด ๆ ก็ต้องหนีไปอยู่แล้ว” นักบวชลัทธิเต๋ากล่าวอย่างหยิ่งผยองพลางยื่นมือออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายยอมจ่ายเงิน
เมื่อมินยู่หลินเห็นว่าหวังชิงเซียนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ได้นอนหลับอย่างสงบจึงคิดว่าเธออาการดีขึ้นอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงรีบควักเงินออกมาหนึ่งพันเหรียญและวางไว้ในมือของนักบวชเต๋าคนนั้นด้วยความยินดี
จากนั้นนักบวชลัทธิเต๋าได้พยักหน้าพร้อมกับถอนดาบและลุกขึ้นยืน
“ให้เธอพักผ่อนมาก ๆ และไม่ต้องปลุกเธอ ตอนนี้อาจารย์คงต้องขอตัวกลับก่อน”
“ขอบคุณอาจารย์มากครับ” มินยู่หลินกล่าวพลางเดินตามนักบวชลัทธิเต๋าออกไปที่ประตูอย่างมีความสุข
แต่ในตอนที่นักบวชลัทธิเต๋ากำลังจะเดินออกไปจากห้องเด็กหญิงตัวน้อยก็สามารถสังเกตเห็นสีหน้าของเขาที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นขณะที่เขารีบจ้ำเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
และเมื่อนึกถึงวิธีที่เธอเคยใช้หลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมาซื้ออาหารและเครื่องดื่มในชีวิตที่รันทดของตนเองเมื่อชาติก่อนเธอก็รู้สึกไม่สบายใจมาก ดังนั้นหยางซือเหมยจึงไม่เปิดเผยเขาในจุดนั้นและปล่อยให้เขาจากไป
อย่างไรก็ตามความบ้าคลั่งของหวังชิงเซียนก็ไม่ได้หายไปเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเธอ
และในที่สุดหยางซือเหมยก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนอื่นตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นเด็กน้อยจึงผลักประตูและเดินเข้าไป โดยมินยู่ลินสามารถจำเธอได้และเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า:
“ สาวน้อย..เธอมาที่นี่ได้ยังไง?”
“คุณปู่มินคะ ถ้าคุณต้องการให้เธออาการดีขึ้นอย่างแท้จริงหนูขอแนะนำให้คุณถอดสร้อยข้อมือหยกเลือดในมือของเธอออก เพราะนั่นคือสาเหตุที่นำความชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายของเธอ” หยางซือเหมยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เธอเป็นเด็กจะรู้เรื่องอะไร” มินยู่ลินกล่าวอย่างไม่พอใจอีกว่า
“อย่าคิดว่าเพราะเธอโชคดีที่สามารถเลือกสมบัติล้ำค่าแล้วจะแสร้งทำเป็นผู้เชี่ยวชาญได้นะ เนื่องจากนี่คือสร้อยข้อมือหยกเลือดคุณภาพสูงซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณของบุคคลได้”