ตอนที่ 41 พ่ออย่าไป
จากนั้นวันเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ครึ่งปีต่อมาหยางซื่อเหมยที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็เริ่มนับนิ้วมือเพื่อคํานวณวันเวลาที่ผ่านพ้นไป และพบว่าเหลือเวลาอีกเพียงแค่สิบวันก็จะถึงวันตายของครอบครัวเธอในชาติที่แล้ว
เนื่องจากเส้นเอ็นและจุดสัมผัสที่ถูกตัดขาด เธอจึงทําได้เพียงแค่ฝึกฝนตนเองอยู่บนภูเขาเท่านั้น โดยทางครอบครัวของเธอจะมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเนื่องจากครอบครัวของเธอมีเงินมากพอจึงสร้างบ้านหลังใหม่และตกแต่งให้เป็นสไตล์ตะวันตกหลังเล็ก ๆ ที่แสนจะอบอุ่น
ส่วนบริเวณกําแพงพวกเขาได้ปลูกต้นสนไซเปรสภายใต้คําแนะนําของนักบวชหยูชิงเพื่อกําหนดรูปแบบฮวงจุ้ยที่สามารถสร้างความรุ่งเรืองได้ อีกทั้งหลุมศพของบรรพบุรุษก็ถูกย้ายไปยังบริเวณที่ดีเยี่ยม
และเมื่อหยินกับหยางมีความสมดุล พลังงานทางจิตวิญญาณของครอบครัว เธอก็เริ่มดีขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้อาการหอบหืดของคุณปดีขึ้นมาก และ อาการไขข้อเสื่อมของคุณย่ายังก็ไม่ลุกลาม แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือมารดาของเธอตั้งครรภ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชาติที่แล้ว
นอกจากนี้บิดาของเธอยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการครูอย่างเป็นทางการด้วยความราบรื่นและยังกลายเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนประถมประจําหมู่บ้านอีกด้วย
แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดี แต่เธอก็ยังไม่สามารถฟื้นคืนสุขภาพให้เป็นปกติได้ แต่นั่นก็ยังไม่เครียดเท่ากับเรื่องที่เธอยังหาคํา ตอบไม่ได้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะเกิดขึ้นซ้ํารอยเดิมหรือไม่?
มันจึงทําให้ตอนนี้หยางซือเหมยรู้สึกกังวลใจมาก และเมื่อเห็นท่าทางที่แสนจะหดหูของเด็กหญิงตัวน้อยแล้ว หยูชิงก็อดไม่ได้ที่จะสอบถามถึงเหตุผล
ดังนั้นหยางซื่อเหมยจึงเล่าปัญหาที่ซับซ้อนของเธอให้ท่านฟังเกี่ยวกับการเกิด ใหม่ของตนเอง ซึ่งการกล่าวอย่างตรงไปตรงมาต่อนักบวชหยูชิงในครั้งนี้ทําให้ ชายชราถึงกับเกิดอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ
พลางครุ่นคิดว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่สามารถทํานายอนาคตของเด็กน้อยคนนี้ได้แท้ที่จริงแล้วเนื่องจากเธอเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง
“ต้นตอของความหายนะในครอบครัวของเจ้าแต่เดิมเป็นเพราะหยินและหยางในฮวงจุ้ย ของบรรพบุรุษมีปัญหา แต่เมื่อได้รับการแก้ไขแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ดังนั้นอาจารย์มีความ เห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ควรซ้ํารอย” หยูชิงพึมพํากับตัวเองเล็กน้อยก่อนที่เขาจะกล่าวอีกว่า
“แต่วงล้อแห่งโชคชะตาและสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ยากที่จะเข้าใจเช่นกัน ดังนั้นตอน นี้ทางออกที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงตัวเร่งปฏิกิริยา”
“แล้วเราจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไรคะ?”
“ขอเพียงให้คนทั้งครอบครัวขึ้นมาบนเขาและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จนกว่าพวกเขาจะผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้”
“คุณยายกับคุณแม่คงจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้แน่นอน แต่หนูกลัวว่าคุณปู่กับ คุณพ่อจะไม่เห็นด้วย”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเชี่ยวชาญเอง!” หยูชิงยิ้มและกล่าวอีกว่า “พวกเขาจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน”
หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น!
ต่อมานักบวชหยูชิงก็สามารถหลอกคนในครอบครัวของหยางซือเหมยขึ้นไปบนเขาได้จริงอย่างที่เขากล่าวด้วยวิธีการที่แสนจะแยบยล
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อเขาเดินทางลงมาจากเขา หยางไปได้เอ่ยถามว่า นักบวชผู้ชราสามารถบอกล่วงหน้าได้หรือไม่ว่าในครรภ์ของลูกสะใภ้ตนเองเป็นเด็กชาย หรือเด็กหญิง?
จากนั้นนักบวชหยูชิงจึงใช้โอกาสนี้เพื่อทําให้เรื่องต่าง ๆ มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นโดยการกล่าวว่า
“หากเป็นไปตามความประสงค์ของสวรรค์ เด็กที่อยู่ในครรภ์ของเธอจะต้องเป็นเด็กผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข คุณก็รู้ว่านักบวชคนนี้มีความเชี่ยวชาญที่สุดในการต่อต้านเจตจํานงของสวรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงชะตากรรม”
ทันทีที่หยางไปได้ยินเช่นนี้เขาก็รู้สึกกังวลใจมากจึงรีบเอ่ยถามว่า
“อย่างนั้นถ้าฉันจะขอร้องนักบวชผู้อาวุโสให้ช่วยเปลี่ยนแปลงชะตากรรมจะได้หรือไม่และจะต้องทําอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ใช่เรื่องยาก! เพียงแค่ให้ทั้งคนทั้งครอบครัวขึ้นไปนั่งสมาธิในพระวิหารของฉันเป็นเวลาครึ่งเดือน ฉันจะช่วยครอบครัวของคุณโดยใช้คาถาเพื่อเปลี่ยนเพศของเด็กในครรภ์เอง และแน่นอนว่าเด็กในครรภ์จะต้องคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย” นักบวชหยูชิงกล่าวขณะที่ขยับนิ้วเพื่อคํานวณ
ทันใดนั้นชายชราหยางไปก็รู้สึกอิ่มเอมใจในทันที และรีบสั่งให้ทุกคน เก็บข้าวของที่จําเป็นเพื่อเตรียมตัวย้ายเข้าไปอยู่ในวัดบนเขาเพื่อทําสมาธิอย่างจริงใจเป็นเวลาครึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ดังนั้นหยางชิงจึงไม่ต้องไปสอนหนังสือเมื่อเป็นเช่นนั้นทุกคนจึงสามารถรวบรวมสิ่งของจําเป็นและ ย้ายเข้าไปอยู่ในวัดได้อย่างรวดเร็วได้ในคืนนั้นเอง
และเมื่อเห็นทั้งคนทั้งครอบครัวของเธอเดินทางมาถึงหยางซื่อเหมยก็รู้สึกมีความสุขมากจากนั้นเธอก็ยิ่งทุ่มเทให้กับการฝึกฝนวิชาของตนเองมากขึ้นโดยหวังว่าจะสามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูเส้นเอ็นและกระดูกให้ได้ดีขึ้นมาบ้าง
ขณะที่คราวนี้หยางชิงมาพร้อมกับหนังสือเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมปีที่หนึ่งหนึ่งถึงปีที่หกสําหรับหยางซือเหมยบุตรสาวอันเป็นที่รัก เนื่องจากเขามีความคิดว่า แม้เธอจะได้เรียนรู้เรื่องการทํานายและเรื่องลึกซึ้งอื่น ๆ มาแล้ว แต่เธอก็ควรได้รับการศึกษาในโรงเรียนตามปกติเหมือนกับเด็กในวัยเรียนทั่วไป เพื่อที่ชุมชนของพวกเขาจะได้มีการพัฒนา
อย่างไรก็ตามตอนนี้เส้นเอ็นและกระดูกของเธอได้รับบาดเจ็บและคงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีกว่าเธอจะสามารถเดินได้ตามปกติทําให้เธอไม่สามารถไปเรียนในโรงเรียนได้
ดังนั้นผู้เป็นบิดาจึงหวังว่า เด็กน้อยจะได้เรียนบทเรียนของโรงเรียนระดับชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมต้นด้วยตนเอง และในอนาคตเมื่อหายดีแล้วเธอจะได้สามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมปลายได้ ขณะที่หยางซือเหมยไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้
ในชาติที่แล้วครอบครัวของเธอถูกทําลายตั้งแต่ตอนที่เธออายุยังน้อย ดังนั้นเธอจึงไม่มีโอกาสเป็นเหมือนคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
โดยทุกวันเด็กเหล่านั้นจะมีกระเป๋าเป้สะพายหลังและเดินไปกลับจากโรงเรียนกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างมีความสุขและหลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาหลังเลิกเรียนร่วมกันทุกวัน ซึ่งในเวลานั้นเธอมีความรู้สึกอิจฉานักเรียนเหล่านั้นอย่างแท้จริง
ดังนั้นตอนนี้นอกจากการฝึกฝนพลังจิตของตนเองเพื่อฟื้นฟูเส้นเอ็นและกระดูกของเธอทุกวันและศึกษาหลักคําสอนที่ลึกซึ้งจากท่านอาจารย์แล้ว หยางซือเหมยยังจะต้องอ่านหนังสือเรียนระดับประถมศึกษาและเริ่มศึกษามันอย่างจริงจัง
แม้ว่าเธอจะมีความรู้เกี่ยวกับการอ่านและการเขียนอยู่บ้าง แต่บทเรียนในระดับชั้นประถมก็ยังมีความรู้พื้นฐานบางอย่างที่เธอต้องเรียนรู้
โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่เธอจะต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ปีที่หนึ่งเนื่องจากเธอไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับมันเลย และแม้ว่าเธอจะมีพร สวรรค์ที่แสนจะวิเศษ แต่ความเข้าใจในวิชาคณิตศาสตร์ของเธอก็ไม่สามารถเทียบกับนักเรียนทั่วไปได้เลย ดังนั้นหากเธอต้องการเรียนรู้ก็คงจะต้องศึกษาอย่างจริงจัง
ตอนนี้เมื่อทุกคนย้ายเข้ามาอยู่ในวัดแล้ว วันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่วันนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ขณะที่เธอก็รู้สึกกังวลใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกันเนื่องจากเธอกลัวว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง โดยวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่เธอรอคอยทําให้ในยามค่ำคืนเธอไม่สามารถข่มตานอนได้ด้วยอาการกระสับกระส่าย จึงกําชับกับบิดา มารดาที่นอนอยู่ด้านข้างว่าไม่ให้พวกเขาลงจากเขาในวันพรุ่งนี้เด็ดขาดโดย เฉพาะหยางชิงผู้ซึ่งเป็นบิดาของเธอ
แต่ด้วยกรรมลิขิตวันรุ่งขึ้นในตอนเช้าตรู่ก็มีคุณครูจากโรงเรียนประถมประจําหมู่บ้านเดินทางขึ้นมาบนเขาเพื่อแจ้งหยางชิงว่า ทางสํานักการศึกษาต้องการ สํารวจสภาพการศึกษาภาคบังคับของโรงเรียนประถมศึกษาในชนบท เนื่องจากคณะกรรมการของเมืองให้ความสําคัญอย่างมากในเรื่องนี้โดยรวบรวมหลักการ สําคัญของเมืองทั้งหมดสําหรับการประชุม
และในทันทีที่เธอได้ยินว่าบิดาของตนเองกําลังเตรียมตัวที่จะลงจากเขา หยางซือเหมยก็ร้องออกมาอย่างกระวนกระวายใจ
“พ่อวันนี้ลงเขาไม่ได้นะ!”
“ซือเหมย! มันจําเป็นจริง ๆ ถ้าพ่อไม่ไปประชุมมันจะมีความผิดทางวินัย”
หยางชิงให้ความสําคัญกับงานของเขาในฐานะคุณครูใหญ่มาก หากผู้อํานวยการสํานักงานการศึกษาและนายกเทศมนตรีรู้ว่าเขาอยู่แต่บนเขาแทนที่จะอยู่ในที่ประชุม เขาคงจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือแม้กระทั่งถูกไล่ออก
และโดยนิสัยส่วนตัวแล้วหยางชิงเป็นคนหน้าบางและจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด ดังนั้นเขาจะปล่อยให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่าตนเองถูกเลิกจ้างได้อย่างไร
“พ่ออย่าไปเลยนะ มันจะมีอันตราย” หยางซือเหมยสิ้นหวังจนน้ําตาไหลรินพลางจ้องมองไปยังคุณปู่ของเธอด้วยความหวังว่าเขาจะช่วยเกลี้ยกล่อม
“มันเป็นแค่การประชุมจะมีอันตรายได้ยังไง?” หยางไปมีความคิดเห็นที่แตกต่างจึงกล่าวอีกว่า
“นักบวชให้เขาสวมน้ําเต้าหยกซึ่งสามารถปัดเป่าภัยพิบัติและอันตรายได้ ดังนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน!”
คนที่สวมใส่เครื่องรางก็ตายได้นะคะคุณปู่!
เนื่องจากเหตุผลบางประการหยางซื่อเหมยไม่สามารถกล่าวถึงเรื่องการเกิดใหม่ของตนเองและแน่นอนว่าไม่สามารถกล่าวถึงความหายนะในชาติที่แล้วได้ ซึ่งมันจะทําให้ทุกคนเกิดอาการตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ขณะที่หยางชิงนั้นเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก และเรื่องที่เขาตัดสินใจจะไม่มีใครขัดขวางได้ โดยบิดาของเธอตั้งใจที่จะลงจากเขาเพื่อเข้าร่วมประชุม และเมื่อหยางซือเหมยเห็นว่าหยางชิงกําลังจะจากไป ทันใดนั้นในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง เธอก็ตัดสินใจดันร่างของตนเองไปข้างหน้าเพื่อให้ร่วงหล่นลงจากรถเข็นส่งผลให้ ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
และเมื่อหยางชิงเห็นสิ่งนี้จึงรีบเข้าไปประคองร่างของเด็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า
“ลูก! เป็นยังไง? เจ็บตรงไหนบ้าง?”
“พ่อคะ! หนูเจ็บมากเลย!”