ตอนที่ 43 โตเป็นสาวแล้ว
“ท่านอาจารย์คะ แม่ของหนูจะมีลูกอีกสองคนจริงๆหรือ
คะ?”
อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นครอบครัวของเธอหยางซื่อเหมยจึงไม่สามารถใช้สายตาอันศักดิ์สิทธิ์ของเธอดูอดีตหรืออนาคตของพวกเขา และไม่สามารถคํานวณด้วยศาสตร์แห่งตัวเลขที่เธอศึกษามาได้
และหากเธอยังดื้อรั้นที่จะพยายามคํานวณ มันก็จะทําให้เกิดการดีดตัวของพลังวัตรซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของเธอ
“ตราบใดที่การรักษานี้สามารถช่วยให้เธอฟื้นฟูร่างกายได้แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น” นักบวชหยูชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ
หยางชื่อเหมยรู้ดีว่าอาจารย์ของตนเองมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการรักษาด้านแพทย์แผนจีน และหากเขากล่าวว่าผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนหน้านี้เธอละเลยวิชาด้านการแพทย์ลัทธิเต๋ของท่า นอาจารย์ชวนเหมินมาโดยตลอดเนื่องจากเธอมุ่งเน้นในเรื่องการทํานายการอ่านศาสตร์ของฮวงจุ้ย ธรณีสัณฐานเครื่องรางของขลังและอื่น ๆ
แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นมารดาของตนเองแท้งลูกต่อหน้าต่อตาขณะที่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลยเธอจึงทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเธอยังเรียนรู้ไม่มากพอ
ดังนั้นเธอจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้เชี่ยวชาญเหมือนกับท่านอาจารย์ เพื่อที่จะเข้าใจข้อมูลสําคัญเกี่ยวกับลัทธิเต๋ได้อย่างสมบูรณ์รวมถึงในส่วนของทักษะทางการแพทย์ด้วย
และเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยสามารถรับรู้ถึงสิ่งนี้ได้ นักบวชหยูชิงก็รู้สึกมีความสุขมากดังนั้นเขาจึงรีบจัดตารางการเรียนของเธอใหม่อีกครั้งเพื่อให้สามารถสอนเธอได้อย่างครอบคลุมทุกสาขาวิชา
จากนั้นเมื่อวันแห่งความวิปโยคผ่านพ้นไปเธอก็ทราบว่า
โศกนาฏกรรมของครอบครัวเธอในชาตินี้จบลงด้วยการที่มารดาของเธอแท้งบุตร
และเมื่อหยางชิงฟื้นขึ้นมาเขาก็ถูกนักบวชหยุชิงตําหนิ อยู่พักหนึ่ง ทําให้เขาเข้าใจว่าการฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาเป็นเรื่องที่แสนจะโง่เขลายิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นต้นเหตุที่ทําให้ภรรยาของตนเองแท้งลูก
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทั้งครอบครัวก็พักอยู่บนภูเขาอีก หนึ่งเดือนและในที่สุดวันหยุดภาคฤดูร้อนที่สิ้นสุดลง ทําให้ หยางชิงต้องกลับไปสอนหนังสือที่โรงเรียนตามปกติ
และพบว่าทุกคนให้ความไว้วางใจในตัวตนเนื่องจากเชื่อมั่นในความเป็นคนดีของเขาและไม่เชื่อคํากล่าวใส่ร้ายที่หัวหน้าหมู่บ้านสร้างขึ้นในวันนั้นในทันใดเขาก็เข้าใจในความเป็นไปเกี่ยวกับวิถีของทางโลกทําให้ความคิดของเขาเริ่มสงบมากขึ้น
ส่วนหยางซื่อเหมยที่ตระหนักถึงความรู้ที่ไม่มากพอของตัวเธอเอง นอกเหนือจากการฝึกทํากายภาพให้กับเส้นเอ็นและกระดูกแล้ว เธอก็พยายามฝึกควบคุมพลังลมปราณของตนเองทุกวันอีกทั้งยังได้เรียนรู้หลักวิชาของลัทธิเต๋าจากอาจารย์ อย่างท่วมท้น
จากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตอยู่บนเขาเป็นเวลาสิบปีจนหยางซื่อเหมยอายุได้สิบห้าปี!
เฉินหนานนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามกล่าวว่า
“ฉันได้ยินมาว่า ชั้นเรียนของเรากําลังจะรับนักเรียนใหม่!”
เด็กสาวที่มีใบหน้ายาวแหลมซึ่งมักจะชอบซุบซิบนินทามากที่สุด โดยมารดาของเธอเป็นคุณครูและสาวน้อยคนนี้ที่มีชื่อว่า “เฉินลี่ลี่ ได้กล่าวกับเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยน้ําเสียงอันดัง
และทันทีที่นักเรียนรอบข้างได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกสนใจและรีบสอบถามด้วยความสงสัยว่า
“นี่! นักเรียนใหม่เป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง?”
“ไม่รู้เหมือนกัน! แม่ของฉันไม่ได้บอก”
“เอ่อ….หวังว่าจะเป็นเด็กผู้ชายที่หล่อเหลานะเพราะฉันเบื่อหน้าผู้ชายในชั้นเรียนของเราเต็มทนแล้ว” หลินหลินกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ในทันใดเด็กนักเรียนชายที่ชื่อ “หม่าเจียเป่า” ก็กล่าวขึ้นมา
“แต่ฉันอยากให้เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักและอ่อนโยน เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาพูดว่าชั้นเรียนของเรามีแต่เด็กผู้หญิงขี้เหร่”
“หม่าเจียเป่าเราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันอย่าพูดจาดูแคลนสาว ๆ ในห้องเรียนของเราแบบนี้อีกนะนอกจากนี้เคยส่องดูตัวเองในกระจกหรือยังว่าเป็นอย่างที่หลินหลินพูดรึเปล่า?” จางหลานกลอกตาของตนเองไปมาเพื่อตอบโต้กลับ
“หึม! ฉันก็แค่พูดเรื่องจริง” หม่าเจียเป่ากล่าวอย่างไม่พอใจ
“ถูกต้อง! เป็นความจริงที่ชั้นเรียนของเราไม่มีสาวสวยเลยสักคน” เพื่อนร่วมชั้นชายทุกคนต่างก็เห็นด้วย
“ไม่ต้องเถียงกัน! ฉันได้ยินแม่บอกว่าเด็กนักเรียนคนนั้นมาจากชนบท ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงหรือจะมีใบหน้าที่สวยงามหรือไม่ ฉันก็ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะมีดูดีเพราะเธอคงมีกลิ่นสาปของเด็กบ้านนอกอยู่ดี!”
“ว้ามาจากบ้านนอกเหรอ?” นักเรียนหญิงคนอื่น ๆ หลายคนหมดความสนใจทันที
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีประเด็นที่จะต้องมาถกเถียงกันเพราะคงไม่มีใครหล่อเท่ากับมินกุ้งที่อยู่ห้องหนึ่งได้อีกแล้วล่ะ!”
“ใช่แล้ว! มินกังหน้าตาดีจริงๆ อีกทั้งผลการเรียนดีก็ดีและยังเป็นนักกีฬาที่มีนิสัยดีอีก แถมบ้านของเขาก็รวยมากช่างเป็นเหมือนกับเจ้าชายที่แสนจะสมบูรณ์แบบ” หลินหลินกล่าวพร้อมกับจับคางของเธอไว้ในมือทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกหลงใหล
“แต่มินกังเป็นเพียงภาพที่เราสามารถชื่นชมได้แค่เพียงในฝันเท่านั้น อย่าจินตนาการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” จางหลานกล่าวพลางเคาะหัวของหลินหลินด้วยกําปั้น
“ความฝันเหรอ? ใครบอกว่าเป็นแค่ความฝัน? วันก่อนฉันเห็นมินนั่งมองฉันแล้วยังส่งยิ้มมาให้กับฉันด้วยนะ ฉันคิดว่าเขาจะต้องมองเห็นความโดดเด่นของฉันแน่นอนเลย”
“ฮี! ฉันเคยเห็นคนที่หลงตัวเองมาก่อนแต่ก็ไม่มากขนาดนี้หลินหลินเธอเป็นโรคประสาทหลอนหรือเปล่า? คนที่เขาสนใจไม่ใช่เธอย่ะ แต่เป็นคนที่ยืนหน้าบานอยู่ข้างหลังเธอที่ชื่อ “มู่หรงเยี่ยน” ต่างหากล่ะ”
“ถามจริง! ทําไมเธอต้องพูดจาทําร้ายจิตใจฉันถึงขนาดนี้ด้วย?” หลินหลินบ่นพึมพําอย่างไม่พอใจอีกว่า
“เธอจะปล่อยให้ฉันมีความสุขบ้างไม่ได้เลยหรือยังไง?”
“ชีวิตเด็กนักเรียนชั้นม.สามอย่างพวกเรานี้มันแสนจะน่าเบื่อถ้าน้องสาวในชนบทมาก็คงจะดีเหมือนกัน..จะได้มีเรื่องสนุก ๆ ทํา” เฉินจิงที่มักจะชอบแกล้งมากที่สุดกล่าวพร้อมกับมอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา
แต่นักเรียนชายคนอื่น ๆ ที่ได้ยินว่านักเรียนคนใหม่ย้ายมาจากชนบทต่างก็หมดความสนใจทันที เนื่องจากในความคิดของพวกเขานั้น เด็กผู้หญิงในชนบทน่าจะมีรูปร่างสูงใหญ่ที่มีผิวพรรณที่ดําคล้ําหยาบกร้าน ซึ่งคงจะขี้อายและแต่งตัวเชย ๆ ดังนั้นมันช่างห่างไกลจากคําว่าเทพธิดาที่พวกเขาต้องการเสียเหลือเกิน
จากนั้นพวกเขาจึงมองไปยังหวงอี้เฟิงในที่นั่งคนเดียวเนื่องจากในอนาคตเขาคงจะต้องเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเด็กผู้หญิงที่มาจากชนบทคนนั้น ทําให้ทุกคนเกิดความรู้สึกสงสารเขาอย่างสุดซึ้งทําให้หวงอี้เฟิงต้องร้องตะโกนออกมาว่า
“มาจากชนบทแล้วเป็นยังไง? คนในชนบทเป็นที่ซื่อสัตย์เรียบง่ายและมีน้ําใจกว่าคนในเมืองนะจะบอกให้”
“ไอ้หยา! เธอยังไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเด็กคนนั้นก็เริ่มปกป้องซะแล้วเหรอ? แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะกลิ่นบ้านนอกของพวกเธอคงจะเข้ากันได้ดี” เฉินเสี่ยวเฉียงเยาะเย้ย
“เสี่ยวเฉียง…” หวงอี้เพิ่งรู้สึกโมโหจนหน้าแดงขณะที่มือของเขากําหมัดแน่น แต่ในทันใดนั้นหัวหน้าห้องที่ชื่อ “เซียวโม่” ก็กล่าวขัดจังหวะขึ้นมาว่า
“พวกเธออย่าไปแกล้งเขานะ เพราะปกติแล้วเด็กผู้หญิงที่มาจากชนบทมักจะประหม่าและขี้กลัวดังนั้นในฐานะเพื่อนร่วมชั้นเรามีหน้าที่ช่วยให้เธอสามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนในชั้นเรียนของเรา และไม่ควรดูถูกว่าเธอมาจากบ้านนอก”
เซี่ยวโม่เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเรียนและมี ใบหน้ารูปไข่ที่ถือว่าสวยงามมากอีกทั้งเธอยังเป็นคนที่มีความ สามารถในการทํางาน และมีครอบครัวที่เพียบพร้อม
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวนั้น เธอเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสและเปิดเผย ดังนั้นเธอจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยุติธรรมทําให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงก็จะไว้วางใจและเลือกเธอเป็นหัวหน้าห้องมาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อได้ยินหัวหน้ากล่าวเช่นนี้ทุกคนจึงหุบปากในทันทีทําให้ไม่กล้ากล่าวอะไรอีกและทําได้แค่เพียงหยิบตํารามาเปิดอ่านกันอย่างขยันขันแข็ง