ทําทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 45 กลิ่นเต่า
ตอนนี้นักเรียนหญิงที่นั่งอยู่ในห้องทั้งหมดสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในตอนที่คุณครูฉินไคเหวินทองกวีบทนี้ น้ําเสียงของเขานั้นทุ่มต่ําและลึกซึ้งมากอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
และในขณะเดียวกันนักเรียนชายเหล่านั้นก็ท่องบทกวีพร้อมกับมองไปยังหยางซือเหมยที่นั่งสงบเงียบ โดยที่พวกเขาพยายามเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นราวกับว่าตั้งใจจะดึงดูดความสนใจของเธอ ทําให้บรรดานักเรียนหญิงต่างก็เกิดความรู้สึกอิจฉาตาร้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกไม้ประจําห้องเรียนอย่างหลินอี้ถิง
เนื่องจากก่อนหน้านี้เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ในชั้นเรียนมักจะแอบมองเธอ แต่ตอนนี้เป้าหมายที่พวกเขาแอบมองได้เปลี่ยนไปแล้ว ทําให้เธอรู้สึกสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง
ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือคุณครูฉินไคเหวิน ผู้ซึ่งเธอแอบชื่นชมดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างกับเด็กนักเรียนที่มาใหม่คนนี้ ขณะที่บางครั้งดวงตาอันลึกซึ้งที่เป็นประกายของเขาจะหันไปมองที่หยางซือเหมยเป็นระยะ
ส่งผลให้ความหึงหวงที่เป็นเหมือนกับงูพิษกัดกินหัวใจของหลินอี้ถิง จนทําให้เธอถึงกับกัดริมฝีปากล่างของตนเองจนเลือดออกและยังคงสาปแช่งอยู่ในใจ
“ไปตายซะเถอะ ไปตายซะเถอะ ไปตายซะเถอะ”
และนี่เป็นครั้งแรกที่หยางซือเหมยได้อยู่ในสภาพแวดล้อมชั้นเรียนเช่นนี้ ขณะที่เธอรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว
ดังนั้นแม้ว่าเธอจะสามารถจดจําเนื้อหาของบทกวีด้วยการเหลือบมองเพียงครั้งเดียวและเข้าใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังตั้งใจฟังบทเรียนของคุณครูอย่างจริงจัง
ส่งผลให้คุณครูฉินไคเหวินใส่ใจที่จะอธิบายทุกรายละเอียดโดยไม่พลาดเนื้อหาที่น่าสนใจ ซึ่งทําให้ทุกคนเกิดความรู้สึกเพลิดเพลินและรื่นรมย์ ภายใต้การจ้องมองของดวงตากลมโตคู่นั้น
ในเวลาหลังเลิกเรียน เมื่อทุกคนเห็นคุณครูฉินไคเหวินได้เดินออกจากห้องไปแล้ว ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นทันที
โดยนักเรียนชายหลายคนเริ่มจับกลุ่มพากันเดินไปที่ด้านข้างหยางซือเหมยและพยายามแนะนําตัวราวกับเป็นการโอ้อวดตนเอง ขณะที่หยางซือเหมยยังคงเผชิญหน้ากับพวกเขาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและสามารถจดจํารูปลักษณ์และชื่อของพวกเขาได้
“สวัสดีจ้า..หยางซือเหมย ฉันชื่อ “เซี่ยวโม่” นะ
เซี่ยวโม่ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นหันหน้ามาทักทายหยางซือเหมย ขณะที่เด็กสาวที่มาจากชนบทเห็นว่าเซี่ยวโม่มีดวงตาอันสง่างามที่มีชีวิตชีวา และมีใบหน้าที่ดูโดดเด่นบวกกับท่าทางที่จริงใจ ซึ่งมีความแตกต่างจากสายตาของเด็กผู้หญิงที่อยู่รอบตัว ดังนั้นจึงชอบเธอและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“สวัสดีจ้า ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
“เราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน ดังนั้นแน่นอนว่าเราจะต้องช่วยเหลือเธออยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” เซี่ยวโม่ยิ้มตอบ พลางกล่าวอีกว่า
“จากนี้ไปถ้ามีอะไรที่เธอไม่คุ้นเคยหรือไม่เข้าใจในโรงเรียนก็สามารถถามฉันได้”
“ตกลง! ขอบคุณมากนะ”
“เธอถามฉันก็ได้ เพราะฉันจะรู้สึกมีความสุขมากที่ได้แก้ปัญหาให้กับเพื่อนร่วมชั้น” เฉินเสี่ยวเฉียงตะโกนเสียงดัง
หยางซื่อเหมยจึงจ้องมองไปที่เด็กนักเรียนชายคนครูซึ่งเป็นคนกล่าวประโยคนี้ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าที่บริเวณระหว่างคิ้วของเขามีความดําคล้ําอย่างเห็นได้ชัด และตรงสันจมูกเป็นสีเขียวเข้ม
ทําให้เธออดไม่ได้ที่จะจ้องมองอยู่นาน เพื่อใช้สายตาอัน
ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองบีบบังคับให้ภาพปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเธอ
ซึ่งภาพเหตุการณ์ที่เห็นคือ ที่บริเวณสี่แยกแห่งหนึ่งมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น โดยเด็กผู้ชายคนนี้ถูกรถชนและร่างของเขานอนจมกองเลือดที่ไหลเจิ่งนองพื้น
เธอจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย และในฐานะเพื่อนร่วมชั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะให้คําแนะนําว่า:
“เฉินเสี่ยวเฉียง หลังเลิกเรียนจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เดินข้ามถนนตรงสี่แยกเพราะจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเธอ”
คํากล่าวเช่นนี้ทําให้เฉินเสี่ยวเฉียงถึงกับชะงักขณะที่จ้องมองไปที่เธอด้วยความรู้สึกสงสัย เนื่องจากไม่เข้าใจว่าทําไมเธอถึงกล่าวกับเขาแบบนี้
และด้วยความสงสัย เซี่ยวโมจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“หยางซือเหมย ทําไมเธอถึงพูดแบบนั้นกับเฉินเสี่ยวเฉียงล่ะ? เธอเคยเห็นเขามาก่อนเหรอ? แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาจะต้องเดินผ่านสี่แยกนั้นที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจรนั้นทุกวัน”
หยางซือเหมยยิ้มโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรอีก เนื่องจากเธอไม่สามารถเตือนเขาได้มากไปกว่านี้ และด้วยเหตุผลอีกอย่างคือเธอไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์
ดังนั้นเธอจึงไม่มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติให้กับผู้อื่น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นก็ตาม ส่วนเรื่องที่เขาจะฟังคําแนะนําของเธอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเขาเอง
ทันใดนั้นเสียงกริ่งของโรงเรียนก็ดังขึ้น เมื่อเซี่ยวโม่เห็นว่าเธอไม่มีการตอบกลับดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจที่จะเอ่ยถามอีกต่อไป ขณะที่มีความรู้สึกราวกับว่ารูม่านตาสีดําสนิทของหยางซือเหมยสามารถมองเห็นได้ทั่วทุกมุมโลก
และในตอนนั้นเมื่อเห็นนักเรียนชายหลายคนเดินถอยออกจากโต๊ะไป ในที่สุดหวงอี้เฟิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเพราะเขามีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับกลิ่นกายของตนเอง
ขณะที่เขากลัวอย่างแท้จริงว่ากลิ่นเต่าของตนเองจะทําให้เพื่อนร่วมโต๊ะที่ใสซื่อบริสุทธิ์ผู้นี้จะรู้สึกเหม็น ดังนั้นเขาจึงเขียนบางอย่างลงในสมุดของเขาและผลักมันไปทางหยางซือเหมย
“ต้องขอโทษด้วยนะ..ฉันมีกลิ่นตัว ถ้าเธอทนไม่ไหวก็สามารถขอให้คุณครูเปลี่ยนที่นั่งได้ฉันเข้าใจ”
หยางซื่อเหมยเห็นคํากล่าวเช่นนั้นในสมุดและมองไปยังหวงอี้เฟิง จึงเห็นว่าเขากําลังก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกด้อยค่า และดูเหมือนว่าเขากําลังกลั้นหายใจด้วยซ้ํา หยางซือเหมยจึงเดาว่ามันคงจะมาจากความกลัวว่าเธอจะรังเกียจเขา จึงเริ่มรู้สึกสงสาร
“ฉันรู้จักวิธีการฝังเข็ม ถ้าเธอเชื่อฉัน เราจะหาที่รักษาเธอหลังเลิกเรียน ฉันรับรองว่ามันจะต้องหายขาดแน่นอน” เธอตอบกลับเป็นตัวหนังสือ
และเมื่อหวงอี้เพิ่งเห็นคําตอบของเธอจึงรู้สึกประหลา ดใจมาก
เนื่องจากความล้าหลังของการแพทย์แผนจีนในปัจจุบันเกี่ยวกับการฝังเข็ม ดังนั้นทุกคนมองว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทีวีเท่านั้น โดยผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างแท้จริงมีไม่มากนัก ยกเว้นแพทย์แผนจีนรุ่นเก๋าที่มีประสบการณ์สูง
ขณะที่ตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นคนนี้เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่น ทําให้เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะรักษาตนเองด้วยวิธีการการฝังเข็มได้ แต่มันน่าแปลกใจที่เขาไม่ได้ประหลาดใจเลย
จากนั้นเขาได้คิดสักครู่ก่อนที่จะเขียนลงไปในสมุดอีกว่า
“ตกลง ขอบคุณมาก แล้วคุณนําเอาเข็มสําหรับฝังเข็มมาด้วยหรือเปล่า?”
หยางซือเหมยจึงพยักหน้าไปทางเขาทันที
หากจะเล่าย้อนหลังไป ตั้งแต่ตอนที่เธออายุได้ห้าขวบ หลังจากที่ได้เห็นมารดาของตนเองแท้งบุตรต่อหน้าต่อตาเธอก็ตั้งอกตั้งใจเรียนทักษะทางการแพทย์อย่างจริงจัง โดยหลักสูตรวิชาฝังเข็มนี้เป็นสิ่งที่เธอมีความเชี่ยวชาญมากที่สุด
การรักษาความเจ็บปวยเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีความแตกต่างจากการพลิกโชคชะตาที่สวรรค์เป็นผู้ลิขิต เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดกรรมดีและเป็นสิ่งที่เธอสามารถทําได้