ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 48 จําได้
ตอนที่ 48 จําได้
หยางซื่อเหมยจ้องมองเข้าไปในร้านด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจอีกครั้งท่ามกลางความลังเลที่มีอยู่ในหัวใจอย่างท่วมท้น
เนื่องจากในชาติที่แล้วหลังหลังจากที่ซงซวนแต่งงานแล้วภรรยาของเขาก็มักจะมานั่งอยู่ด้านข้างเขาเสมอ เพื่อดูการประเมินราคาสินค้าของชายผู้นี้และรับฟังความรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณอย่างจริงจัง
ทําให้ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่า ความรักของคนทั้งคู่ช่างมีความเหมาะสมและน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน
ดังนั้นในชีวิตก่อนหน้านี้หยางชื่อเหมยจึงแอบรู้สึกอิจฉามาก ที่ภรรยาของเขาได้แต่งงานกับสามีที่ดีเช่นนี้
แต่ในตอนนี้เธอยังไม่ได้เห็นภรรยาของเขาเลย โดยสิ่งที่เธอทําขณะนี้คือจ้องมองไปยังโหงวเฮ้งของเขา เพื่อตรวจสอบดูว่าเขายังเป็นโสดอยู่หรือไม่
แล้วสิ่งที่ทําให้เกิดความรู้สึกประหลาดใจคือ เธอค้นพบว่าเขายังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีลูก
ไอ้หยา! เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าโชคชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน?
เธอครุ่นคิดอย่างหนักขณะที่ยืนรอต่อแถวอยู่ในลําดับที่สิบ ซึ่งแน่นอนว่ามีคนอีกประมาณเก้าคนกําลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ
แต่เมื่อซงซวนได้เห็นมืออันบอบบาง และขาวนวลยื่นเครื่องลายครามสีขาวมาตรงหน้าตนเองทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตกใจมาก
เนื่องจากภาพนี้ทําให้เขานึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบเงยหน้าขึ้นดู ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นคือเด็กผู้หญิงที่มีอายุประมาณสิบห้าปีในชุดสีขาวที่มีใบหน้าอันบอบบางและสวยมากพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสและน่าหลงใหลกําลังยืนอยู่ตรงหน้าตนเองอย่างสง่างาม
ทําให้เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนเองกําลังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจนแทบจะหยุดเต้น แต่ในที่สุดมันก็เริ่มเต้นอย่างรุนแรงและค่อนข้างจะผิดจังหวะอีกครั้ง
มันคือเธอ! มันคือเธอจริง ๆ ด้วย!
เป็นเพราะไฟสีแดงสดบนหน้าผากของเธอนั่นเอง เขาจึงสามารถจําเธอได้อย่างแม่นยํา
และแม้ว่าเธอจะดูแตกต่างจากตอนที่ยังเป็นด็กอยู่บ้าง แต่จุดสีแดงที่ปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วกับนัยน์ตาดําขลับที่แสนจะมีไหวพริบนั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถมีได้แน่นอน
ตอนนี้หญิงสาวเห็นได้อย่างชัดเจนว่า บุคลิกที่เคร่งขรึมและมั่นคงของผู้ชายคนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยเขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ขณะที่ดวงตาอันสงบนิ่งคู่นั้นเริ่มสว่างเป็นประกายขึ้นด้วยคลื่นแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่ ราวกับว่าต้องการจะวิ่งเข้ามากอดร่างของหยางซื่อเหมย
“ซือเหมย! มาแล้วเหรอ!” เขามีความตื่นเต้นและใช้น้ําเสียงที่นุ่มนวลราว กับกําลังทักทายเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน
และเมื่อได้ยินคํากล่าวของเขาหยางซือเหมย ก็รู้สึกอบอุ่นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่สั่นไหวไปทั่วทั้งหัวใจของเธอ
เขายังจําเธอได้จริง ๆ และสามารถจดจําเธอได้ด้วยการมองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น!
“ต้องขอโทษด้วยที่ฉันไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณเมื่อสิบปีที่แล้วได้” เด็กสาวกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
“วันนี้ได้พบกันก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว!”เมื่อกล่าวเช่นนั้นจบ ซ่งซวนก็ยกแขนขึ้นโบกไปมาเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้กับคนอื่น ๆ ที่ยังรอการประเมินราคา
“ทุกคน! ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีว่าวันนี้ผมต้องต้อนรับแขกคนสําคัญ ดังนั้นคงต้องขอยุติการประเมินแต่เพียงเท่านี้ และโปรดกลับมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
เมื่อได้ยินคํากล่าวนี้คนที่เข้าแถวรอก็แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง และแม้ว่าพวกเขาอยากจะบ่น แต่ก็ทําได้แค่เพียงแอบตําหนิอยู่ในใจเท่านั้น
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถขัดใจอาจารย์ซ่งซวนได้ เพราะการที่เขาช่วยประเมินราคานี้ไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด
ซึ่งหากเป็นการประเมินราคาที่อื่น ในแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงมากและอีกเหตุผลคือทักษะในการประเมินของคนเหล่านั้นก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับซงซวนได้
ดังนั้นพวกเขาจึงทําได้แค่เพียงรู้สึกไม่พอใจ
“ชื่อเหมยเชิญขึ้นไปนั่งบนชั้นสองก่อน”
ต่อมาซงซวนได้สั่งให้ผู้ช่วยในร้านของเขาจัดของให้เรียบร้อย ขณะที่เขาพาหยางซื่อเหมยขึ้นไปบนชั้นสอง
และเมื่อขึ้นไปก็พบว่า ที่บริเวณชั้นสองได้รับการตกแต่งในสไตล์โบราณ โดยเฟอร์นิเจอร์เป็นไม้แดงที่มีความประณีตคลาสสิก
อีกทั้งยังมีต้นกล้วยไม้สองกระถางและชุดน้ําชาวางอยู่บนโต๊ะน้ําชาที่ทําจากดินเหนียวคุณภาพเยี่ยมของสมัยอี้ชิง
และตอนนี้หยางชื่อเหมย กําลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทําให้พบว่าสิ่งของส่วนใหญ่ในบริเวณรอบ ๆ นั้นล้วนแล้วแต่มีพลังงานทางด้านจิตวิญญาณ แม้กระทั่งกาน้ําชาที่วางอยู่บนโต๊ะก็เป็นวัตถุโบราณล้ําค่าเช่นเดียวกัน
โอ้! คนรวยตัวจริง!
เมื่อเห็นดังนั้นหยางซือเหมย จึงแอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ขณะที่ซ่งซวนรีบร้อนจัดเตรียมที่นั่งและใช้กาน้ําชาดินเผาอี้ชิงมาชงชาด้วยใบชาชั้นดีที่ชื่อว่า ‘ต้าฮงเปา’
โดยวิธีที่เขาเตรียมชานั้นช่างพลิ้วไหวด้วยการแสดงออกที่แสนจะเงียบสงบ และการเคลื่อนไหวที่สง่างามเช่นนี้ก็ทําให้ หยางซื่อเหมยรู้สึกชื่นชมศิลปะของพิธีชงชานี้ได้
“ซือเหมย! โปรดดื่มน้ำชาก่อน”
จากนั้นหยางซื่อเหมยจึงหยิบถ้วยใบเล็กขึ้นมาจึงเห็นสีเหลืองส้มอมแดงปะปนกับสีเขียวของใบชา และ ได้กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ ซึ่งเพียงแค่ดมกลิ่นก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้จิตใจสงบลงได้
และเมื่อเธอจิบเบา ๆ ทันใดนั้นความอ่อนโยนก็แผ่ซ่านจากบริเวณปลายลิ้นทําให้เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองกําลังอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้ ซึ่งกลิ่นหอมตลบอบอวลนั้นยังคงอยู่ในปากของเธอ
เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์ของหญิงสาวตรงหน้าที่กําลังก้มหน้าลงเพื่อจิบน้ําชาในทันใดซ่งซวนก็นึกถึงประโยคที่ว่า
‘ความงามของหญิงสาวเป็นเหมือนดั่งหยกเนื้อดี’