ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 52 โดนดี
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เดินเข้าไปในโรงเรียน เธอก็เห็นว่า มีนักเรียนหลายคนกําลังชี้นิ้วมาที่ตนเองพร้อมกับยกมือขึ้นมาป้องปากเพื่อกระซิบอะไรบางอย่าง ขณะที่ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ทําให้หยางซือเหมยรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกดังนั้นเธอจึงพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“ใช่! คนนี้แหละ เห็นรูปลักษณ์ดูมีความสวยงามบริสุทธิ์ และไร้เดียงสาอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วทั้งหมดนี้มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น”
“อืม! เธอชอบส่งสายตาหลอก ล่อเด็กนักเรียนชายในห้องเรียนจริง ๆ นะ…”
“ได้ยินว่าเธอเพิ่งมาจากชนบท ฉันเดาว่าเธอคงอดกลั้นไม่ได้เมื่อเห็นนักเรียนชายในเมืองของเราและต้องการหลอกล่อให้พวกเขาทําตามที่เธอต้องการ…”
“อุ๊ยตาย…น่าขยะแขยง…”
“ต้องยกให้เธอเป็นที่หนึ่งเลยนะในการแสร้งทําเป็นใสซื่อและไร้เดียงสา”
และเมื่อได้ยินคําหยาบเหล่านี้ ทันใดนั้นสีหน้าของหยางซือเหมยก็เปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้น และมีกลิ่นอายของการฆาตกรรมเกิดขึ้นในแววตาของเธอ
จากนั้นเด็กสาวก็เริ่มเดินสํารวจสภาพแวดล้อม ทําให้พบว่าบริเวณพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมีพลังงานแห่งความร้ายกาจแฝงตัวอยู่
เดิมที่สถานที่ซึ่งมีพลังงานทางจิตวิญญาณของมนุษย์มากมายเช่นในโรงเรียนจะไม่มีรูปแบบฮวงจุ้ยของความร้ายกาจมากนัก แต่เธอก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงมีการก่อตัวที่เลวร้ายอยู่บริเวณนี้
จากนั้นเธอจึงยกนิ้วชี้ขึ้นเล็กน้อยเพื่อดึงความร้ายกาจออกมาและผลักสิ่งชั่วร้ายนั้นไปยังทิศทางของบรรดานักเรียนหญิงที่กําลังซุบซิบนินทาตนเองด้วยถ้อยคํา หยาบคายเหล่านั้นทําให้สิ่งนั้นพุ่งตรงไปโดนเข่าของพวกเธอ
“โอ้ยย….”
ในทันใดนักเรียนหญิงเหล่านั้นก็เริ่มรู้สึกหนาวสั่นที่บริเวณหัวเข่าจนไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงทําให้ล้มลงกับพื้นระเนระนาด ขณะที่ปากของพวกเธอต่างก็กระแทกลงบนพื้น ซึ่งเป็นท่าทางที่น่าอับอายมาก
เดิมที่หยางซือเหมยต้องการใช้ความร้ายกาจนี้ปิดปากคนเหล่านี้เพื่อให้พวกเธอไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป แต่เมื่อได้ทบทวนอีกครั้งก็พบว่า พวกเธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเด็กสาวจึงพยายามอดกลั้นความโกรธแค้นเอา
จากนั้นเธอก็ก้าวเดินต่อไป และเห็นกลุ่มคนจํานวนมากกําลังยืนอยู่หน้ากระดานข่าวของโรงเรียน ขณะที่พวกเขาต่างก็จ้องมองมันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและพูดคุยอะไรบางอย่าง
และในเวลานี้หวงอี้เฟิงก็กําลังหันหน้าออกจากฝูงชนด้วยใบหน้าที่มีดมนพร้อมกับถือกระดาษสองแผ่นในกํามือของเขาด้วยความโกรธจนตัวสั่นและตะโกนเสียงดังว่า
“เรื่องไร้สาระ..ฉันและหยางซือเหมยไม่ได้เป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน..เธอ.เธอแค่ฝังเข็มให้ฉันก็เท่านั้น”
“ฝังเข็มเหรอ? ข้ออ้างของแกมันปัญญาอ่อนเกินไปหรือเปล่า? เฮ้! แกสนุกมากมั้ยที่ได้ทําอะไรแบบนั้นในห้องเรียน” นักเรียนชายคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มันเป็นการฝังเข็มจริง ๆ เธอช่วยรักษากลิ่นตัวให้ฉัน ถ้าแกไม่เชื่อก็ลองดมดูสิ! ฉันไม่มีกลิ่นเต่าแล้ว” หวงอี้เฟิงอธิบายด้วยเสียงดัง
“การมีอะไรกันช่วยรักษากลิ่นตัวได้ด้วยเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า…”
หลังจากผ่านไปสักครู่เสียงเยาะเย้ยยังก็คงถูกเปล่งออกมาจากนักเรียนที่อยู่บริเวณโดยรอบ ทําให้หวงอี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพับแขนเสื้อของเขาขึ้นเพื่อเปิดฉากการทะเลาะวิวาท ซึ่งมันเป็นการสร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นในหมู่นักเรียน
“แกมา..มาเลย!”
และท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ก็มีคนสังเกตเห็นหยางซือเหมยจึงร้องเรียกเธอ ส่งผลให้บรรดาผู้ที่จําเธอได้และคนที่ไม่รู้จักต่างก็ตั้งข้อสังเกตและพิจารณาท่าทางของเด็กสาวจากชนบทผู้นี้ ขณะที่พยายามกล่าวถ้อยคําที่รุนแรงซึ่งทําให้หยางซือเหมยเสียหาย
ทันใดนั้นหวงอี้เฟิงก็คลายหมัดของเขาออกทําให้แผ่นกระดาษเหล่านั้นร่วงหล่นลงบนพื้น และรีบวิ่งเข้าไปหาเด็กสาวอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องเธอเอาไว้ข้างหลังตนเองพร้อมกับกล่าวว่า
“พวกแกมันพูดจามั่วชั่วไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างซือเหมยกับฉัน พวกแกห้ามพูดจาดูถูกเธอเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นโดนฉันเตะปากแน่”
แต่หยางซือเหมยกลับมองดูสถานการณ์ทั้งหมดตรงหน้าอย่างเย็นชา และก้มศีรษะลงไปที่กระดาษสองสามแผ่นที่หวงอี้เฟิงทิ้งเมื่อสักครู่แล้วหยิบรูปถ่ายกับกระดาษขึ้นมา จึงพบว่ามันเป็นรูปถ่ายของเธอและหวงอี้เฟิง
โดยในภาพนั้นเห็นว่า หวงอี้เฟิงกําลังนอนเปลือยอยู่บนโต๊ะเรียนในขณะที่เด็กสาวโน้มตัวเข้าหาเขาเล็กน้อยและนิ้วของเธอก็วางอยู่บนหลังของเขา และเมื่อมองจากมุมมองในภาพถ่ายทําให้เห็นว่า ทั้งสองคนกําลังเอนตัวเข้าใกล้กัน ราวกับว่าเธอกําลังจะกอดเขา
ซึ่งในความเป็นจริง…นั่นคือตอนที่เธอกําลังฝังเข็มให้กับเขา!
จากนั้นเมื่อพลิกกระดาษที่ยับยู่ยี่ดู เธอก็พบว่ามีข้อความสองสามบรรทัดเขียนเรื่องราวบางอย่าง
“หญิงสาวจากบ้านนอกคนหนึ่งแสร้งทําตัวเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่กลับพยายามล่อลวงเพื่อนร่วมโต๊ะของพวกเธอให้ทําพฤติกรรมที่ผิดต่อหลักศีลธรรมในห้องเรียน”
ทันใดนั้นนักเรียนที่ยืนอยู่บริเวณโดยรอบต่างก็รู้สึกว่าอุณหภูมิเริ่มเย็นลงราวกับว่ามีลมหนาวพัดผ่านมา และต่อมาบริเวณหลังของพวกเขามีอาการหนาวสันจนขนลุกขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งพวกเขาพบว่าอาการหนาวสั่นนี้ดูเหมือนจะเกิดจากหญิงสาวที่สวมชุดสีขาวตรงหน้าตนเอง
เนื่องจากพวกเขาเห็นริมฝีปากอันบอบบางของเธอกดแน่นและดวงตาสีดําจมอยู่ใต้ความหนาวเย็นอย่างลึกลับ ขณะที่รูปลักษณ์ที่เธอแสดงให้ทุกคนเห็นนั้น มันดูราวกับว่าเธอสามารถฆ่าคนได้
ดังนั้นทุกคนจึงถอยไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัวพลางกล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า
“หยาง..ซือ..เหมย”
แต่หวงอี้เฟิงกลับตะโกนบอกเธออย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องเสียใจนะ ฉันจะอธิบายความจริงของเรื่องนี้ให้คุณครูฟังเอง และเมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะเข้าใจเธอ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทําให้เธออับอาย”
และเสียงของเขาก็ทําให้หยางซือเหมยสามารถดึงสติกลับคืนมาได้อย่างคาดไม่ถึง โดยในตอนแรกเธอเกือบจะปลุกระดมเจตนาฆ่าของตนเอง
อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์เคยเตือนเธออยู่บ่อยครั้งว่า แม้ผู้ฝึกฝนจะสามารถสังหารผู้อื่นได้อย่างไร้ร่องรอย แต่พวกเขาก็ยังคงต้องยึดมั่นในหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับชีวิต มิฉะนั้นคนที่ทุกข์ทรมานในที่สุดก็จะเป็นตัวของเขาเอง เนื่องจากกรรมชั่วที่ทํามากเกินไป
แน่นอนว่านักเรียนเหล่านี้การพูดพร่ำโดยไม่เข้าใจความจริงหรือการนินทานั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ถึงจุดที่สมควรได้รับโทษถึงตาย และในตอนนั้นเธอเกือบจะหลงเข้าไปในความชั่วร้าย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีที่หวงอี้เฟิงกล่าวเพื่อเรียกสติเธอ
และในตอนนี้นิ้วของเธอขยับเล็กน้อยเพื่อรวบรวมความร้ายกาจที่เคยฝึกฝนไว้ เนื่องจากเธอไม่สามารถปล่อยพวกเขาไปได้โดยปราศจากการลงโทษ
“ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีหัวใจและความรู้สึก ดังนั้นการทําร้ายผู้อื่นด้วยการใส่ร้ายจะทําให้วิญญาณชั่วร้ายดึงลิ้นของพวกเธอออกมาในตอนที่อ้าปากและมันจะค่อย ๆ บิด…”
เธอกล่าวถ้อยคําเหล่านี้ราวกับว่ากําลังสาปแช่งพวกเขาและแม้เสียงของเธอจะไม่ดังมากนัก แต่มันก็สามารถส่งไปยังหูของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นเธอก็หันกลับและวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ราวกับว่าชุดขาวที่เธอสวมใส่อยู่นั้นสามารถล่องลอยออกไปเองได้