ตอนที่ 8 จำได้หรือไม่?
“ฮ่าฮ่า ..มันไม่ใช่เรื่องของชีวิตที่นิรันดร์และความเยาว์วัย แต่อย่างน้อยการฝึกฝนวิชาของลัทธิเต๋าก็สามารถเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง และสามารถยืดอายุให้ยืนยาวขึ้นได้”
นักบวชหยูชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม โดยเด็กน้อยเอ่ยถามว่า
“หนูต้องการเรียนสิ่งนี้ด้วยค่ะ”
“ตามธรรมชาติ อาจารย์จะสอนศิลปะทั้งห้าของจิตวิญญาณ การแพทย์จักรวาลวิทยาและทักษะการทำนายดวงชะตา เเต่เจ้าจะเพาะปลูกได้หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับความสามารถและวาสนาของเจ้าเอง”
“อาจารย์คะ จิตวิญญาณคืออะไร”หยางซือเหมยเอ่ยถามอย่างงงงวยมาก
นักบวชหยูชิงอธิบายให้เด็กน้อยฟังอย่างระมัดระวังว่า
“สิ่งที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” คือการเรียนรู้ประเภทหนึ่งโดยประกอบด้วยเรื่องของอาหารการสร้างรากฐานปรัชญาที่ลึกซึ้ง ศิลปะการต่อสู้ เครื่องรางของขลัง และการสร้างฌาณเพื่อฝึกฝนร่างกายและจิตใจ
“อาหาร หมายถึง วิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยโดยใช้ยาบำรุง ไวน์ และอาหารประจำวันเพื่อเสริมสร้างร่างกาย
การสร้างฌาน หมายถึง วิธีการทำสมาธิประเภทหนึ่งในการควบคุมแก่นแท้ของจิตวิญญาณ เพื่อส่งเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
ปรัชญาที่ลึกซึ้ง หมายถึง แนวทางประเภทหนึ่งที่ยึดตามอุดมการณ์ของบูรพาจารย์ในอดีต เพื่อปลูกฝังจิตใจและรักษาลักษณะนิสัยของตนเอง
ศิลปะการต่อสู้ หมายถึง ประเภทของการฝึกฝนวิธีการในศาสตร์การต่อสู้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มร่างกายของตนเอง
ส่วนเรื่องเครื่องรางของขลัง หมายถึง ประเภทของพลังจิตที่ได้รับการฝึกฝนวิชาศิลปะเหนือธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพื่อหลีกเลี่ยง ปราบปรามและยุติความชั่วร้าย อีกทั้งยังมีเทคนิคในการแสวงหาโชคลาภและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติด้วย
สรุปได้ว่า “จิตวิญญาณ” ใช้การผสมผสานระหว่างการทำสมาธิ การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้การควบคุมอาหารและสิ่งอื่น ๆ ที่คล้ายกันเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่สมบูรณ์“
หลังจากรับฟังคำอธิบายของอาจารย์แล้ว หยางซือเหมยก็รู้สึกตื่นเต้นมาก โดยเธอพบว่านักบวชชราผู้นี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาที่ไร้ความสามารถอย่างที่เธอคิด แต่เขาคือผู้ที่มีความรู้อย่างแท้จริง
“ตอนนี้เจ้ามีอายุเพียงแค่ห้าขวบเท่านั้น ซึ่งเป็นวัยที่เหมาะที่จะเริ่มฝึกฝนทักษะของเรา ตอนนี้ระหว่างที่เราเดินขึ้นไปบนภูเขา อาจารย์จะบอกเจ้าเกี่ยวกับคำศัพท์ที่มีอยู่ในคัมภีร์ทักษะต่าง ๆ และเจ้าจะต้องจดจำมันให้ขึ้นใจ”
“ขอบคุณอาจารย์…”
จากนั้นนักบวชหยูชิงก็เริ่มท่องศัพท์ให้เด็กน้อยฟัง โดยหยางซือเหม่ยสามารถจดจำมันได้อย่างรวดเร็วแล้วกล่าวซ้ำกลับออกไป
ขณะที่หยูชิงไม่คิดว่าความจำของเธอจะดีขนาดนี้ เขาจึงท่องศัพท์มากขึ้น และปรากฎว่าทุกครั้งที่เขากล่าวจบลง เธอจะสามารถกล่าวทวนคำศัพท์เหล่านั้นได้อย่างชัดเจนโดยไม่ผิดพลาดแม้แต่คำเดียว
“เคยมีใครสอนบทสวดนี้ให้เจ้ามาก่อนหรือเปล่า?”
หยางซือเหมยส่ายหัวปฏิเสธ
“หนูได้ยินเรื่องนี้จากอาจารย์เป็นครั้งแรก”
“ฟังเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้เเล้วหรือ?”
หยางซือเหมยพยักหน้าและเอ่ยถามต่อว่า
“อาจารย์คะ ตำราแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ท่านให้หนูเอากลับไปเมื่อวาน ตอนนี้หนูอ่านและสามารถจดจำมันได้ทั้งหมดแล้วนะคะ”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่นักบวชหยูชิงได้เห็นเธอ เขารู้สึกว่าเธอมีความแตกต่างไปจากเด็กทั่วไปมาก แต่ไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้จะเป็นอัจฉริยะ เพราะข้อความในตำราแห่งการเปลี่ยนแปลงมีความซับซ้อนมาก ที่แม้แต่นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการศึกษามัน แล้วเด็กอายุห้าขวบคนนี้สามารถจดจำมันได้ภายในวันเดียวได้อย่างไร?
“อ่านออกทุกคำเลยหรือ?”
“…เอ่อ…พ่อของหนูสอนค่ะ”
หยางซือเหมยไม่รู้จริงๆว่าเธอจะอธิบายความสามารถในการจดจำที่ไม่ธรรมดาของตนเองอย่างไร เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ เธอจึงสามารถจดจำคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่สามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ว่า ตนเองคือคนที่กลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นเธอจึงต้องโกหกอาจารย์
***
และจากดวงตาที่มีพิรุธของเด็กน้อย หยูชิงจึงสามารถเดาได้ว่าสิ่งที่เธอกล่าวออกมานั้นเป็นเรื่องโกหก
โดยที่เขาทราบดีว่า ต้นกำเนิดของเธอจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เนื่องจากความสามารถของนักบวชชรา เขาจะไม่สามารถคำนวณโชคชะตาของเธอได้อย่างไร
อีกทั้งความสามารถในการอ่านและจดจำตำราแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลาหนึ่งวัน ดังนั้นเธอต้องมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากในหมู่คนทั่วไปของยุคนี้
จากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวมากไปกว่านี้ โดยยังคงท่องคำศัพท์เกี่ยวกับทักษะให้เธอฟังเพื่อทดสอบว่า เด็กน้อยผู้นี้จะมีความทรงจำที่น่าเกรงขามจริงหรือไม่ และหลังจากเขาท่องไปแล้วสิบนาทีโดยไม่หยุดพักจนจบทั้งบทของทักษะ พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าวิหารบนภูเขา
“เจ้าตัวน้อย สิ่งที่อาจารย์ท่องให้เจ้าฟังไปเมื่อสักครู่ เจ้าจำได้หรือไม่?”
_________