ลั่วลั่วร่างกายมีพรสวรรค์สายเลือดของวงศ์ตระกูลจักรพรรดิขาว พลังปราณแท้เต็มเปี่ยม อยู่ในสำนักฝึกหลวงเพียงแค่ไม่กี่เดือน ฝึกบำเพ็ญเพียรตามการชี้แนะของเขา ก็สามารถอยู่ในขั้นถอดจิตได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากมาวิเคราะห์ตามการฝึกบำเพ็ญเพียรของเผ่าปีศาจที่ฝึกบำเพ็ญเพียรตามเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นนางก็ต้องเผชิญกับด่านที่อันตรายสูงสุด
คิดมาถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงก่อเกิดความรู้สึกผิดและหวาดกลัวในภายหลัง ถ้าหากเมื่อลั่วลั่วต้องข้ามด่านแล้วเกิดเหตุอะไร เขาคงไม่อาจจะให้อภัยตนเอง ขณะนี้เขาเข้าใจการข้ามผ่านขั้นทะลวงอเวจีหมดสิ้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขามียา
แล้วเขาจะนิ่งดูดายได้อย่างไร ยืดตัวลุกขึ้นวิ่งตรงไปห้องไม้เล็กๆ ที่อยู่ข้างประตูใหญ่ เอ่ยถามจินอวี้ลวี่ “องค์หญิงลั่วลั่ว…เมื่อไหร่ถึงจะสามารถออกมาจากพระราชวังหลีได้สักคราหนึ่ง”
จินอวี้ลวี่กำลังดื่มสุรา หรี่ดวงตา หยิบถั่วลิสงสองเม็ดโยนเข้าปาก ฟังประโยคนี้ รู้สึกไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “ทำไมรึ”
เฉินฉางเซิงเห็นท่าทางของเขา คิดว่าความคิดของตนง่ายเกินไป คิดใคร่ครวญจึงเอ่ยว่า “ข้ามีบางเรื่องต้องคุยกับนาง อยากเจอนางเสียหน่อย…หากที่จริงแล้วไม่สะดวก รบกวนท่านเสนาธิการจินช่วยส่งจดหมายให้นางได้หรือไม่”
จินอวี้ลวี่โยนถั่วเข้าไปในปาก ด้านหนึ่งเคี้ยวไว้อีกด้านหนึ่งอมไว้กล่าวว่า “เรื่องแค่นี้หรือ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดอะไรที่เรียกว่าเรื่องแค่นี้
“เจ้าอยากพบก็ไปพบ เหตุใดจะต้องให้ข้าส่งจดหมายให้ด้วยเล่า”
จินอวี้ลวี่ยกแก้วเหล้าขึ้น เสียงดื่มสุราดังขึ้น สุราแรงจนพูดไม่ออก
เฉินฉางเซิงยิ่งไม่เข้าใจ เบิกตาโตพลางเอ่ยถาม “พบ…ได้รึ”
“องค์หญิงพำนักอยู่พระราชวังหลีไม่สะดวกออกมา นั่นเป็นเพราะความปลอดภัย เจ้าเป็นอาจารย์ขององค์หญิง คงจะไม่ทำร้ายนาง อยากจะพบก็ไปพบที่พระราชวังหลี ผู้ใดจะกล้าขวางเจ้าเล่า”
“ท่านเสนาธิการจิน……ท่านเหตุใดถึงไม่บอกข้าเล่า”
“ข้าเห็นเจ้าแต่ไหนแต่ไรไม่ออกจากสำนักฝึกหลวง คิดว่าเจ้ามุ่งมั่นในการฝึกบำเพ็ญเพียร”
“ท่านเสนาธิการ…”
“ทำไมรึ”
“ข้าขอบคุณท่านแล้ว…”
“เหตุใดข้าไม่ได้ยินถึงความขอบคุณที่ออกมาเล่า”
ในเวลาค่ำคืนไม่สามารถเข้าไปในพระราชวังหลีได้ เช้าตรู่ในวันต่อมา ยังไม่ถึงห้ายาม เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงตื่นนอนทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา หลังจากนั้นจึงไปปลุกถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อจนตื่น แล้วตรงดิ่งไปห้องเวรยามนำกลิ่นปลุกเทพเข้าใกล้จมูกจินอวี้ลวี่ ปลุกเขาให้ตื่นจากอาการเมามาย
ล้อเหล็กบดขยี้ไปตามแผ่นหินของตรอกไป่ฮวา ก่อให้เกิดเสียงดังครึกๆ ไปตามทาง รถม้าบรรทุกมนุษย์สองปีศาจสองมุ่งไปยังพระราชวังหลี
พระราชวังหลีเป็นที่อยู่ของใต้เท้าสังฆราช และเป็นศูนย์กลางของนิกายหลวง แต่ไหนแต่ไรมาจึงเรียกเช่นเดียวกับพระราชวังต้าโจว มีที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองจิงตู เป็นกลุ่มตำหนักที่มีขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านสูงเด่นอย่างยิ่ง ระยะห่างกันสิบกว่าลี้ ยังมีสะพานอุดรใหม่ที่อยู่ใกล้ซึ่งสามารถมองเห็นได้
ปีกวงหมิง 1573 ก่อตั้งนิกายหลวง จนกระทั่งทุกวันนี้เป็นระยะเวลาแปดร้อยปี อย่างไรก็ตามเมื่อคัมภีร์สวรรค์ลงมาสู่โลกใบนี้ ลัทธิกวงหมิงก็แพร่หลายในต้าลู่ ยังคงแฝงอยู่เป็นหมื่นปีเชียวหรือ พระราชวังหลีเป็นดังสัญลักษณ์ของนิกายหลวง เป็นธรรมดาว่าไม่ธรรมดา
กลุ่มตำหนักแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ราวกับว่าไกลสุดลูกหูลูกตา ความกว้างของทางเดินสามารถบรรจุรถม้าเรียงกันแปดคันได้ ในระหว่างนั้นหนทางยังเชื่อมต่อกัน ใต้เท้าสังฆราชพักอยู่ในพระราชวังหลีจริงๆ อยู่ด้านในสุดของกลุ่มตำหนักเหล่านี้ ด้านหน้ามีลานกว้างหินอ่อนสีขาวอยู่บริเวณรอบๆ มีกลุ่มตำหนักและสิ่งก่อสร้างอลังการกระจายอยู่ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่อยู่ภายใต้นิกายหลวง
แน่นอนว่าสำนักจวนราชวังหลีก็อยู่ในกลุ่มตำหนักในนี้เป็นแน่ ไม่เหมือนกับที่คนธรรมดาคาดคิดไว้ เป็นเหมือนกับกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและหอจงซื่อในสำนักไม้เลื้อยทั้งหก ก็อยู่ในกลุ่มตำหนักแห่งนี้ด้วย เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่ง ที่นี่บางทีถูกคนเรียกว่าเมืองสำนักฝึก คงเป็นเพราะเหตุผลนี้
ไม้เลื้อยของพระราชวังหลี
ทิวทัศน์อันลือชื่อของจิงตู ส่วนหนึ่งก็ชี้ไปกำแพงของสำนักที่เชื่อมติดต่อกันมีไม้เลื้อยรอบล้อมราวกับสุดลูกหูลูกตา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกเขียวชอุ่มที่ด้านหลังของกลุ่มตำหนักซึ่งใกล้กับใต้เท้าสังฆราชที่สุด
เฉินฉางเซิงกับพวกเขารวมกันสี่คนออกมาจากสำนักฝึกหลวง ท้องฟ้ายังมิทันสว่าง เมื่อมาถึงด้านหน้าพระราชวังหลี พอดีว่าเป็นเวลาห้ายามครึ่ง ประจวบเหมาะกับเป็นเวลาไขกุญแจ จินอวี้ลวี่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คิดคำนวณเวลาได้แม่นยำอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วส่ายหัวออกมา
ด้านนอกของพระราชวังหลีล้อมรอบไปด้วยเสาหินนับไม่ถ้วน เสาหินเหล่านั้นสูงประมาณสิบกว่าจั้ง อย่างน้อยก็ต้องการคนหลายคนถึงจะโอบล้อมได้ ระหว่างหินทุกต้นเว้นไว้ด้วยระยะห่างร้อยจั้ง หากมองจากระยะไกล มิได้รู้สึกว่าพิเศษแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เสาหินเรียงกันเป็นแถว พลันก่อเกิดความรู้สึกโอ่อ่ายิ่งใหญ่
เดินมาถึงด้านหน้าของเสาหิน เซวียนหยวนผ้อถึงพบว่าแท้จริงบนเสาหินไม่มีรอยแตกแม้แต่น้อย ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงว่าเสาหินเหล่านี้ใช้ก้อนหินทั้งก้อนเจาะและขัดถูจนเป็นเช่นนี้ และไม่รู้ว่าเมื่อปีนั้นที่ได้สร้างพระราชวังหลี ผู้คนไปเสาะหาก้อนหินทั้งก้อนมากมายและสมบูรณ์เช่นนี้ได้อย่างไร อีกทั้งเคลื่อนย้ายมาถึงจิงตูได้อย่างไร
สายลมยามเช้าพัดผ่านเข้ามา แสงยามเช้าตรู่กระทบอยู่ในนั้น ระหว่างเสาหินไม่มีสรรพสิ่งใดๆ ด้านบนของเสาหินก็คือท้องฟ้า ทุกหนทุกแห่งต่างเป็นสิ่งว่างเปล่า คล้ายกับว่าอะไรก็ขัดขวางไม่ได้ มีวิหคโบยบินตามเวลาเช้าตรู่ ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นเป็นพิเศษ
ทว่าเสาหินเหล่านี้ก็คือประตูใหญ่ของพระราชวังหลี
ถ้าหากมีคนไม่ยินยอมให้เข้าไป หรืออาจจะหลังจากใส่กลอนแล้วมีคนแอบย่องเข้าไป ก็คงจะถูกกักคุมตัว ส่วนแท้จริงแล้วคุมตัวอย่างไร ก็คงไร้คนล่วงรู้ เพราะว่าเป็นเวลาหลายปีแล้ว การกักคุมตัวนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น เดิมทีไม่มีผู้ใดกล้าถลันเข้าไปในพระราชวังหลี ความจริงของการกักคุมตัวจึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน
เสาหินแห่งนี้ไม่อาจขัดขวางเฉินฉางเซิงและพวกได้ เขายื่นหนังสือส่งไป ตรวจสอบผ่านไปอย่างง่ายดาย เพียงแค่คนเหล่านั้นนัยน์ตาของพวกเขาแปลกประหลาด เพราะว่าในหนังสือเขียนได้ชัดเจนอย่างยิ่ง พวกเขามาจากสำนักฝึกหลวง
สำนักฝึกหลวง เพียงมองแค่ชื่อก็รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องที่ช่างใกล้ชิดกับนิกายหลวงเหลือเกิน แต่นั่นเป็นเรื่องเก่าสิบกว่าปีมาแล้ว เมื่อเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมกับเชื้อพระราชวงศ์เฉิน หลังจากถูกใต้เท้าสังฆราชบดขยี้ ความสัมพันธ์ชนิดนี้ก็ถูกตัดขาดไปนานแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกจากสิบกว่าปีผ่านมา สำนักฝึกหลวงปรากฏอยู่ด้านหน้าพระราชวังหลี
หนุ่มน้อยทั้งสามของสำนักฝึกหลวงตอนนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงของจิงตู ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจินอวี้ลวี่ที่เป็นเวรยาม
แสงตอนเช้าตรู่ทาบทับลงบนเสาหิน สามารถเห็นรูปภาพที่อยู่บนนั้นเลือนราง
เฉินฉางเซิงก็เคยสมัครสอบที่หอจงซื่อ ทว่าไปรับสมัครนักเรียนใหม่ที่สำนักย่อยวั่งเจียง เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่
เขาชักสายตากลับยังที่แห่งนั้น เดินบนทางเดินที่กว้างขวางตามจินอวี้ลวี่ มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า ทางเดินด้านตะวันออกทั้งสองฟากล้วนแต่ปลูกต้นไม้นับไม่ถ้วน ถึงแม้จะรู้สึกถึงความเหน็บหนาวของฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ค่อยๆ ร่วงลงมา สาเหตุเป็นเพราะต้นไม้อยู่กันแน่นขนัด ยังคงมองเห็นได้รูปภาพของป่าได้ยากยิ่ง
เวลาห้ายามครึ่ง เป็นเวลาไขกุญแจของพระราชวังหลี และเป็นเวลาที่นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลี หอจงซื่อ กระทรวงสิบสามชิงเหย้าฝึกซ้อมตอนเช้า
ด้านในกำแพงไกลออกไปมีเสียงอ่านตำราดังออกมาเซ็งแซ่ ต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองของทางเดิน มีพลังกระบี่ออกมา ทำให้นกตกใจโบยบินจำนวนไม่ถ้วน อีกทั้งมีลมปราณที่ร้อนหนาวแตกต่างกันทุกชนิด หมุนไปมาระหว่างป่า
ถังซานสือลิ่วจ้องมองแสงกระบี่เหล่านี้ รู้ว่าเป็นพลังปราณของสิ่งเหล่านั้น คิ้วทั้งสองขมวดขึ้น ก่อเกิดความสนใจ บรรดานักเรียนที่ฝึกบำเพ็ญยามเช้าในป่ามีจำนวนมากที่ไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าเขาจะใช้พลังปราณของตนแยกแยะได้ว่าพลังปราณอันใดแข็งแกร่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นของสำนักแห่งไหน
เฉินฉางเซิงรักและทะนุถนอมเวลา รักในการศึกษาหาความรู้ เป็นธรรมดาที่จะสนใจต่อภาพเหล่านี้ จนถึงขนาดที่ว่าค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องลั่วลั่วก็ไม่เพียงพอให้เขามองต่อไป จึงเร่งฝีเท้าให้รวดเร็วยิ่งขึ้น มุ่งไปยังตำหนักที่โอ่อ่ายิ่งใหญ่สุดปลายทางของทางเดินแห่งนั้น
ทันใดนั้น เขาพลันหยุดย่างก้าว
จินอวี้ลวี่และคนหนุ่มทั้งสองก็หยุดก้าวเดินตามด้วย
เพราะว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น
ป่าไม้ที่อยู่ด้านข้างของทางเดินแห่งนี้ ขนานกับตำแหน่งของพวกเขา ก่อนหน้านี้มีเสียงของพลังกระบี่เล็ดลอดออกมาจากอากาศตลอด เสียงเหล่านั้นอยู่ๆ ก็หายไป แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดเป็นพิเศษ
เฉินฉางเซิงจ้องมองที่ทางเดินด้านข้าง จึงเริ่มมุ่งไปยังด้านหน้าอีกครั้ง จินอวี้ลวี่และคนที่เหลือก็เดินตามเขาไป
ตามย่างก้าวของพวกเขา เสียงกระบี่และเสียงแผดร้องของนกในป่าสองข้างทาง ค่อยๆ หยุดลง เมื่อพวกเขาเดินถึงแห่งไหน ความเงียบเชียบก็มาถึงยังที่แห่งนั้น
ราวกับว่ามีสายลมพัดผ่านทะลุมาจากป่า นำข่าวสารบางอย่างมาบอก และก็เหมือนกับว่ามีบรรยากาศที่แปลกประหลาดกำลังลุกลามเกิดขึ้น
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงครึ่งทางของทางเดิน ระยะห่างด้านหน้าของตำหนักทรงกลมยังคงมีอีกช่วงทางเดินหนึ่ง ป่าข้างทางเดินทั้งสองฝั่งได้เงียบเชียบลงแล้ว หลังจากนั้นมีเสียงสวบๆ ดังขึ้น นั่นมิใช่เสียงตัวไหมที่กำลังแทะใบหม่อน ทว่าเป็นเสียงเท้าที่เหยียบย่ำลงกับใบไม้ที่ทับถมกันอยู่หนาแน่น
นักเรียนหนุ่มสาวจำนวนหลายร้อยคนเดินออกมาจากป่า ยืนอยู่ด้านข้างทางเดินทั้งสองข้าง จ้องมองเฉินฉางเซิงและพวก
คนพวกนี้เป็นนักเรียนของหอจงซื่อ กระทรวงสิบสามชิงเหย้า และสำนักจวนราชวังหลี
ราวกับทางเดินที่มีกำแพงขนาบทั้งสองข้าง แน่นอนว่ามิใช่มาต้อนรับ แต่มาดู
ความรู้สึกที่พวกเขาจ้องมองเฉินฉางเซิงและพวกสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง มีแปลกประหลาด ระแวดระวัง เหยียดหยาม เกลียดชัง หลากหลายไม่เหมือนกัน
ในการชุมนุมไม้เลื้อย คาดไม่ถึงว่าสำนักฝึกหลวงจะเอาชนะพรรคกระบี่เขาหลีซานได้ เป็นเพราะว่าหนังสือสมรสของสวีโหย่วหรงฉบับนั้น เฉินฉางเซิงกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง บรรดานักเรียนของสำนักต่างๆ ที่เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยรู้สึกตกตะลึงกับเขาเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแค่สำนักฝึกหลวงไร้หนทางจะเข้าไป เฉินฉางเซิงและพวกเดิมทีไม่เคยออกจากสำนัก ด้วยเหตุนี้ยากที่จะได้เห็น วันนี้ได้ยินว่าคนของสำนักฝึกหลวงมาถึงพระราชวังหลี ในนั้นก็มีเฉินฉางเซิง นี่เป็นโอกาสอันยากยิ่ง แล้วพวกเขาจะพลาดได้อย่างไรเล่า
พวกเขาอยากจะเห็นว่าเฉินฉางเซิงมีรูปร่างเป็นอย่างไร ที่จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นไร คิดไม่ถึงว่าจะสมรสกับสวีโหย่วหรง!
และก็มีสายตาจำนวนมากที่มองมายังถังซานสือลิ่ว เพียงแต่ว่าความรู้สึกสลับซับซ้อนไม่เหมือนกับจ้องมองเฉินฉางเซิง สายตาเหล่านั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนมากมาจากนักเรียนสตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า
หนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น เป็นลูกหลานของตระกูลดัง รูปร่างหน้าตางดงาม ท่าทางองอ่าผ่าเผย ไม่ว่าจะมองจากทางด้านไหน ถังซานสือลิ่วก็ผ่านมาตรฐานที่เป็นความใฝ่ฝันของสตรี ถ้าหากคิดไปถึงตระกูลถังที่ทำให้ราชสำนักอิจฉาในความร่ำรวยแล้ว ในจิตใจของบรรดาสตรีตำแหน่งของเขาถึงขนาดที่ว่าสูงกว่าโกว่หานสือด้วยซ้ำไป
ท่าทางของถังซานสือลิ่วเยือกเย็นเล็กน้อย สายตามองตรงไปยังด้านหน้าไม่สนใจสิ่งใด ท่าทางสง่างามถือดี ลักษณะท่าทางเช่นนี้ กลับยังก่อให้เกิดเสียงดังแหลมเล็ก เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อรู้สึกเหนือความคาดหมาย วันปกติเห็นแต่คนผู้นี้เคยชินกับลักษณะที่เกียจคร้านเฉื่อยชา จนลืมว่าเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงนานแล้ว
บรรดาหนุ่มสาวดวงตาเต็มไปด้วยความรัก ทำให้ความเป็นศัตรูที่ประเดี๋ยวมีประเดี๋ยวไม่มีของคนหลายร้อยคนที่อยู่ด้านข้างทางเดินเจือจางลง เฉินฉางเซิงสงบนิ่ง มิได้ไปใส่ใจสายตาไม่ดีที่จ้องมองตน เงียบนิ่งเดินหน้าต่อ แรงกดดันที่มองไม่เห็นเหล่านั้น เพียงแค่เขารับรู้ด้วยตนเองอย่างเด่นชัด
แรกเริ่มผ่านป่าไม้ก็คือประตูหน้าของหอจงซื่อ บรรดานักเรียนหนุ่มสาวของที่นี่ สายตาที่กำลังจ้องมองเฉินฉางเซิงและพวกเยือกเย็นจนถึงที่สุด
การมีมนุษยสัมพันธ์ของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ไม่ค่อยจะดีนัก ทว่าที่จริงแล้วเขาเป็นนักเรียนของหอจงซื่อ บรรดาอาจารย์และนักเรียนของหอจงซื่อคาดหวังว่าการสอบใหญ่ปีหน้าเขาจะทำให้ผู้คนตกตะลึง ผลสุดท้ายขณะนี้ถูกลั่วลั่วทำให้เป็นคนพิการ หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยในหัวข้อการวิพากษ์วิจารณ์ของเมืองจิงตู หอจงซื่อถูกพูดถึงในด้านที่ไม่ดีมาตลอด เช่นเดียวกับหอกระบี่เขาหลีซาน เป็นสถานที่ที่พ่ายแพ้ที่สุดทั้งสองแห่ง
บรรดาอาจารย์นักเรียนของหอจงซื่อมิกล้าทำอันใดต่อลั่วลั่ว เป็นธรรมดาว่าความโกรธแค้นจะร่วงหล่นยังสำนักฝึกหลวง หากจะกล่าวให้ถูกต้อง ร่วงหล่นมายังร่างกายของเฉินฉางเซิงและพวก
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจสายตาเหล่านี้ จากประตูหน้าของหอจงซื่อเดินตรงผ่านไป
ตอนนี้เอง กลุ่มผู้คนที่อยู่ด้านข้างทางเดินอยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่เจ้าเด็กที่ชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ”