ใต้เท้ามุขนายกมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก ภายใต้การประคองของอาจารย์ซินจึงจากไปเชื่องช้า ในแสงสายัณห์ ผู้ชราที่ร่างกายโก้งโค้งมองแล้วรู้สึกเยือกเย็น เป็นภาพไม่เหมือนดังเช่นนักเรียนทั้งสามที่กำลังวิ่งในแสงสายัณห์ ผู้ชราเป็นพระอาทิตย์กำลังตกดินจริงๆ ผู้ใดก็ไม่อาจล่วงรู้หลังจากลงจากเทือกเขาจะสามารถปีนป่ายขึ้นมาได้หรือไม่
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน อาจารย์กับนักเรียนอยู่ในนั้นถึงจะกล้ายืดตัวลุกขึ้นมา จ้องมองภาพด้านหลังในแสงสายัณห์ของใต้เท้ามุขนายก ความรู้สึกบนใบหน้าของผู้คนสลับซับซ้อน ทว่ากลับไม่มีผู้คนกล้าจะที่แสดงความไม่เคารพออกมาแม้แต่น้อย
หลังจากปลายฤดูใบไม้ผลิ รอยย่นบนใบหน้าของใต้เท้ามุขนายกเพิ่มมากขึ้น ร่องรอยของความชราก็มากยิ่งขึ้น ความแก่ชราที่เพิ่มขึ้นฮวบฮาบ เวลาวัยกลางคนของเผ่ามนุษย์ยังคงรักษาไว้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีฝีมือสูงส่งที่ฝึกบำเพ็ญเพียรเหล่านั้น อย่างน้อยก็เป็นเวลาหลายร้อยปี เขาราวกับว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน นำวันเวลาที่ยาวนานหลายร้อยปีใช้ชีวิตไปเสียแล้ว
เพราะเหตุใดใต้เท้ามุขนายกในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงแก่ชราลงไปมากเล่า เป็นธรรมดาว่าเป็นเพราะเรื่องที่เขากังวลใจมีมากมาย อีกทั้งจากการมองของบางคน นี่เป็นการเตือนนิกายหลวงรวมทั้งผู้คนจำนวนมากในดินแดนต้าลู่ เขาเป็นคนชรารุ่นเดียวกับใต้เท้าสังฆราช เป็นปรมาจารย์เพียงคนเดียวในใต้หล้าที่มีคุณสมบัติและความสามารถทัดทานใต้เท้าสังฆราช
ในการจินตนาการของผู้คนที่ผ่านมา ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาเป็นคนใกล้ชิดของใต้เท้าสังฆราช เขาเป็นหัวหน้าของสำนักการศึกษากลาง ถึงแม้ตำแหน่งจะสูง แต่ก็เป็นหนึ่งในหกสังฆราชศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวง จนกระทั่งมีคนธรรมดาจำนวนมากเดิมทีไม่รู้การมีอยู่ของเขา ถึงอย่างนั้นตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงแล้ว
สำนักฝึกหลวงได้ปรากฏต่อจิงตูอีกครั้ง ผู้อาวุโสบางคนและบางนิกายในนิกายหลวง เริ่มส่งเสียงแตกต่างกับใต้เท้าสังฆราช สำนักการศึกษากลางก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน กลุ่มฝูงชนถูกม้าพุ่งใส่กระจัดกระจายแตกฮือหนีไป มีโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เบื้องหลังของเรื่องนี้ ล้วนแต่มีเงาของใต้เท้ามุขนายกหลังค่อมท่านนี้
จนกระทั่งเวลานี้ ผู้คนเพิ่งจะพบว่า ข้างในของนิกายหลวงคาดไม่ถึงมีคนจำนวนมากสนับสนุนเขา ตอนนี้เขาสามารถใช้ทรัพยากรและกำลัง คล้ายกับว่าใกล้จะคุกคามไปถึงใต้เท้าสังฆราชได้!
วันนี้คาดไม่ถึงว่าเขาจะปรากฏตัวที่พระราชวังหลี นักบวชฮั่วกับนักบวชของพระราชวังหลีที่เหลือตกตะลึงไร้วาจาเอื้อนเอ่ย ใช่แล้ว ใต้เท้ามุขนายกเป็นคนที่ผลักดันสำนักฝึกหลวงให้เจริญฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เขาเป็นคนสนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดของเฉินฉางเซิง เขาเห็นว่าสำนักฝึกหลวงกำลังจะไปในทิศทางที่ดี เห็นว่าเฉินฉางเซิงสามารถเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ได้ พร้อมทั้งเป็นผู้ประกาศให้ทั่วโลกได้ล่วงรู้แทนเขา ธรรมดาว่าจะเขาจะต้องมีเหตุผล เพียงแค่ความคึกคักในการชุมนุมไม้เลื้อย กับหนังสือสมรสของสวีโหย่วหรง สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอให้เฉินฉางเซิงดึงดูดสายตาอีกหรือ ประกาศว่าเขาจะต้องเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ ใต้เท้ามุขนายกนำความกดดันมาวางบนร่างกายของเฉินฉางเซิงเช่นนี้ แท้ที่จริงเป็นเพราะเหตุใดเล่า
“ความกดดันก็คือแรงผลักดัน”
แสงสายัณห์ด้านนอกพระราชวังหลี มีรถม้าจอดสนิทหนึ่งคัน ในตู้รถม้าใต้เท้ามุขนายกจ้องมองอาจารย์ซินที่นั่งอยู่ตรงข้าม กล่าวด้วยเสียงเนิบนาบ “ประกาศชิงอวิ๋นเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย การสอบใหญ่ถึงจะเป็นอาหารจานหลัก ก้อนเมฆที่มารวมกันจากทั่วสารทิศ การจับจ้องของมวลชน มีเพียงการทำเช่นนี้ ถึงจะช่วยให้เขาสุกงอมได้เร็วที่สุด”
อาจารย์ซินไตร่ตรองชั่วครู่ พลางเอ่ยว่า “หากเพียงกังวลว่าความกดดันมากเกินไป เฉินฉางเซิงจะรับมิได้”
ใต้เท้ามุขนายกมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก และก็ไม่ได้บอกผู้ใต้บัญชาที่จิตใจจงรักภักดีผู้นี้ ว่ามิได้เหมือนดังที่สังคมภายนอกได้คาดการณ์ไว้ เฉินฉางเซิงรวมถึงสำนักฝึกหลวงเดิมทีมิได้เป็นเครื่องมือให้เขากับผู้อาวุโสในนิกายหลวงเพื่อต่อต้านใต้เท้าสังฆราช ในทางกลับกัน สำหรับเรื่องของเฉินฉางเซิงทั้งหมดทั้งมวล ล้วนแต่เป็นเขากับใต้เท้าสังฆราชตัดสินใจร่วมกัน
เพราะเหตุนี้ ถึงจะต้องให้เขาเติบโตโดยเร็วที่สุด เพราะเหตุนี้ ถึงให้ทั่วทั้งต้าลู่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา ให้คนบางคนไร้หนทางที่จะเคลื่อนสายตาไปจากเขา ส่วนความกดดันให้เฉินฉางเซิงไปเพราะเหตุใด เขากับใต้เท้าสังฆราชต่างก็มิได้เป็นกังวล เพราะพวกเขาชัดเจนยิ่งนัก หลายปีมานี้หนุ่มน้อยผู้นั้นดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้กับความกดดันที่น่ากลัวที่สุดหรืออาจจะกล่าวได้ว่าอยู่ในเงามืดมิด
……
……
แผ่นหินที่อยู่ด้านหน้าประตูสำนักเทียนเต้าเต็มไปด้วยผู้คนมุงล้อม นักบวชผู้ควบคุมของสำนักเด็ดดารากำลังถือมีดแกะสลัก กำลังแกะสลักอย่างตั้งใจบนแผ่นหิน
ประกาศชิงอวิ๋นเปลี่ยนลำดับใหม่ แผ่นหินที่อยู่ด้านหน้าประตูของทุกสำนัก ก็จะต้องสลักใหม่อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่ารายชื่อที่อยู่บนสุดมิได้สลักใหม่ เพราะว่ายังคงเป็นชื่อของสวีโหย่วหรง แต่ทว่าแท้จริงแล้วยังเกิดเรื่องราวเปลี่ยนแปลงอีกจำนวนมาก ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ประกาศชิงอวิ๋นเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ผู้ที่ได้รับชนะเลิศอย่างยิ่งใหญ่ เป็นธรรมดาว่าคือสำนักฝึกหลวง นักเรียนของสำนักฝึกหลวงมีเพียงแค่สี่คน คาดไม่ถึงว่าสามคนจะอยู่บนประกาศชิงอวิ๋น ไป๋ตี้ลั่วเหิงได้อับดับสอง นี่เป็นความโดดเด่นระดับใดกัน!
ด้านนอกของบรรดาสำนักในจิงตู ผู้คนต่างแหงนมองรายชื่อบนแผ่นหินเบื้องหน้า ความรู้สึกสลับซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่เคยโจมตีสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น ตามมาด้วยการจัดลำดับใหม่ของประกาศชิงอวิ๋น ยังเป็นข่าวคราวที่ทำให้ผู้คนสั่นสะเทือนแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ก็คือประโยคที่ใต้เท้ามุขนายกป่าวประกาศแทนสำนักฝึกหลวงและเฉินฉางเซิงให้ทั่วทั้งโลกได้รับรู้ประโยคนั้น!
ในการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงจะเอาอันดับแรกประกาศแรก
ผู้คนได้ยินข่าวคราวนี้ ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องขบขัน จะเชื่อถือได้อย่างไรเล่า ทว่าหลังจากเรื่องนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้ว มีผู้คนจำนวนมากล้วนแต่ตกตะลึงสั่นสะเทือนไร้วาจาใดๆ แน่นอนว่ายังคงยากที่จะเชื่ออยู่ดี
ถ้าหากองค์หญิงลั่วลั่วมิใช่ธิดาของจักรพรรดิขาว และถ้าหากฐานะของนางยังคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เช่นนั้นเมื่อนางเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมการสอบใหญ่ อาจจะมีการต่อสู้กับโก่วหานสือและผู้แข็งแกร่งสำนักอื่น ทว่าใต้เท้ามุขนายกได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ที่ปรารถนาจะเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่มิใช่สำนักฝึกหลวง แต่เป็น…เฉินฉางเซิง
ทั่วทั้งจิงตูต่างทราบดี เป็นเฉินฉางเซิงที่จนถึงทุกวันนี้ยังชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จนะหรือ
เพราะว่าการแสดงของสำนักฝึกหลวงในการชุมนุมไม้เลื้อย และก็เป็นเพราะการวิเคราะห์ของหอความลับสวรรค์ ตอนนี้ไม่มีคนกล้าคิดว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่จากที่ผู้คนมองแล้ว…เขาตั้งแต่ต้นจนจบยังฝึกบำเพ็ญเพียรไม่เป็น ถึงแม้โชคดีอยู่ๆ จะบังเกิดขึ้น เขาชำระล้างกระดูกสำเร็จในทันที ทว่าตอนนี้ห่างจากการสอบใหญ่ระยะเวลาประมาณสามเดือนเท่านั้น เขาจะเหนือกว่าผู้มีพรสวรรค์ที่ทำให้คนตกตะลึงเช่นกันได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นคนผู้แกร่งกล้ารุ่นเดียวกันที่ฝึกบำเพ็ญเพียรมานานกว่าเขา
ไม่ ถึงแม้เขาเป็นบุคคลดังเช่นสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวินที่มีสายเลือดพรสวรรค์ ก็คงจะทำมิได้ นี่เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง
……
……
ส่วนความโดดเด่นของสำนักฝึกหลวงในประกาศชิงอวิ๋นนั้น สำหรับการป่าวประกาศที่ว่าเฉินฉางเซิงต้องการอันดับแรกประกาศแรกนั้น ต่างคนต่างก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่างกัน
ในลานที่ลับตาคนของสำนักเทียนเต้าฝากหนึ่ง จวงห้วนอวี่กำลังนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำรกร้าง ทั่วทั้งร่างกายถูกน้ำเย็นยะเยือกของบ่อน้ำทำให้เปียกโชก เส้นผมสีดำขลับแผ่สยายอยู่บนร่างกาย มีหยดน้ำไหลลงพื้นดินติ๋งๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาร้อนอย่างยิ่ง เป็นเพราะว่าร้อนยิ่งนัก เป็นเพราะว่าเขาโกรธแค้นยิ่ง เขาถูกชีเจียนเอาชนะ จากลำดับที่สิบร่วงลงมาเป็นลำดับที่สิบเอ็ด ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ชีเจียนเป็นคนที่เคยพ่ายแพ้ให้แก่เขา เป้าหมายของเขาก็คือชิวซานจวิน ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาไปอยู่สิบอันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋น ยังมิเคยไปต่อสู้กับผู้ใด ขึ้นอยู่กับอะไรเล่า เมื่อการจัดลำดับของหอความลับสวรรค์ มิใช่ว่าเดิมทีใช้การตัดสินจากผู้แพ้ผู้ชนะโดยตรงหรอกหรือ
เส้นผมดำขลับเปียกโชกสยายอยู่เบื้องหน้าสายตาเขา สายตาที่คมกริบของเขาสะท้อนออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดไปถึงศิษย์น้อง…ไม่ องค์หญิงลั่วลั่วขณะนี้อยู่อันดับที่สองในประกาศชิงอวิ๋น เขาพลันอยากจะแสดงอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่งลง เพียงแค่ในดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย เขาเคยคิดว่าตนไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน จนกระทั่งวันนี้เขาถึงเข้าใจว่าที่จริงแล้วเป็นเรื่องผิด หนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงผู้นั้นจะเอาประกาศแรกอันดับแรกอย่างนั้นหรือ ศิษย์น้องขานเขาว่าอาจารย์รึ ดียิ่ง…จวงห้วนอวี่แหงนหน้าขึ้น พบว่าตนปรารถนาจะให้การสอบใหญ่มาถึงอย่างรุนแรง
ในที่ดินของตระกูลเทียนไห่ เทียนไห่เฉิงอู่ที่เป็นผู้นำตระกูลกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสองคนบิดาบุตรชาย เป็นเพราะประกาศชิงอวิ๋นในวันนี้รวมถึงเรื่องราวที่ป่าวประกาศนั้น ทำให้เขาเอ่ยสองประโยคที่เรียบง่ายนั่น
“ถ้าหากเฉินฉางเซิงสามารถเอาอันดับแรกประกาศแรกในการตอบใหญ่ได้จริงๆ เช่นนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสมรสสวีโหย่วหรงเข้าตระกูลได้…แต่ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกล่าวตอบบิดาอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าที่ขาวราวหยกทว่าไร้ท่าทางผันแปรใดๆ เดิมทีเขาก็มิได้สนใจว่าเฉินฉางเซิงชำระล้างกระดูกสำเร็จหรือไม่ เกรงว่าแม้เฉินฉางเซิงจะพานพบกับเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เพียงใด เขาก็มิได้สนใจ เขารู้ดีว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจสำเร็จได้ เขาเดินทางไกลจากด่านยงเสวี่ยมาถึงจิงตู เป้าหมายตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คืออันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่
กลุ่มตำหนักของพระราชวังหลี ริมทางเดินด้านหลังป่าต้นเสวี่ยซง จวนรับรองคณะทูตจากทิศใต้ยังคงเงียบสงบดังเช่นตอนกลางวัน
โก่วหานสือนั่งบนเก้าอี้ยาวริมระเบียง ทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกลานกลางแจ้งของสวนแบ่งออกจากกัน เขาเงียบนิ่งเป็นเวลานาน คล้ายกับว่าอยากจะมองหาเหตุผลจากดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าเหล่านั้นให้ได้ก็มิปาน
เหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋ และชีเจียน นั่งอยู่เก้าอี้ด้านข้าง กล่าวสนทนาบางเสียงต่ำ ผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงเดินทางกลับแล้ว หัวหน้าตระกูลชิวซานก็กลับแล้ว ผู้อาวุโสเหล่านั้นเดินทางมาเป็นเพราะเรื่องการหมั้นหมาย ตอนนี้ได้เดินทางกลับไปยังทิศใต้ เนื่องจากพวกเขาจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงอยู่ต่อที่นี่ เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเดินทางกลับหมดแล้ว บรรดาคนหนุ่มของหอกระบี่เขาหลีซานผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว
“มีความเป็นไปได้หรือไม่” เหลียงปั้นหูคิ้วขมวด พลางเอ่ยถาม
กวนเฟยไป๋เงียบนิ่งเป็นเวลานาน เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้”
ชีเจียนขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อยด้วยความระมัดระวัง พลางกล่าวถาม “ที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่”
หนุ่มน้อยทั้งสามของหอกระบี่เขาหลีซาน เรื่องที่สนทนากันอยู่ตอนนี้ ธรรมดาว่าเป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงจะสามารถเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ได้หรือไม่
เป็นเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพที่หลายปีมานี้กล่าวได้ว่ามีพลังบดขยี้ผู้ที่อยู่บนประกาศได้ คิดไม่ถึงว่าจะมาถกปัญหากันอย่างตั้งใจรอบคอบเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของหนุ่มน้อยที่ชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ ถ้าหากผู้คนมาเห็นจะต้องตกตะลึงเป็นแน่ มองออกได้ว่า จากการชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการวิเคราะห์ของหอความลับสวรรค์ในวันนี้ เฉินฉางเซิงนำความกดดันมาให้หนุ่มน้อยที่ทะนงตนเหล่านี้อย่างไร
ปัญหาของชีเจียนเป็นเรื่องในอดีต เป็นการค้นหาเรื่องราว ด้วยเหตุนี้ศิษย์น้องทั้งสามจึงนำสายตาจับจ้องไปยังโก่วหานสือ
โก่วหานสือละสายตาจากดวงดาว จ้องมองไปยังศิษย์น้องทั้งสามส่ายศีรษะไปมา พลางเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีมาก่อน”
น้ำเสียงของเขาเมินเฉยอย่างยิ่ง มิได้พยายามที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด กลับให้ความรู้สึกยากที่จะหักล้างได้
เหลียงปั้นหูกับกวนเฟยไป๋ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ระหว่างคิ้วละเอียดได้รูปของชีเจียนยังคงมีแววกังวลอยู่ เอ่ยถาม “ไม่เคยมีมาก่อน มิได้หมายความว่าต่อไปหลังจากนี้จะไม่ปรากฏ”
“คำพูดของศิษย์น้องมีเหตุผล แต่ข้าคิดว่าคงจะไม่เกิดขึ้น ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือน จากขั้นชำระล้างกระดูกไม่อาจไปถึงขั้นทะลวงอเวจี นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
โก่วหานสือกล่าวต่อ “นี่หาได้ใช่ปัญหาของการฝึกบำเพ็ญเพียร แต่เป็นปัญหาการคิดคำนวณอย่างง่ายดาย ไม่ต้องเอ่ยถึงการชำระล้างกระดูก และไม่ต้องเอ่ยถึงขั้นถอดจิต เอ่ยถึงการปรารถนาเปิดประตูของขั้นทะลวงอเวจี จำเป็นจะต้องหยิบยืมแสงดวงดาวเป็นเวลาร้อยคืน นอกเสียจากว่าบนโลกใบนี้มีศาสตราเทพในตำนานที่สามารถยืดเวลาออกไปได้ เมื่อเฉินฉางเซิงไปถึงการสอบใหญ่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไร้หนทางจะไปถึงขั้นทะลวงอเวจี”
เขาศึกษาตำราเต๋ามาหมื่นม้วน ความรู้ลึกซึ้งและการคำนวณมิอาจโกหกได้ ด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจในการตัดสินของตนอย่างยิ่ง
คนทั้งสามเมื่อได้ยินประโยคนี้ ถึงจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดศิษย์พี่ถึงมั่นใจเช่นนี้
เมื่อการสอบใหญ่มาถึง ถ้าหากเฉินฉางเซิงไม่สามารถผ่านขั้นทะลวงอเวจี ก็จะไม่สามารถไปถึงประกาศแรกอันดับแรกได้เป็นแน่
เพราะว่าศิษย์พี่สองถึงขั้นทะลวงอเวจีแล้ว
อีกทั้งยังมีนักเรียนที่ผ่านขั้นทะลวงอเวจีหลายท่านอาจจะมาเข้าร่วมการสอบใหญ่ที่จิงตูก็เป็นได้
ขั้นทะลวงอเวจีเป็นขั้นแห่งความเป็นความตาย เป็นธรณีประตูที่สูงส่ง ด้านในธรณีประตูกับด้านนอก เป็นโลกทั้งสองแห่งจริงๆ
……
……
ในสายลมและหิมะทางทิศเหนือ มีหนุ่มน้อยผู้หนึ่งหันกายไปยังทิศใต้ นิ้วมือที่เปื้อนไปด้วยโลหิต
ด้านนอกของสำนักต้นไหวทางทิศใต้ มีปัญญาชนชุดดำหลายคนกับเพื่อนร่วมสำนักได้กล่าวลา
ใจกลางดินแดนต้าลู่ทุกที่ บรรดาคนหนุ่มที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ ยืดตัวลุกขึ้นพร้อมเพรียงกัน
สิ่งที่แตกต่างจากปีที่ผ่านมาก็คือ พวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน
นามนั้นเรียกว่าเฉินฉางเซิง
……
……
“นี่ก็เป็นเพียงแค่แนวโน้มเท่านั้นเอง แต่…กระแสเสียงเป็นวงกว้างจริงๆ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เดินจากริมสระนำไปยังด้านล่างกำแพงพระราชวัง ยื่นมือไปเด็ดดอกเบญจมาศป่า ส่งไปยังข้างกาย พลางเอ่ยว่า “ถ้าหากมิใช่เพราะว่าอายุของเฉินฉางเซิงยังเยาว์วัยแล้ว ข้าสงสัยว่าคนเหล่านั้นแท้จริงแล้วจะทำอะไร”
ข้างกายของนางไร้คน มีเพียงแค่แพะดำหนึ่งตัว
แพะดำเอียงศีรษะ เบี่ยงตัวหลบดอกเบญจมาศป่าที่นางยื่นให้ เป็นการแสดงว่ามิได้สนใจต่ออาหารนี้
จักรพรรดินีส่ายศีรษะ ยื่นมือเปิดประตูที่อยู่บนกำแพงบานนั้นออกไป เดินผ่านหนทางยาวเหยียด นำแพะดำมาถึงยังสวนร้อยหญ้า พลางเอ่ยว่า “เจ้าก็หลายปีแล้วที่มิได้มา มีสิ่งใดอยากจะกิน ก็ไปกินเองเถอะ”
ในสวนร้อยหญ้าล้วนแต่ปลูกสมุนไพรและผลไม้ประหลาดล้ำค่าไว้ หากนำมาเป็นยาไม่รู้ว่าจะขายราคาเท่าใด ถึงแม้จะเป็นผู้มีฐานะในเมืองจิงตู ปรารถนาจะเอาสักนิดก็เป็นสิ่งที่ยากลำบาก ทว่าสำหรับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงของกินเล่นของแพะดำเท่านั้น มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่ามันจะยอมกินหรือเปล่า
นอกกำแพงมีเรื่องเล่าขานมาตลอดว่า แพะดำที่ลากรถไม้ไผ่ตัวนั้นเป็นแม่นางม่ออวี่ที่ป้อนอาหารจนโต แท้จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น…แพะดำตัวนี้ก็มิใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เลี้ยงจนเติบใหญ่ ทางกลับกัน เมื่อปีนั้นเป็นครั้งแรกที่ถูกจักรพรรดิไท่จงขังในห้องเย็นของสวนร้อยหญ้า นางจะต้องทนทุกข์กับความหิวกระหาย เป็นแพะดำตัวนี้ที่มักจะคาบผลไม้มาให้นางกิน
เดินมาถึงด้านหน้าของโต๊ะหิน จักรพรรดินีเริ่มจิบน้ำชา ชัดเจนว่าไร้คนคอยรับใช้ และก็ไม่รู้ว่าในกาน้ำชามีน้ำชาตั้งแต่เมื่อใด เมื่อเทลงในแก้ว ยังมีไอร้อนลอยขึ้นมา
แพะดำไม่รู้ว่าไปแห่งใดแล้ว และกำลังกินอะไรอยู่
นางละสายตาจากไอร้อน ทอดมองไปทางป่าฤดูใบไม้ร่วง หยุดลงที่บนกำแพงที่ติดกัน
นั่นเป็นกำแพงของสำนักฝึกหลวง
……
……
เฉินฉางเซิงมิได้อยู่ในหอตำรา กำลังอยู่ในห้องนอนของตน เขานั่งอยู่ริมหน้าต่าง มือข้างหนึ่งถือตำรา อีกข้างหนึ่งยื่นออกไปนอกหน้าต่าง รับเอาแสงดวงดาวที่ทอดต่ำลงมาจากท้องฟ้า
การประกาศของใต้เท้ามุขนายก ก่อเกิดเป็นข่าวลือในเมืองจิงตู ทั้งหมดทั้งมวลได้กลายเป็นเสียงสายลมสายฝน ข้ามผ่านกำแพงมายังสำนักฝึกหลวง ถึงแม้เขาไม่ฟังเรื่องภายนอกกำแพงอย่างไร ทว่าเสียงของสายลมสายฝนช่างดังอย่างยิ่ง ปรารถนาจะให้ไม่เข้ามาในหูก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่ง ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกของเขาตอนนี้ค่อนข้างหนักอึ้ง เขาไม่รู้ว่าใต้เท้ามุขนายกอยากจะทำสิ่งใด เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดใต้เท้ามุขนายกรู้ว่าเขาจะต้องเอาประกาศแรกลำดับแรกของการสอบใหญ่ เขาก็ไม่รู้ว่าขณะนี้ตนแม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ การเข้าร่วมการสอบใหญ่จะมีความหมายอะไร
แสงดวงดาวส่องกระทบลงมายังฝ่ามือของเขา เส้นลมปราณแจ่มชัด กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ตำแหน่งดวงดาวของตนอยู่ส่วนลึกบนท้องฟ้าแห่งนั้น การติดต่อที่ขาดๆ หายๆ นั้น ค่อยๆ ทำให้เขาเงียบสงบลง
ตำราที่เขาถืออยู่ในมือคือคัมภีร์การถอดจิตสี่ประการ หลายวันมานี้เขาศึกษาเกี่ยวกับวิชาขั้นถอดจิตจำนวนมาก เพื่อเตรียมตัวให้ลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วผ่านทะลวงด่านความเป็นความตายของขั้นทะลวงอเวจี แต่ก็มิได้ผ่อนคลายการฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเลย เป็นเวลาหลายคืนที่เขาดึงแสงดวงดาวเพื่อชำระล้างกระดูก ร่างกายกลับมิได้เปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอ่อนล้า จนกระทั่งรู้สึกสิ้นหวังไปบ้าง
ทว่าเวลานี้เอง ประโยคหนึ่งในคัมภีร์การถอดจิตสี่ประการ ทำให้เขาคิดไปถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
นิ้วมือทั้งห้าของเขาแยกออกจากกัน ละอองดวงดาวซึมออกมาจากร่องนิ้ว ร่วงหล่นลงยังลูกกรงหน้าต่าง