คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย แม้ไม่เข้าใจว่านี่เป็นเพราะเหตุใด แต่ก็คิดว่าตนเองสามารถคาดเดาได้ ในขั้นตอนการเปลี่ยนละอองดาวเป็นพลังปราณแท้ แม้คว้าโอกาสชำระล้างกระดูกจนเสร็จสิ้น ทว่าก็ไม่อาจทำให้ร่างกายของตนเพิ่มระดับแข็งแกร่งจนน่าตกใจเช่นนี้ จะต้องรู้ว่าพลังที่ทำลายก้อนหินนั้นมิได้ด้อยเลย
เขายื่นมือออกไปด้านนอกหน้าต่าง หยิบยืมแสงจากท้องฟ้าที่สะท้อนกับพื้นหิมะทำให้สว่างมากกว่าเดิม สำรวจรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด ก่อนหน้านี้เขาแสดงออกมาสงบนิ่งอย่างยิ่ง แต่ความเป็นจริงคือพลังปราณแท้ในร่างกายกำลังไหลริน ดึงดูดจิตใจทั้งหมดของเขา จนกระทั่งถึงเวลานี้ เขาจึงเริ่มตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างละเอียดอีกครา
หลังจากนั้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากกล้ามเนื้อที่เปลี่ยนเป็นกระชับขึ้น ขาวสะอาดหมดจดดังเช่นเมื่อก่อน ทว่าเวลานี้จิตใจทั้งหมดของเขาตั้งใจที่จะไปเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เขาตรวจสอบได้รางๆ ว่าร่างกายของตนราวกับมีบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นคล้ายกับว่าเป็นพลังชนิดหนึ่ง และเหมือนเป็นพลังปราณอย่างหนึ่ง
เขาเดินไปถึงด้านหน้ากระจก พบปิ่นปักผมอันหนึ่ง ปิ่นปักผมอันนี้เป็นของม่ออวี่ที่ทำตกไว้เมื่อหลายวันก่อน เขาเก็บมันขึ้นมา เห็นปลายแหลมคมของปิ่นปักผม ครุ่นคิดชั่วครู่ ไม่ลังเลที่จะยื่นแขนซ้ายออกมาแล้วแทงลงไป เขาสามารถรับรู้ถึงระดับความแหลมคมของวัตถุ สามารถรับรู้การสัมผัสของปลายแหลมคมกับผิวหนัง แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่แทงเข้ากลับลดลงไม่รู้กี่เท่า ยิ่งไม่ได้รับอาการบาดเจ็บ อีกทั้งปลายแหลมคมของปิ่นปักผมไม่ได้หลงเหลือร่องรอยใดๆ ไว้
ตามพละกำลังของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความรู้สึกที่มาจากปลายแหลมยิ่งนานยิ่งแจ่มชัดขึ้น แต่ยังคงไม่ได้แทงทะลุผิวหนังของเขา ผิวหนังของเขาคล้ายกับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ตามการทิ่มแทงของปลายแหลมจึงเว้าบุ๋มลงต่อเนื่อง กลับมิได้รู้สึกทะลุลงไป เหมือนใบบัวที่รับน้ำหนักของหยดน้ำค้าง
เฉินฉางเซิงวางปิ่นปักผมลง หยิบกระบี่สั้นขึ้นมาทดลอง
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ มองเห็นร่องรอยได้ชัดเจน แต่ว่าไม่ได้มีรอยแผลโลหิตกว้าง เขาจึงมั่นใจว่าร่างกายของตนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์ที่ตนไม่อาจทราบได้ ระดับความแข็งแกร่งได้เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงขีดสุด ถึงแม้จะเป็นบันทึกคัมภีร์เต๋าที่พูดถึงการชำระล้างกระดูกที่สมบูรณ์เหล่านั้น ต่างก็ไม่พบว่ามีผลลัพธ์ที่เป็นดังเช่นเขาตอนนี้
แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นเล่า ปัญหานี้คงทำได้เพียงไปถามท่านอาวุโสมังกรดำเท่านั้น เฉินฉางเซิงรับรู้ถึงพละกำลังหรือว่าพลังปราณที่อยู่ในร่างกายเบาบาง ยิ่งไม่อาจสะกดกลั้นความฉงนใจต่อไปได้ และก็ไม่อาจสะกดกลั้นพลังสายนั้นที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนได้ ทันใดนั้นพลันมีกำลังวังชาคึกคักขึ้นมา เขาใช้ความรวดเร็วที่สุดเพื่อสวมใส่เสื้อผ้า แล้วกระโดดหน้าต่างออกมาด้านนอก
ส้นรองเท้าเหยียบย่ำแผ่นน้ำแข็งหิมะจนแตก มีหญ้าสีเหลืองที่ราบเรียบ ร่างกายเขายืนมั่นคง ท่าทางเลื่อนลอย ห้องที่เขาอยู่คือชั้นสอง ห่างจากพื้นไม่สูงมาก ถึงแม้เป็นเวลาปกติ ร่างกายที่อาจารย์กับศิษย์พี่ใช้ยาเคี่ยวของเขาไม่อาจได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าคงไม่สบายดังเช่นตอนนี้ และปราดเปรียวเช่นนี้เป็นแน่
เขาเงียบนิ่งชั่วครู่ ไอร้อนพ่นออกมาตามการหายใจ ทอดสายตาไปยังทะเลสาบหนาวเย็นทางฝั่งป่าฤดูหนาวทางนั้น เขาปรารถนาจะลองอีกสักครา
งอหัวเข่าเล็กน้อย เปล่งพลังจากช่วงท้อง เหยียบลงไป
สวบ!
พื้นหิมะด้านหน้าอาคารปรากฏเป็นหลุมเล็กๆ หลุมหนึ่ง เศษหิมะและต้นหญ้ากระเซ็นขึ้นมา
ร่างกายของเฉินฉางเซิงพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลาต่อมา เขาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างทะเลสาบไกลหลายสิบจั้ง
สายลมหนาวเย็นพัดพา ใบไม้ร่วงพัดกระหน่ำขึ้น
ท่าทางของเขาเหม่อลอยเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด
เดิมทีเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะมีความรวดเร็วเช่นนี้
สิ่งทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพละกำลังที่พลันเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งไม่รู้ต่อกี่เท่าของเขา รวมถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้นหลายต่อหลายเท่าด้วย
พละกำลังนั้นมาจากที่ใด
นี่เป็นผลลัพธ์ของการชำระล้างกระดูกจริงหรือ
มองแล้ว การชำระล้างกระดูกคงเป็นคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว แต่ว่าเขายากที่จะเชื่อคำอธิบายนี้เป็นอย่างยิ่ง
คิดไปถึงเมื่ออาบน้ำก่อนหน้านี้ โลหิตแห้งกรังบนร่างกายของเขาถูกน้ำชำระล้างทิ้งไป ในจิตใจสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างแปลกประหลาด
เขาปีนกำแพงออกจากสำนักฝึกหลวง อาศัยสายลมหิมะอำพรางตัว มาถึงยังสะพานอุดรใหม่อีกครั้ง
หิมะยังคงตกหนักเช่นนั้น หิมะที่สะสมอยู่บนพื้นยังคงหนาเช่นนั้น
บริเวณบ่อรกร้างที่เคยหลงเหลือรอยเท้าของมนุษย์สองคนกับสุนัขหิมะหนึ่งตัว ได้ถูกกลบไปนานแล้ว
เขากวาดตามองรอบๆ มั่นใจว่าไร้ผู้คนสังเกตเห็น ทหารยามที่อยู่ไกลออกไปกำลังสับเปลี่ยนเวรยาม จึงกระโจนลงไปในบ่อรกร้าง
เสียงพรึบเบาๆ ดังขึ้น เท้าทั้งคู่ของเขาร่วงหล่นยังพื้น ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งนัก
เขาได้เตรียมใจที่จะร่วงหล่นลงมาเป็นเวลานาน คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะกระโดดลงไปจะพบกันก้นบ่อแล้ว
บ่อน้ำแห่งนี้เดิมทีไม่มีก้นบ่อ ข้างล่างใกล้เคียงกับห้วงลึกที่มืดมิด สามารถร่วงหล่นลงสู่พื้นข้างใต้ได้ตลอด แล้วร่วงหล่นมายังด้านหน้าของมังกรดำ
ขณะนี้ มีก้นบ่อแล้ว ก้นบ่อเป็นพื้นดินเหลืองแข็ง บนพื้นดินเหลืองมีหิมะหนึ่งชั้นบางๆ
เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปยังปากบ่อ มีหิมะพัดร่วงหล่นลงมา เขาจึงหรี่ตาลงมา
เขาคุกเข่าลง วัดขนาดความลึกของหิมะที่สะสมกัน แน่ใจว่าอีกเพียงระยะเวลาแค่ครึ่งวันปากบ่อก็จะถูกปิดตายแล้ว…
“เจ้าจะทำอะไร”
ถังซานสือลิ่วแย่งมีดหั่นผักมาจากมือของเฉินฉางเซิง จ้องเขม็งในดวงตาเขาพลางเอ่ยถาม
สองสามวันนี้ เวียนมาถึงคราวที่เฉินฉางเซิงจะทำอาหาร ถังซานสือลิ่วไม่ชื่นชอบรสชาติที่เขาทำมากกว่าเซวียนหยวนผ้อเสียอีก เมื่อเขาเตรียมที่จะมาเตือนเฉินฉางเซิงว่าหมูผัดพริกดองจะต้องใส่พริกดอง ประจวบเหมาะกับเห็นภาพที่เฉินฉางเซิงจะเอามีดไปหั่นนิ้วมือตนเอง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาเข้าใจผิดอะไร พลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
คนประเภทไหนกันเล่า เป็นธรรมดาที่ไม่อาจทนรับแรงกดดันบนโลกใบนี้ได้ จะทำร้ายตนเองเพื่อหลบหลีกการต่อสู้ หรืออาจจะเป็นคนที่ไม่อาจยอมรับแรงกดดันได้ ด้วยเหตุนี้จิตใจจึงไม่ปกติ เพียงแค่เอามีดมาหั่นศีรษะคน และก็เป็นคนที่ไม่อาจทนรับแรงกดดันบนโลกใบนี้ ลืมสิ้นความกตัญญูบิดามารดาที่เลี้ยงดู กระโดดลงมาจากหอสูง
“เจ้าไม่ใช่คนโง่เขลาเป็นแน่ ทว่าข้ากังวลเจ้าจะโมโหรุนแรง แล้วตัดนิ้วมือออกมา”
ถังซานสือลิ่วนำมีดหั่นผักกลับมา พลางเอ่ย “เป็นดังผู้มีพรสวรรค์ชำระล้างกระดูกโดยสมบูรณ์เช่นพวกเรา ต้องไม่ทำให้คนก่อเกิดการเข้าใจผิดเช่นนี้”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ชำระล้างกระดูกสำเร็จ ร่างกายก็จะแข็งแกร่งขึ้น ปรารถนาจะใช้มีดหั่นผักธรรมดาหั่นนิ้วทิ้ง ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแค่ค่อนข้างยาก
“การชำระล้างกระดูกไม่เกรงกลัวมีดหั่นผัก และสองวันมานี้ก็ไม่เห็นเจ้ามาช่วยหั่นผัก” เฉินฉางเซิงรับมีดหั่นผักมา แล้วหั่นหัวไชเท้าต่อ
สองสามวันนี้ เขาไปสะพานอุดรใหม่มาสองครั้ง พบว่าปากบ่อรกร้างแห่งนั้นปิดตายจริงๆ เขาทำได้เพียงแค่เรียนรู้ที่จะเคยชินกับการเปลี่ยนไปของร่างกาย ใช้มีดหั่นผักหั่นนิ้วของตนเอง เป็นเรื่องที่เขาทำอยู่บ่อยๆ มีเพียงแค่เคยชินกับพลังกำลังและระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ประโยชน์ของพลังและความแข็งแกร่งได้อย่างวางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ในการต่อสู้
เป็นเรื่องธรรมดาที่ถังซานสือลิ่วจะวิตกกังวลกับเขา เพราะว่าการสอบใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้ว
บรรดาผู้คนที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ ต่างก็จากทุกหนทุกแห่งของดินแดนต้าลู่มายังจิงตู มีสายตานับไม่ถ้วนที่ส่งมายังสำนักฝึกหลวง ส่งมายัง…เฉินฉางเซิงที่ประกาศว่าจะเอาลำดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ ถึงแม้จะกล่าวว่าเรื่องการเอาอันดับแรกเป็นสิ่งที่ท่านมุขนายกเป็นผู้ประกาศ ตัวเขาเองมิเคยยอมรับมาก่อน ทว่าก็ไม่มีผู้ใดสนใจต่อสิ่งนี้
เพราะว่าการหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรง ประกาศชิงอวิ๋น และยังมีการป่าวประกาศเรื่องนั้นอีก ขณะนี้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงยิ่งนัก ถูกผลักดันให้เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงอย่างยิ่ง ปัญหาอยู่ตรงที่ ผู้ใดจะยอมรับเขาเล่า ถ้าหากมิใช่เพราะจินอวี้ลวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ชมสายลมหิมะ จิบชาร้อนๆ เกรงว่าประตูผุพังของสำนักฝึกหลวงบานนั้นก็คงจะถูกคนเหยียบย่ำไปนานแล้ว
เวลานี้เขายอมรับแรงกดดันที่รู้และสัมผัสได้
“ที่จริงแล้วข้าไม่เข้าใจมาตลอด อำนาจเก่าของนิกายหลวงกับบรรดาขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อเชื้อพระวงศ์เฉินเหล่านั้น ถ้าหากปรารถนาจะหยิบยืมอำนาจของสำนักฝึกหลวงที่ฟื้นฟูอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หากเปรียบเทียบกับเจ้าที่ชำระล้างกระดูกยากจะสำเร็จแล้ว ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกว่าหรือ”
ถังซานสือลิ่วหยิบผักสดขึ้นมา ตักข้าวใส่เล็กน้อย วางพริกดองกับผักดอง ห่อแล้วพลางเอ่ยออกมา
เฉินฉางเซิงนำหัวไชเท้าที่หั่นเสร็จแล้วใส่ลงไปน้ำซุปกระดูกที่ต้มมาครู่ใหญ่ๆ พลางเอ่ยว่า “บุคคลเล็กๆ ดังเช่นข้าคงง่ายต่อการควบคุม”
ถังซานสือลิ่วกัดข้าวห่อผักอย่างถึงอกถึงใจ เคี้ยวพลางเอ่ยออกมาอู้อี้ “ข้าก็คิดเช่นนั้น หรือเป็นเพราะหนังสือหมั้นหมายของเจ้ากับสวีโหย่วหรง เรื่องนี้ก็ค่อนข้างสำคัญ”
บรรดาคนหนุ่มของสำนักฝึกหลวงชัดเจนถึงบทบาทการแสดงของตนยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้กล้าพูดคำจำพวกบุคคลเล็กๆ เหล่านี้ออกมา แต่ความคิดที่คิดไปเองเช่นนี้ เป็นการแสดงว่าเดิมทีพวกเขามิได้ใส่ใจบุคคลยิ่งใหญ่อะไรนั่น บุคคลยิ่งใหญ่เหล่านั้นต้องการทำสิ่งใด ก็มิได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ผ่านพ้นวันเวลาของตนเอง เข้าร่วมการสอบใหญ่ เอาประกาศแรกอันดับแรกเท่านั้นเอง
เฉินฉางเซิงไม่ได้บอกเรื่องร่างกายที่เปลี่ยนแปลงของตนกับถังซานสือลิ่ว เรื่องละอองดาวเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ก็ไม่ได้เอ่ย เขาไร้หนทางที่จะคิดว่าตนเคยผ่านประสบการณ์การแผดเผาและมีชีวิตทุกข์ยากยิ่งกว่าความตาย
พื้นที่หิมะผืนนั้นราวกับคนอายุยี่สิบก็มิปาน กลายเป็นเงาที่ไร้หนทางจะปลดปล่อย กดทับเขาทำให้ยากจะหายใจออกมาได้
ทำอย่างไรจะสามารถปกป้องพื้นหิมะแห่งนั้นไม่ถูกรบกวน นั่นก็อย่าได้ไปรบกวน อย่างการนั่งถอดจิตสำรวจตนก็คือการคิด ดีที่สุดก็อย่าได้ไปคิด ทำได้เช่นนี้ถึงสามารถลืมเลือนได้อย่างแท้จริง แต่ว่าการไม่คิดอย่างสิ้นเชิงเป็นสิ่งที่ยากจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวินาทีที่ครุ่นคิดว่าพื้นที่หิมะผืนนั้นต่างก็เป็นการรวบรวมละอองดาว ถ้าหากทั้งหมดเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ เช่นนั้นจะมีเท่าไหร่เล่า
เขาถอดทอนหายใจเอ่ยว่า “ความรู้สึกมีเงินมันดีมากจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “ข้ามิได้รู้สึกอะไร”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “นั่นเป็นเพราะว่าตั้งแต่เยาว์วัยเจ้ามีเงินมากไป”
“อาจเป็นไปได้” ถังซานสือลิ่วครุ่นคิด ยอมรับในข้อนี้
เฉินฉางเซิงกล่าว “แต่ว่าความรู้สึกมีเงินแต่ไร้หนทางไปจับจ่ายใช้สอยนั้นไม่ดีอย่างยิ่ง”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยอย่างเวทนา “ช่างเป็นเด็กบ้านนอกเสียจริง รอให้หลังจากการสอบใหญ่สิ้นสุดลง ข้าจะสอนให้เจ้าใช้เงิน”
พื้นที่หิมะก็เป็นสิ่งสะสมที่หนาแน่นของเฉินฉางเซิง และเป็นกองเนินหญ้าที่น่าหวาดกลัว เป็นดาวเพลิงดวงหนึ่งที่อาจจะจุดไฟแผดเผา พร้อมเปลี่ยนเป็นขี้เถ้าในเวลาเดียวกัน นำพาเขาให้จากโลกใบนี้ไป
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่เป็นคนที่มีสติปัญญา ต่างก็ไม่อาจเลือกไปเติมน้ำมัน หรือเพิ่มหญ้าแห้งเข้าไป ทุกค่ำคืนเขายังคงนั่งสมาธิครุ่นคิด ดึงแสงดวงดาวเข้าสู่ร่างกาย มือทั้งสองจับหยกที่ลั่วลั่วส่งมาให้ ด้านข้างเป็นกองก้อนผลึกที่ส่งมาจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย คล้ายกับว่าไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย
คนอื่นมิได้ล่วงรู้สภาพร่างกายของเขา จ้องมองภาพนี้ เป็นธรรมดาที่จะมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน ตอนนี้ถังซานสือลิ่วเลื่อมใสเขาเพิ่มอย่างยิ่ง ในใจครุ่นคิดว่าหากใช้เวลาชำระล้างกระดูกเป็นเวลานานแล้วยังไม่สำเร็จ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าจะล้มเลิกไปนานแล้ว เจ้าเด็กคนนี้กลับยังคงมุ่งมั่นต่อไป แรงมุ่งมั่นที่จริงแล้วน่าตกใจยิ่งนัก
แต่การเลื่อมใสก็เป็นเพียงแค่การเลื่อมใส เขามิได้โอบอุ้มความหวังที่เฉินฉางเซิงจะเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่
คนที่มองโลกในแง่ดี ก็คงจะเป็นดังเช่นเขา
ด้วยเหตุนี้เขา…จึงมุมานะบากบั่นเป็นพิเศษ
การวิเคราะห์ของประกาศชิงอวิ๋น เฉินฉางเซิงเป็นแบบอย่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่เขามุมานะบากบั่น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหากเฉินฉางเซิงไม่อาจเอาอันดับแรกประกาศแรกได้ จะต้องกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าหัวเราะเยาะของผู้คนเป็นแน่ เขาเป็นสหายของเฉินฉางเซิง เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง จะต้องทำอะไรบางอย่าง
เซวียนหยวนผ้อก็มุมานะบากบั่นเช่นกัน ภายใต้การชี้แนะของเฉินฉางเซิง อาการบาดเจ็บของแขนขวาเขาได้หายดีแล้ว ตอนนี้กำลังฝึกบำเพ็ญเพียรวิทยายุทธ์หนึ่งอยู่ พละกำลังพลันก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลังใจฟื้นคืนมาอย่างไร้ขีดจำกัด ครั้นต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบเริ่มได้รับภัยพิบัติ ก้อนหินที่แข็งแกร่งก็ดุจดังน้ำแข็งบนพื้นผิวทะเลสาบแตกร้าวต่อเนื่อง
ชีวิตในสำนักที่เงียบสงบ กลับถูกรถม้าพุ่งชนเข้ามาในเช้าตรู่วันหนึ่ง
เวลานั้น ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อกำลังปะทะริมฝีปากกันอยู่ เฉินฉางเซิงกำลังท่องบางสิ่งกับตนเองอยู่บนพื้นหิมะ จึงไม่รู้ว่าข้างหลังคือสิ่งใด