การแย่งชิงทางเดิน เดิมทีเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการพิพาทขึ้นได้โดยง่ายที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในการสอบใหญ่อันเข้มงวด มีข้อบังคับห้ามให้ผู้เข้าสอบเดินบนเส้นทางเดียวกัน เช่นนั้นจำต้องมีหนึ่งคนที่จะต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่ พื้นที่ของป่าต้มเวลากว้างใหญ่ เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะมีผู้เข้าสอบสองคนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน จึงกล่าวได้เพียงแค่ว่าถังซานสือลิ่วหรือไม่ก็นักเรียนสำนักต้นไหวผู้นั้นที่โชคไม่ดี
ตามที่เฉินฉางเซิงเข้าใจในตัวถังซานสือลิ่ว คนที่โชคไม่ดีคงจะต้องมิใช่เขาเป็นแน่ เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ สุดท้ายแล้วนักเรียนสำนักต้นไหวผู้นั้นก็ถูกบีบบังคับให้เปลี่ยนเส้นทาง นักเรียนสำนักต้นไหวผู้นั้นจ้องมองมายังทิศทางของสำนักฝึกหลวง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น อยากจะเข้ามาเล่นงาน กลับถูกสหายร่วมสำนักขัดขวางไว้ ถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าองค์หญิงลั่วลั่วก็อยู่ จึงทำได้เพียงแค่แค่นยิ้มเยือกเย็นออกมา
บรรดานักเรียนของสำนักต้นไหวเดินผ่านคนของสำนักฝึกหลวง จึงแสดงฝีมือโดยการข้ามคลองฉวี่เจียงด้วยความสง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ก่อนจากไป มองเฉินฉางเซิงด้วยสายตาเยาะหยัน
เวลานี้เอง ซูม่ออวี๋ก็เดินออกจากป่า มายังด้านข้างของเฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด สถานการณ์ของหนุ่มน้อยผู้แกร่งกล้าจวนพระราชวังหลีผู้นี้ถึงไม่ค่อยดี เวลาที่เดินออกมาจากป่าต้มเวลานานกว่าที่ผู้คนคิดไว้ ถังซานสือลิ่วไม่ชื่นชอบเจ้าเด็กดื้อรั้นพูดน้อยผู้นี้ ทว่าเฉินฉางเซิงกลับมิได้มีความรู้สึกร้ายต่อเขา มองใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ซูม่ออวี๋เอ่ยตอบ “เมื่อคืนอยู่ๆ ก็มีลางทะลวงขั้น จึงรีบสะกดให้กลับไป ปราณแท้ตีกลับ ห้วงแห่งจิตจึงสั่นไหวเล็กน้อย”
หนุ่มน้อยผู้แกร่งกล้าอันดับที่ห้าสิบของประกาศชิงอวิ๋น โดยพื้นฐานแล้วฝึกบำเพ็ญเพียรถึงขั้นถอดจิต หากเพียงแค่ปรารถนา ก็สามารถลองเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่ธรณีประตูนั้นสูงเหลือเกิน ขณะทะลวงขั้นนั้นมีความอันตรายเกินไป ด้วยเหตุนี้เมื่อไม่ได้เตรียมการดีพร้อมเพียงพอ มีคนจำนวนน้อยมากที่จะเลือกทะลวงขั้นแบบลวกๆ ซูม่ออวี๋ฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยความมุมานะบากบั่น เห็นธรณีประตูแห่งนั้นมานานแล้ว แต่เพราะมีการสอบใหญ่ จึงควบคุมมาตลอด เพียงแต่คิดไม่ถึง มองเห็นการสอบใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น กลับมีลางทะลวงขั้น เรื่องที่ดีงามกลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว
หากกล่าวตามเหตุผล เรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ฝึกบำเพ็ญของตน ไม่ควรแพร่งพรายบอกผู้อื่นเป็นอันขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักฝึกหลวงกับจวนพระราชวังหลีที่เป็นคู่ต่อสู้กัน แต่ว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นท่าทางที่จริงใจของเฉินฉางเซิง ซูม่ออวี๋มิได้คิดมากเกินไป จึงกล่าวออกไป
ใบหน้าของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเล็กน้อย ความรู้สึกที่มีต่อเขาอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมามากทีเดียว ถูกคนเชื่อใจ เป็นเรื่องที่รู้สึกดีอย่างยิ่ง
เขามองซูม่ออวี๋พลางเอ่ยว่า “ต้องใช้เวลานานถึงจะฟื้นคืนหรือ”
ลางทะลวงขั้นถูกอดกลั้นไว้ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะกลายเป็นอันตรายต่อห้วงแห่งจิต ภายในระยะเวลาสั้นๆ ดวงจิตจะกลายเป็นไม่สงบนิ่ง มิน่าเล่าซูม่ออวี๋ที่มีรากฐานลึกซึ้งแข็งแกร่งเช่นนี้ กลับใช้ระยะเวลายาวนานในการข้ามป่าต้มเวลา ไม่เพียงแค่ต้องมีเวลาให้จิตใจสงบนิ่งครุ่นคิด แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรจะดำเนินเป็นเวลายาวนานเกินไป
“ถ้าหากสามารถเข้าไปอยู่รอบที่สองในการต่อสู้ ก็คงจะฟื้นกลับมาแล้ว”
ซูม่ออวี๋จ้องมองคนของสำนักฝึกหลวงพร้อมประสานมือ และกล่าวกับเฉินฉางเซิง “ข้ารอเจ้าที่ลำน้ำอีกฝั่ง”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาเดินไปยังริมคลอง ร่างกายเลือนรางเล็กน้อย แสดงวิชาเหยียบคลื่นของจวนพระราชวังหลี ล่องลอยไปเบื้องหน้า ใช้เวลาไม่นานก็ถึงยังฝั่งตรงข้าม
พลังจิตของเขาไม่มั่นคงเล็กน้อย ทว่าจำนวนพลังปราณแท้มิได้ลดลง วิชายิ่งยอดเยี่ยม
ตามเวลาที่หมุนไป ยิ่งนานยิ่งมีผู้เข้าสอบจำนวนมากออกมาจากป่า เริ่มข้ามลำคลอง มีนักเรียนที่ถึงฝั่งทิศใต้ด้วยความยากลำบาก มีนักเรียนที่ร่วงลงกลางลำคลอง หลังจากนั้นก็ถูกนักบวชพระราชวังหลีงมขึ้นมา นักเรียนที่ยืนอยู่ข้างริมตลิ่งยิ่งนานยิ่งเหลือน้อย เฉินฉางเซิงกับพวกอีกสองคนยิ่งนานยิ่งกลายเป็นสะดุดตา ในทางกลับกัน ทุ่งหญ้าทางฝั่งทิศใต้คนยิ่งนานยิ่งมากขึ้น มีคนที่สิ้นสุดการประลองยุทธ์นานแล้ว ดังเช่นโก่วหานสือกับลูกศิษย์เขาหลีซานทั้งสี่ ทยอยเดินออกมาจากศาลาบนอาคาร ไม่รู้ว่าพวกเขาเตรียมที่จะดูอะไร แต่คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับสำนักฝึกหลวง
พุ่มไม้สีเขียวที่สูงประมาณสองคนต่อกันอยู่ๆ ก็มีนกตกใจบินพรวดพราดออกมา หลังจากนั้นได้ยินเสียงกิ่งไม้แตกหัก บนพื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นฝั่งริมคลองฉวี่เจียงก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ ฝุ่นละอองคละคลุ้งกระจายขึ้นมา เห็นร่างกายที่สูงใหญ่วิ่งห้อออกมาจากป่า ตามเสื้อผ้าโดนกิ่งไม้เกี่ยวขาดนับไม่ถ้วน
เซวียนหยวนผ้อในที่สุดก็เดินออกมาจากป่าต้มเวลา
ระดับพลังจิตของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้มิได้แย่ มิเช่นนั้นก็คงไม่ถูกเผ่าพันธุ์เลือกให้มาร่ำเรียนที่จิงตู เพียงแค่เขาฝึกฝนทางด้านการรับรู้ของพลังจิตน้อยมาก ลักษณะนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ห้วงคำนึงแห่งจิตค่อนข้างอ่อน ให้เขาไปอยู่ในหุบเขาสุดลูกหูลูกตาไล่จับเหยื่อยังจะง่ายเสียกว่า ให้เขาออกจากเขาวงกตที่สร้างขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งจริงๆ
เฉินฉางเซิงกับพวกก็กังวลในจุดนี้ เวลานี้เห็นเขาออกมาจากป่าผืนใหญ่ ถึงแม้ท่าทางจะสิ้นไร้ไม้ตอกไปบ้าง ทว่าพวกเขากลับดีใจอย่างยิ่ง
เซวียนหยวนผ้อวิ่งไปหาพวกเขา เมื่อคืนเฉินฉางเซิงเพิ่งจะโกนหนวดให้เขา มีใบหน้าอ่อนเยาว์ปรากฏเหมาะสมกับอายุ เวลานี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเร่งรีบหรือเป็นเพราะเหตุใด ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งวันก็เกิดเป็นเคราอ่อนบางๆ ขึ้นมา อีกทั้งเป็นเพราะวิ่งตะบึงเหงื่อจึงเต็มใบหน้า ท่าทางใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ
“ข้ามาช้าไป ข้ามาช้าไปแล้ว”
เซวียนหยวนผ้อเดินไปข้างหน้าเฉินฉางเซิง คล้ายกับว่ารีบเร่งอย่างยิ่ง เพราะเขากลัวจะเสียเวลาเรื่องที่สำคัญ จึงยื่นมือเตรียมจะไปกุมมือของเฉินฉางเซิง
อาจารย์ซินเดินทางไปสำนักฝึกหลวงเป็นกรณีพิเศษเพื่อบอกใบ้หัวข้อ นี่ก็เป็นการยืนยันว่าในมุมมองของเขาหรือไม่ก็ใต้เท้ามุขนายก ด่านข้ามลำคลองของการประลองยุทธ์สำหรับเฉินฉางเซิงเป็นเรื่องที่ยากที่สุด สำหรับเรื่องนี้เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ว่าเซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่วได้เตรียมการไว้เป็นการส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เตรียมการเพื่อเขาโดยเฉพาะ
เซวียนหยวนผ้อเตรียมตัวจับมือเฉินฉางเซิงแล้วโยนข้ามฝั่งโดยตรง
ไร้เสียงเงียบเชียบ ถังซานสือลิ่วเคลื่อนไหวฝีเท้า เดินมายังด้านหลังของเฉินฉางเซิง เขากับเซวียนหยวนผ้อชัดเจนยิ่งนัก เฉินฉางเซิงจะต้องไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เป็นแน่ หลังจากนั้นจะต้องคัดค้าน หน้าที่ของเขาก็คือเมื่อเฉินฉางเซิงคัดค้าน จะต้องจับเขา หลังจากนั้นทำให้เขาสลบ
เฉินฉางเซิงเวลานี้เพิ่งจะรู้สึกตัว คาดเดาว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร เอ่ยว่า “อย่าได้วุ่นวาย”
เวลานี้เอง มือของถังซานสือลิ่วห่างจากหลังเขาเพียงแค่หนึ่งนิ้ว สามารถจัดการเขาเมื่อไหร่ก็ได้
เซวียนหยวนผ้อจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ไม่รู้สาเหตุ แต่พวกเรารู้ดี เจ้าจะต้องมีสาเหตุที่จะเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ แต่ข้าเอาอย่างไรก็ได้ รอการสอบใหญ่ปีหน้าก็ได้”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ ท่าทางของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจยังคงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนเวลาปกติ ทว่าท่าทางกลับมั่นคงแน่วแน่
เฉินฉางเซิงซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ทว่าเขาไม่อาจรับความรู้สึกที่หนักหน่วงนี้ได้ เอ่ยว่า “ข้ามีวิธี”
เขายังมิได้เอ่ยจบ เพราะว่ามือของถังซานสือลิ่วร่วงบนไหล่เขา เซวียนหยวนผ้อยื่นมือไปข้างหน้าประหนึ่งสายฟ้า สหายร่วมสำนักทั้งสองคนเข้าใจเฉินฉางเซิงเป็นอย่างยิ่ง ตัดสินใจจะไม่ให้โอกาสใดๆ ให้เขาพูดเกลี้ยกล่อมตน ทว่าหลังจากนั้น…พวกเขาพบว่าที่สิ่งเตรียมการไว้ยังมีจุดอ่อน เพราะว่าเซวียนหยวนผ้อมิได้จับมือของเฉินฉางเซิง
มือคู่เล็กยืนมาจากด้านข้าง จับมือของเซวียนหยวนผ้อ
นั่นเป็นมือของลั่วลั่ว