ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 138 ขี่นกกระเรียนลงลำคลองฝั่งทิศใต้

ลำคลองสีเขียวแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง ผู้เข้าสอบทั้งหมดอยู่ลำคลองฝั่งทิศใต้ มีเพียงเฉินฉางเซิงอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงลำพัง มองแล้วดูโดดเดี่ยวยิ่งนัก เรื่องขณะนี้และภาพทิวทัศน์ขณะนี้ หากเปรียบเทียบกับเรื่องป่าวประกาศที่แพร่สะบัดไปทั่วต้าลู่แล้วนั้น ช่างน่าเศร้าสลด หรืออาจจะรันทด ผู้คนต่างมองเขาด้วยความเวทนา ดูถูก เฉยเมย รอคอยให้เขาสิ้นสุดการสอบใหญ่ของตนเอง ไม่มีผู้ใดคาดคิด สิ่งที่นำมาก่อนนั้นคือเสียงร้องของนกกระเรียน

ก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าของจิงตูยามต้นฤดูใบไม้ผลิ ทันใดนั้นข้างใต้ก้อนเมฆก็มีแสงเส้นหนึ่งโผล่พ้นออกมา ด้านหน้าสุดของลำแสงก็คือนกกระเรียนขาวตัวหนึ่ง

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปตามนกกระเรียนขาว จ้องมองนกกระเรียนขาวบินข้ามผ่านบนท้องฟ้า บินไปในสวนแสงสุริยะ บินลงอยู่ด้านหน้าเฉินฉางเซิง ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน

“คงจะไม่ใช่” โก่วหานสือตกตะลึงเอ่ยออกมา

กวนเฟยไป๋เดินไปยังริมฝั่งหลายก้าว จ้องเขม็งนกกระเรียนขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยด้วยความตกใจ “คงจะไม่ใช่”

ชีเจียนอ้าปากค้างเล็กน้อย ยากยิ่งนักที่จะเปล่งประโยคนั้นออกมา

บนทุ่งหญ้าข้างฝั่ง มีผู้เข้าสอบจำนวนมากจ้องมองภาพนี้ ต่างก็ร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ใช่กระมัง”

เซวียนหยวนผ้อก้มศีรษะลง รู้สึกว่าหน้าร้อนผะผ่าว เพราะว่ารู้สึกขายหน้า

ถังซานสือลิ่วมองแล้วท่าทางราวกับเป็นปกติธรรมดา แต่ความเป็นจริงแล้วเก้อเขิน ในใจครุ่นคิดถึงกับต้องทำเช่นนี้เลยหรือ เพียงแค่ข้ามลำคลองแค่นั้นเอง ถึงกับต้องใช้วิธีการนี้เลยหรือ

จวงห้วนอวี่หัวเราะเยือกเย็นออกมา มิได้เอ่ยสิ่งใด

ซูม่ออวี๋คิดถึงเรื่องราวที่ง่ายดายที่สุด กล่าวด้วยความตกตะลึงงัน “เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ”

นกกระเรียนขาวร่วงลงมาจากฟากฟ้า กิริยาโต้ตอบของกลุ่มฝูงชนต่างก็ตกตะลึงและยากจะเชื่อ มีเพียงแค่ลั่วลั่วที่แตกต่างจากผู้อื่น

นางจ้องมองฝั่งตรงข้าม มือน้อยประกบอยู่ด้านหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม เอ่ยว่า “อาจารย์ช่างมีสติปัญญาเหนือผู้คนจริงๆ”

ประโยคนี้ดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งหมด

ถ้าหากนางมิใช่ไป๋ตี้ลั่วลั่ว ถ้าหากนางมิใช่องค์หญิงเผ่าปีศาจที่ไม่มีใครกล้ายุแหย่ นางจะต้องถูกดูถูกเหยียดหยามเป็นแน่ จนกระทั่งถูกทำร้าย

แม้แต่เซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่วต่างก็ไม่ได้ช่วยนาง

นี่เรียกว่าสติปัญญาหรือ

หรือว่านี่มิใช่เรื่องไร้ยางอายหรือ

เพราะเหตุใดนกกระเรียนขาวนี่ถึงบินมาหมื่นลี้จากทิศใต้เมื่อถึงการสอบใหญ่

สำนักฝึกหลวงจะต้องรู้หัวข้อของการสอบใหญ่วันนี้ก่อนเป็นแน่!

แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ไม่อาจจะตำหนิได้

ผู้คนจ้องมองฝั่งตรงข้าม ในใจครุ่นคิดเฉินฉางเซิงไม่ละอายที่จะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ

เพราะว่าต้องการเอาอันดับแรกประกาศแรก เฉินฉางเซิงยินยอมทำได้ทุกเรื่อง

เขาเดินไปยังด้านหน้าของนกกระเรียนขาว ยื่นมือไปลูบไล้คอของมันด้วยความใกล้ชิด เอ่ยไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วนของสองฝั่งคลองฉวี่เจียง จึงพลิกกายขี่บนนกกระเรียนขาว

นกกระเรียนขาวกระพือปีกเบาๆ บินขึ้นไป

มีสายลมเกิดขึ้นด้านข้างลำคลอง พัดเศษหญ้าขึ้นเบาๆ โบกพัดน้ำของลำคลองสีเขียวกระเพื่อม

ผ่านไปชั่วครู่ เฉินฉางเซิงก็ขี่นกกระเรียนมายังกลางท้องฟ้า ระยะทางห่างจากพื้นดินมาเรื่อยๆ จากคลองฉวี่เจียงมองขึ้นไปราวกับว่าเป็นสายรัดที่ทำมาจากหยกก็มิปาน

สายลมกระทบบนหน้าของเขา ให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย และชุ่มชื่น

ถ้าหากเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ ขี่นกกระเรียนบินมายังที่สูงเช่นนี้ ยากที่จะไม่ตื่นตระหนกและหวาดกลัว แต่เขามิได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะว่าเขามีประสบการณ์มาก่อน เขามีประสบการณ์ในการบินอยู่บนท้องฟ้าสูงเพียงผู้เดียว เมื่อครั้งเยาว์วัย เคยขี่นกกระเรียนขาวตัวหนึ่งไปยังยอดเขาด้านหลังเมืองซีหนิงที่มีเมฆหมอกล่องลอยอยู่เต็มไปหมด

นกกระเรียนขาวในปีนั้นก็คือนกกระเรียนขาวที่อยู่ข้างใต้ร่างกายเขาตอนนี้

เมื่ออายุสิบขวบ ทุกครั้งที่นกกระเรียนขาวไปส่งจดหมายและของขวัญที่เมืองซีหนิง เขากับนกกระเรียนขาวมักจะไปยอดเขาเพื่อเล่นหรือไม่ก็ไปหาสมุนไพร

เพียงแค่ว่าหลังจากอายุสิบเอ็ดปี นกกระเรียนขาวก็ไม่ได้มาเมืองซีหนิงอีกเลย จนกระทั่งก่อนหน้านี้ เพิ่งพบกับเขาที่จิงตู

สายลมหนาวปะทะเขาบนใบหน้า เขาหรี่ดวงตาเล็กน้อย ไม่ได้มองลงไปยังลำคลองสีเขียวบนพื้นดินกับป่าเขา แต่ว่ามองไปยังที่ไกลออกไป

เขาชื่นชอบความรู้สึกการขี่นกกระเรียนบิน ความรู้สึกชนิดนี้นานแล้วไม่ได้สัมผัส

ขณะนี้ ร่างกายของเฉินฉางเซิงมีพลังปราณแท้จำนวนมาก ถึงแม้ไร้หนทางใช้ แต่เขาคิดว่าตนนั่นเป็นคนมีเงิน เป็นเศรษฐีร่ำรวย อีกทั้งเป็นคุณชายที่ไม่อาจเปิดถุงเงินได้ แต่ว่าสถานที่ที่เขาจะไป ก็คือฝั่งทิศใต้ของคลองฉวี่เจียง ช่างเป็นความรู้สึกล้ำค่า ขี่นกกระเรียนลงฝั่งลำคลอง

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ คลองฉวี่เจียงมิใช่แม่น้ำวั่งชวนและแม่น้ำแดง ความกว้างของลำคลองมีขอบเขต ระยะห่างเพียงแค่หลายสิบจั้ง อีกทั้งนี่ยังเป็นการเข้าร่วมการสอบใหญ่ และอยู่ในระหว่างการเดินทาง นกกระเรียนขาวถึงแม้จะโบยบินด้วยความเชื่องช้า ระยะเวลาก็ผ่านไปไม่นาน บินลงมายังทุ่งหญ้าฝั่งตรงข้าม

เฉินฉางเซิงลงมาจากร่างกายของนกกระเรียนขาว ทำมือประสานขอบคุณ ราวกับทำต่อผู้อาวุโสก็มิปาน

ลั่วลั่วเดินไปต้อนรับ ยินดีอย่างยิ่ง เห็นนกกระเรียนขาวก็รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย

บิดานางกล่าวไว้ว่านกกระเรียนขาวมีไอเทพ อีกทั้งยังแซ่ไป๋เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ในเมืองไป๋ตี้จึงไม่มีใครขี่นกกระเรียนขาว ตั้งแต่นางเยาว์วัยพบเจอกับสัตว์อสูรจำนวนมาก ทว่าน้อยอย่างยิ่งที่จะพบเจอกับนกกระเรียนขาว ครั้งก่อนพบเจอเมื่อการชุมนุมไม้เลื้อย มีความคิดอยากจะใกล้ชิดมาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงมองไปยังเฉินฉางเซิง ใช้สายตาถามว่าลูบคล้ำสักหน่อยได้หรือไม่

นางรู้ว่านกกระเรียนขาวตัวนี้มิใช่ของอาจารย์ แต่นางคิดว่านกกระเรียนขาวตัวนี้ที่จริงแล้วเป็นของอาจารย์ ตนเป็นนักเรียนของอาจารย์ คิดว่าคำขอร้องนี้มิได้เกินไป

ถึงอย่างไรก็เป็นองค์หญิงเผ่ามาร นกกระเรียนขาวกับลมปราณบนร่างกายนางมีบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกัน หรืออาจจะกล่าวว่าหวาดกลัว ไม่รั้งรอให้เฉินฉางเซิงแสดงความคิดเห็น เสียงนกกระเรียนดังกังวาน กระพือปีกขึ้น บินไปยังท้องฟ้าสูง

เฉินฉางเซิงโบกมือเพื่อเป็นการอำลา

ลั่วลั่วรู้สึกเสียใจ ทว่ารู้สึกขอบคุณนกกระเรียนขาวที่ส่งอาจารย์ข้ามลำคลอง จึงตั้งใจโบกมือเพื่อแสดงความขอบคุณ

เสียงนกกระเรียนค่อยๆ หายไป

บนทุ่งกว้างของคลองฉวี่เจียงทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ

นี่นับได้ว่าอะไร

นี่คือการสอบใหญ่หรือว่าเป็นการละเล่น เพราะว่าต้องการข้ามลำคลองหลายสิบจั้ง พวกผู้เข้าสอบของทุกสำนักต่างก็ใช้วิธีการที่ใช้ความสามารถทั้งหมดของตน ผลลัพธ์ก็คือเฉินฉางเซิง…คาดไม่ถึงว่าจะขี่นกกระเรียนข้ามมา!

สิ่งสำคัญก็คือ คาดไม่ถึงว่าเขาขี่จะเป็นนกกระเรียนขาวตัวนั้น!

ใช่แล้ว นกกระเรียนขาวตัวนั้นมีชื่อเสียง มีคนจำนวนมากต่างก็รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มที่มาจากทางทิศใต้

นี่คือนกกระเรียนขาวของสวีโหย่วหรง

มีคนจำนวนมากต่างสังเกตเห็น หลังจากนกกระเรียนขาวตัวนั้นจากไปแล้ว มันมุ่งไปยังทิศใต้

เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ทางทิศใต้

ผู้คนจ้องมองเฉินฉางเซิง ท่าทางแปลกประหลาดสับสน

โดยเฉพาะบรรดาลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และพรรคฉางเซิง สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหลายวันก่อนนกกระเรียนขาวตัวนี้ได้มายังจิงตูแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกเฉินฉางรั้งรอไว้

ยากที่จะไม่ให้ผู้คนคาดเดา หรือว่านี่เป็นสวีโหย่วหรงให้นกกระเรียนขาวรีบบินหมื่นลี้มาจากทางทิศใต้ เพื่อมาช่วยว่าที่สามีโดยเฉพาะอีกแรง

ลั่วลั่วจับแขนเสื้อของเฉินฉางเซิง ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยความดีใจ กล่าวชื่นชมสติปัญญาของเขาไม่หยุดหย่อน

การชื่นชมของนางมาจากใจจริง แม้แต่เฉินฉางเซิงก็เริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมา

ถังซานสือลิ่วตบไหล่ของเขา มิได้เอ่ยสิ่งใด

เซวียนหยวนผ้อจ้องมองเขาส่ายศีรษะ ปรารถนาจะเอ่ยว่าเช่นนี้ไม่ดี กลับคิดว่าเขานับว่าเป็นอาจารย์ปู่ของตน จึงทำได้เพียงแค่เงียบด้วยความอึดอัดใจ

ซูม่ออวี๋เดินเข้ามา จ้องมองยังเขาพลางเอ่ยถามอีกครั้งหนึ่ง “เช่นนี้ก็ได้หรือ”

เขาเอ่ยถามด้วยความตั้งใจ แน่นอนว่ามิได้เยาะเย้ยถากถาง อีกทั้งถามเฉินฉางเซิงว่าทำเช่นนี้ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบจริงๆ หรือ

ปัญหานี้ก็เป็นความสงสัยในใจของนักเรียนจำนวนมากเช่นกัน

มีผู้เข้าสอบของสำนักต้นไหวไปตามหาผู้คุมสอบ ท่าทางเคร่งขรึมกล่าวอะไรบางอย่าง

พวกนักเรียนจ้องมองไปทางนั้น เพื่อรอคอยผลลัพธ์สุดท้าย

เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ผู้คุมสอบเดินไปยังด้านหน้าของนักเรียนสำนักฝึกหลวง จ้องมองเฉินฉางเซิงเอ่ยถามออกมา “เช่นนี้ไม่ได้”

วันนี้ผู้ที่รับผิดชอบคุมสอบกับนักบวชพระราชวังหลีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยมีครึ่งหนึ่งมาจากสำนักการศึกษากลาง เป็นธรรมดาที่จะดูแลสำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิง เพียงแค่การดูแลนั้นเป็นแค่ในรายละเอียดปลีกย่อย ดังเช่นน้ำชา ดังเช่นหมึก และตำแหน่งที่นั่ง เวลานี้มีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองเฉินฉางเซิงขี่นกกระเรียนข้ามลำคลอง ปรารถนาจะดูแลอย่างไรก็ไร้หนทาง

เฉินฉางเซิงต้องมีความมั่นใจเป็นธรรมดา ถึงได้จัดการเช่นนี้

“ในกฎระเบียบไม่ได้บอกว่าข้ามเช่นนี้ไม่ได้”

เขาชี้ไปยังผู้เข้าสอบผู้หนึ่งพลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เขาเคยถามผู้คุมสอบเมื่ออยู่ที่ฝั่งตรงข้าม กล่าวว่าถ้าหากใช้พาหนะของผู้อาวุโส แล้วขี่ข้ามก็นับว่าผ่านใช่หรือไม่ ผู้คุมสอบมิได้คัดค้าน”

จื่อชี่หยาลูกศิษย์ของพรรคฉางเซิงตะลึงงัน ในใจคิดว่าประโยคที่ถามของตนนั้นกลับเป็นช่วยเหลือเขาหรือ แต่เมื่อถูกสายตาของฝูงชนจ้องมอง เขากลับไร้หนทางปฏิเสธว่ามิได้เอ่ยประโยคนั้น

ผู้คุมสอบได้ยินประโยคนี้ก็ตะลึงงัน หลังจากนั้นยิ้มแล้วส่ายศีรษะ มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก

มองเห็นเหตุการณ์นี้ เป็นธรรมดาที่จะมีคำพูดของผู้เข้าสอบคัดค้านดุเดือดรุนแรง โก่วหานสือกับคนอื่น เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย จวงห้วนอวี่ต่างก็มิได้เอ่ยสิ่งใด

ซูม่ออวี๋กล่าวว่า “ถึงแม้…นี่เป็นการฉกโฉยโอกาสอย่างแน่นอน แต่โดยสรุปแล้วมิได้เป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบ ข้าไม่มีความคิดเห็น”

เป็นตัวแทนของสำนักจวนราชวังหลี ประโยคของเขาอย่างน้อยจะต้องมีความน่าเชื่อถือ บวกกับจวงห้วนอวี่และนักเรียนทั้งสองของสำนักเด็ดดารามิได้เอ่ยสิ่งใด เสียงการคัดค้านจึงค่อยๆ ลดลง มีเพียงแค่นักเรียนหนุ่มที่มาจากทางทิศใต้ยังคงรบเร้าให้ผู้คุมสอบถอดคุณสมบัติของเฉินฉางเซิงออก

“เอ๊ะ คนพวกนั้นล่ะ”

ทันใดนั้นก็มีคนพบว่า บริเวณริมลำคลองไร้เงาของเฉินฉางเซิงและคนอื่นแล้ว

ทุกคนหันกายกลับไปมอง ไม่รู้ว่าคนของสำนักฝึกหลวงจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ใกล้จะเข้าทุ่งหญ้าของพื้นที่กลางป่าแล้ว

นักเรียนหนอนหนังสือของสำนักต้นไหวผู้หนึ่งมองเงาเหล่านั้น กล่าวเสียงเยือกเย็น “ช่างไร้ยางอายที่สุด”

เฉินฉางเซิงมิได้รู้สึกว่าการขี่นกกระเรียนข้ามลำคลองเป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ตนจะต้องภาคภูมิใจ ก็เหมือนที่คนบนโลกมักจะกล่าวว่าฉลาดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องยากที่จะประเมินความรู้สึกได้ชัดเจน เพียงแค่ว่าการสอบใหญ่เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขาเกินไป พลังของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาจะต้องนำข้อได้เปรียบทั้งหมดออกมาใช้

เพียงแค่สามารถไปถึงจุดมุ่งหมาย อีกทั้งยังไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น เช่นนั้นแล้วความคิดของผู้อื่นหาได้กระทบต่อเขาไม่ เขาจะต้องเอาประกาศแรกอันดับแรก ตอนนี้ข้อได้เปรียบที่สุดก็คือไร้คนล่วงรู้ระดับวิทยายุทธ์ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร แม้แต่ลั่วลั่วก็ยังไม่รู้ เวลาเดียวกัน มีความช่วยเหลือจากสำนักการศึกษากลาง ทำให้เขาเข้าใจระดับวิทยายุทธ์ของนักเรียนที่เหลืออย่างชัดเจน

ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาเห็นหนุ่มน้อยผู้นั้นอยู่ในศาลา เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ

หนุ่มน้อยผู้นั้นลึกลับอย่างยิ่ง อีกทั้งคล้ายกับว่ายากจะประเมินได้

ภายใต้สายลมฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น หนุ่มน้อยผู้นั้นสวมเสื้อชุดเดียว ม้วนแขนเสื้อขึ้น แขนโผล่ออกมา คล้ายกับว่ามิได้สะทกสะท้านกับความหนาวเย็น

ในเอกสารที่สำนักการศึกษากลางได้มอบให้ หนุ่มน้อยผู้นี้เป็นนักเรียนจากสำนักเด็ดดารา นามว่าจางทิงเทา

เฉินฉางเซิงเชื่อว่านี่มิใช่ชื่อจริงของเขา

หนุ่มน้อยผู้นี้เดิมทีมิได้เข้าร่วมการสอบความรู้ ข้ามผ่านป่ากว้างใหญ่ไพศาลเร็วที่สุด อีกทั้งยังข้ามคลองฉวี่เจียงมาก่อน มาถึงยังป่า เดินไปยังศาลา หลังจากนั้นก็มิได้ขยับเขยื้อนอีกเลย

ไม่ว่าจะเป็นโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย หรือว่าจะเป็นลั่วลั่วข้ามลำคลอง เขาที่ขี่นกกระเรียนข้ามลำคลอง บนทุ่งหญ้าริมลำคลองจะคึกคักอย่างไร เขาก็ไม่ออกมาจากศาลา

หนุ่มน้อยผู้นี้ถึงขนาดที่ว่ามิได้ปรายตามองไปยังริมลำคลองแม้แต่น้อย

เขายืนโดดเดี่ยวอยู่ในศาลา ด้วยเหตุนี้ศาลากับเทือกเขาจึงโดดเดี่ยวขึ้นมา

คนที่โดดเดี่ยวเช่นนี้ คงจะมิได้ตั้งชื่อว่าทิงเทา (ฟังเสียงคลื่นกระหน่ำ)

อยู่ริมฝั่งฟังเสียงคลื่น คล้ายกับว่ามิได้หยาบคาย ในความเป็นจริงแล้วในจิตใจอยากจะร้องเอะอะโวยวาย

“ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ชื่อจริงของเขาก็คงจะเป็นเจ๋อซิ่ว (พับแขนเสื้อ)”

ถังซานสือลิ่วทอดสายตามองหนุ่มน้อยที่อยู่ในศาลา ท่าทางเคร่งขรึมอย่างยิ่ง “…นี่คือสุนัขป่าที่มาจากทิศเหนือ”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset