ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 14 สวีโหยว่หรง

โลกปัจจุบัน นิกายหลวงได้สืบทอดปณิธานของคัมภีร์สวรรค์ ศรัทธาในศาสนาเดียวกัน สาเหตุเพราะเทียนซูอยู่ที่จิงตู แท่นคำสอนก็อยู่ที่จิงตู ก่อนราชวงศ์ต้าโจว สังฆราชต่างก็เป็นชาวซางโจว เมื่อซางโจวล่มสลายต้าโจวได้รับการสถาปนา สังฆราชจึงจะต้องเป็นชาวต้าโจวอย่างแน่นอน ราชวงศ์หวังก่อตั้งจิงตูให้เป็นศูนย์รวมของอำนาจ และได้มอบหมายให้ปกปักรักษานิกายหลวง จึงเป็นธรรมดาที่จะกลายเป็นศูนย์กลางของโลก

ในยุคของต้าซางเมื่อเปรียบเทียบกับต้าโจว ต้าลู่ทางทิศใต้มีอิทธิพลรวมกัน ทุกอาณาจักรทุกสำนักได้ถ่ายทอดทุกคำสั่งไปยังดินแดนของตน แม้จะค่อนข้างหละหลวม แต่ว่าจำนวนผู้แกร่งกล้าก็มีไม่น้อย จนกระทั่งค่อยๆ ล้ำหน้าต้าโจว ในนั้นที่โดดเด่นก็จะมีสถานศึกษาหนานซีของเทือกเขาเทพธิดา รวมทั้งพรรคฉางเซิงและยังมีตระกูลชิวซานที่นับว่ามีอิทธิพลเกรียงไกรที่สุด

หลักจากการสู้รบที่น่าเวทนาระหว่างมนุษย์และเผ่ามารสิ้นสุดลง ทางใต้ได้เสียสละกองกำลังจำนวนมากมาย เป็นธรรมดาที่ปรารถนาจะได้รับตำแหน่งที่ตนควรจะได้รับ พวกเขาคิดว่ามนุษย์บนโลกใบนี้มีกรรมสิทธิ์ในสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งสุสานเทียนซูเหล่านั้นร่วมกัน ไม่ควรยึดกุมโดยต้าโจวเพียงลำพัง ในทำนองเดียวกัน อำนาจในการอธิบายของคัมภีร์สวรรค์ไม่สามารถทำให้สังฆราชเป็นตัวแทนในการปกครองศาสนาแบบดั้งเดิมได้

เพราะเหตุนี้ บรรดาผู้มีอำนาจของทิศใต้ ส่วนหนึ่งของนิกายหลวงยังแบ่งออกเป็นนิกายหนานฟาง

นิกายหนานฟางยังคงอยู่ในระบบของนิกายหลวง

เคารพศรัทธาแค่เพียงใต้เท้าผู้เป็นดูแลศาสนาเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ แต่ความเป็นจริงแล้วธุระต่างๆ เทพธิดาจะเป็นผู้ดูแล

ทิศใต้มีเทพธิดา ธรรมดาแล้วล้วนแต่เป็นผู้ที่บรรลุขั้นสูงและเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ผู้ที่เคยดำรงอยู่ในตำแหน่งเทพธิดาต่างปรารถนาให้บรรดาอำนาจทั้งมวลค้ำชูทิศใต้ให้เกิดความสมดุล ไม่มีกองทัพที่เกรียงไกรรวมถึงผู้สนับสนุน ดังนั้นที่จริงแล้วอำนาจและตำแหน่งจึงไม่เท่ากับสังฆราชทางทิศเหนือเป็นธรรมดา แต่ว่ายังคงเป็นบุคคลที่น่าเคารพสูงสุดของทิศใต้ ทางด้านจิตใจก็สามารถต่อต้านสังฆราชทิศใต้ที่มีฐานะคล้ายคลึงกันได้

ผู้ที่เคยดำรงอยู่ในตำแหน่งเทพธิดาทิศใต้ล้วนแต่เกิดที่สถานศึกษาหนานซี เช่นนี่ก็เพื่อที่จะสืบทอดสำนักที่เทือกเขามานานหลายปี เรียกว่าเทพธิดาแห่งเทือกเขา ผู้นำที่เป็นเทพธิดาเทพแห่งเทือกเขาต่างล้วนเป็นหญิงสาวจากทิศใต้ตลอดมา หลายพันปีผ่านมาไม่เคยมีข้อยกเว้น เมื่อมาถึงวันนี้ในที่สุดก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง

เพราะว่าตอนนี้สถานศึกษาหนานซีมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว

เด็กสาวคนนั้นนามว่าสวีโหยว่หรง ยังเป็นสายเลือดหงส์กลับชาติมาเกิด มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ถูกยกให้เป็นที่หนึ่งในโลก แตกฉานในเนื้อหาของคัมภีร์เต๋า อายุสิบสองเริ่มเดินทางไปเทือกเขาเทพธิดา ยิ่งแจ่มแจ้งในเรื่องของคัมภีร์สวรรค์ บรรดาผู้อาวุโสแห่งเทือกเขาเทพธิดา ไม่ได้สนใจว่านางคือชาวต้าโจว ประกาศให้ทั่วหล้าได้รับรู้ รับนางเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสถานศึกษาหนานซี บรรยากาศเช่นนี้ ถ้าหากไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย เด็กสาวที่ชื่อสวีโหยว่หรงจะต้องเป็นเทพธิดาคนต่อไปของศาสนาทิศใต้ จะต้องกลายเป็นผู้นำที่ต่อต้านกับสังฆราชทิศเหนือ!

ความมืดยามราตรีที่มืดสนิท ดวงดาวเต็มท้องฟ้า คล้ายกับจะไม่เคลื่อนย้ายไปที่ใดอีกตลอดกาล ทั้งยังคล้ายกำลังเคลื่อนย้ายอยู่ในทุกเวลาทุกนาที เงียบสงบจนทำให้ผู้คนลุ่มหลงจนกระทั่งจิตผวา เมฆหมอกราตรีบนเทือกเขาลอยผ่านบางเบาทั่วทั้งผืนเงียบสงบ ทันใดนั้น เสียงร้องของนกกระเรียนที่ใสกังวานทะลุผ่านเมฆตกลงมา ผ่านไปชั่วครู่ นกกระเรียนสีขาวตัวหนึ่งร่วงลงมาจากฟากฟ้า

นกกระเรียนขาวภายใต้ความมืดยามราตรี ถูกแสงของดวงดาวส่องสว่างดูแล้วเหมือนไม่ใช่ของจริง ราวกับว่าทำมาจากกระดาษมิปาน ไม่มีคราบสกปรกแม้แต่เส้นเดียว เสียงร้องของนกกระเรียนกระจายจากหน้าผาของเทือกเขาไปถึงท้องฟ้าที่เงียบสงัด ทะลุผ่านเมฆตกลงมา พลันบินออกไปทำให้เมฆหมอกสั่นสะเทือน สาเหตุอาจจะเพราะหมดเวลาแล้ว ความมืดยามราตรีก็ค่อย ๆ หายไปเพียงแค่นี้ ขอบฟ้าทางด้านตะวันออกปรากฏสีขาว แสงยามเช้าตรู่ส่องลงมายังโลกนี้อย่างกะทันหัน

เด็กสาวที่นั่งอยู่ที่หน้าผาของเทือกเขา ปลดถุงผ้าไหมออกมาจากบนตัวของนกกระเรียนขาว ดึงจดหมายฉบับนั้นออกมา เปิดจดหมายออก อ่านอย่างสงบ ขณะที่อ่านจดหมาย คิ้วบางประหนึ่งภาพวาดขมวดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว เวลาส่วนใหญ่สงบนิ่ง แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่กำลังสะท้อนนัยน์ตาสุกสว่างสดใสประหนึ่งน้ำของทะเลสาบ ระหว่างคิ้วและตางดงามและยังมีความอ่อนเยาว์ของใบหน้าที่ไม่ได้ถดถอย ทว่ากลับมิได้โง่เขลา

แสงยามเช้าตรู่ค่อยๆ ทวีขึ้น ทางทิศใต้ค่อนข้างเปียกชื้น ด้วยเหตุนี้หมอกจึงตกมาอีก ลำแสงถูกความเปียกชื้นของไอน้ำทำให้แตกกระจาย เมื่อตกกระทบลงบนใบหน้าของนาง แปรเปลี่ยนเป็นยิ่งนุ่มนวล ถึงแม้ใบหน้าของนางจะเปลี่ยนไปไม่มาก แต่กลับทำให้งดงามยิ่งขึ้น ในความงดงามถึงขนาดที่ว่าแฝงไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์

“เจ้าเด็กคนนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง กล่าวอยู่ตลอดว่าจะมาถอดถอนการหมั้นหมาย แต่เพราะว่าสาเหตุที่ไม่มีใครเข้าใจ จึงไม่ถอนการหมั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าเขากำลังเล่นกลอุบายอะไรอยู่ เดิมทีข้าคาดว่าเขาคงคิดว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงตั้งใจกล่าวเช่นนั้น แต่ว่าเรื่องราวได้ผ่านพ้นไปกลับมิใช่ เหตุเพราะขณะเขาได้พูดประโยคเหล่านั้นช่างสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่มีความรู้สึกโกรธแค้นใดๆ”

“หญิงรับใช้อาวุโสเฝ้ามองเขามาหลายวัน ได้ยินว่าเช้าตรู่เวลายามห้าทุกวันเจ้าเด็กคนนี้จะตื่นนอนตรงเวลา ทำสิ่งใดเอาจริงเอาจัง เหมือนกับหุ่นท่อนไม้ แต่ว่ารักความสะอาดสะอ้าน ฟังแล้วคล้ายกับคนวิปริตหน้าเนื้อใจเสือที่เมื่อก่อนคุณหนูเคยเล่าให้ข้าฟัง ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น เอาเถิด คุณหนู ข้ายอมรับว่า เจ้าหนุ่มคนนั้นที่จริงแล้วหน้าตาก็ไม่ได้น่าเกลียด เวลาที่ข้าได้คุยกับเขา รู้สึกว่าเขาทั้งน่ารำคาญทั้งน่าชื่นชม ทำให้ผู้คนอยากใกล้ชิด แต่นี่ยิ่งทำให้น่ากลัว เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ข้าเจอกับเขา ไม่ใช่หรือ”

“เรื่องหนังสือสมรส เจ้าเด็กคนนั้นคงไม่ได้ไปคุยกับคนภายนอก ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนโง่หรือคนฉลาด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนในตระกูลก็ส่งคนไปตามดูเขาตลอด ข้าคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเสแสร้งอย่างยิ่ง ความคิดล้ำลึก แผนการมากมาย ข้ามองสถานการณ์อันใกล้นี้ ถ้าเขายังคงกวนใจเช่นนี้ ฮูหยินคงจะเตรียมการที่จะจัดการบางอย่าง”

“คุณหนู ถึงแม้ข้าจะคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นโทษไม่ถึงตาย แต่คิดดูว่าเขานำหนังสือสมรสขึ้นมาต่อหน้า ต่อสายตาเย็นชาของคนในจวน ลักษณะท่าทางมิได้เกรงกลัวประหนึ่งมีคนคอยหนุนหลัง คิดว่าเขาช่างน่าเกลียดยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ได้ยินมาว่าตระกูลชิวซานปีหน้าจะมาจิงตูเพื่อมาสู่ขอท่าน ถ้าหากตอนนั้นมาถึงเจ้าคนไม่มีสัจจะก่อความไม่สงบจะทำอย่างไร”

เด็กสาวนั่งอยู่ริมหน้าผา จ้องมองจดหมายด้วยความเงียบงัน ผ้าที่พาดอยู่บนไหล่ปลิวสะบัดไปตามสายลมยามเช้าตรู่ เส้นผมสีดำประหนึ่งเส้นไหมปลิวตามลม ปะทะเข้ากับใบหน้าเบาๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกเจริญหูเจริญตากับความสวยงามและความอ่อนเยาว์ที่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม

หลังจากอ่านจดหมายเรียบร้อยแล้ว นางนิ่งเงียบชั่วครู่ พึมพำกับตนเอง “คาดไม่ถึงว่าจะมาจิงตูจริงๆ”

ขณะนางอ่านจดหมาย นกกระเรียนขาวตัวนั้นรออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ถึงแม้จะคุกเข่า ก็สูงเท่าครึ่งหนึ่งของคน ในเวลานี้นางได้พับจดหมายเข้าหากัน นกกระเรียนขาวหันตัวไป ไม่รู้ว่าไปคาบพู่กันหนึ่งด้ามมาจากที่ไหน ปลายพู่กันจุ่มลงไปจนสุดปลายแต่กลับไม่มีน้ำหมึกหยดไหล น้ำหมึกนั้นไม่รู้ว่าทำมาจากที่ใด คาดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นหอมเย็นกระจายออกมาเช่นนี้

เด็กสาวยิ้มอ่อนๆ ยื่นมือลูบไปลูบมาบนลำคอที่เกลี้ยงเกลาของนกกระเรียนขาว รับเอาพู่กันมาเพื่อที่จะเขียนจดหมายตอบกลับ แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเขียนสิ่งใด

นางกับท่านปู่ใกล้ชิดกันตั้งแต่เยาว์วัย ถ้าหากว่าท่านปู่ไม่จากไป บางทีเมื่อนางอายุสิบสองปีก็คงไม่ต้องจากจิงตูเพื่อที่จะมาศึกษาหาความรู้ที่สถานศึกษาหนานซี นกกระเรียนขาวที่อยู่ข้างๆ ตัวนี้ ก็เป็นท่านปู่ทิ้งไว้ให้กับนาง ถ้าหากเป็นเรื่องอื่นที่ท่านปู่ให้นางสานต่อ นางจะต้องปฏิบัติตามอย่างแน่นอน แต่…การหมั้นหมายคงจะทำไม่ได้เป็นแน่

นักพรตหนุ่มจากซีหนิงคนนั้นคงจะแซ่เฉินกระมัง

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดย้อนกลับไปเรื่องที่เคยได้ยินในวัยเยาว์ พบว่าไม่มีความทรงจำใดๆ กับนักพรตหนุ่มคนนี้เลย

นางจำได้ว่าหนังสือสมรสฉบับนั้นท่านปู่เชิญให้ใต้เท้าสังฆราชวิเคราะห์ให้โดยเฉพาะ มีเพียงแค่ฝ่ายชายถึงจะสามารถถอนการหมั้นหมายได้ ทำให้คิดไปถึงคำพูดของซวงเอ๋อร์ในจดหมาย ไหล่เรียวเล็กสั่นไหวเล็กน้อย ใคร่ครวญเงียบๆ นักพรตหนุ่มคนนั้นเป็นคนเสแสร้งไม่มีสัจจะจริงรึ ยังจำได้เมื่อครั้งเป็นเด็กรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น

นางรู้ว่าจิงตูมีผู้คนจำนวนมากมาย รวมถึงบิดาก็อยู่ในนั้น ล้วนแต่หวังว่าตนจะเป็นตัวแทนของต้าโจวกับทางทิศใต้ที่จะเกี่ยวดองกัน คงจะไม่ยินยอมให้นักพรตหนุ่มแซ่เฉินคนนั้นมากระทบกับทุกสิ่งอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะสังหารเขาก็เป็นได้

นางคิดว่านักพรตเต๋าหนุ่มคนนั้นโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง

เขาคงคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดเจ้าเล่ห์ สามารถรับผลประโยชน์มากมายจากจวนขุนพลเทพอย่างนั้นหรือ

คิดมาถึงข้อนี้ นางรู้สึกไม่ยินดี

ไม่ยินดี สำหรับนางแล้วเป็นความรู้สึกที่จะพบเห็นได้น้อยมาก เพียงแค่ไม่รู้ว่าเพราะนักพรตเต๋าหนุ่มคนนั้นไม่เข้าใจว่ารักตัวเองปกป้องตัวเอง หรือว่าจะเพราะ…

เอาเถิด นักพรตหนุ่มคนนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกน่ารำคาญเสียจริง

เอาเถิด ไม่ว่านักพรตหนุ่มคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไร การแต่งงานก็ต้องถอดถอนเป็นแน่

เพียงแค่…เหตุใดต้องทำร้ายเขากัน

เสียงร้องใสกังวาน นกกระเรียนขาวนำจดหมายที่นางเขียนทั้งสองฉบับทะลุผ่านเมฆไป สายลมยามเช้าตรู่คอยส่ง แสงยามเช้าตรู่เป็นเพื่อนเดินทาง บินมุ่งตรงไปยังจิงตูอันไกลโพ้น

เด็กสาวได้นำเอาพู่กันวางจุ่มลงแอ่งระหว่างก้อนหิน ยืดตัวลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อเดินไปยังริมหน้าผา เอามือพาดไว้ด้านหลัง

คิ้วและตาของนางยังคงอ่อนเยาว์ บุคลิกไม่ธรรมดา ไม่ได้กล่าวว่านางเหมือนกับเฉินฉางเซิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่และใจเย็นมากกว่าอายุอย่างยิ่ง แต่ว่านางมีสิ่งที่ทำให้บุคลิกลักษณะดูไม่ธรรมดา รูปร่างบอบบางอ่อนช้อย ยืนอยู่ริมหน้าผาถูกลมยามเช้าตรู่พัดโชยแผ่วๆ ให้ความรู้สึกลุ่มลึกดั่งน้ำ ตระหง่านดั่งเทือกเขา

ลุ่มลึกดั่งสายน้ำ ตระหง่านดั่งเทือกเขา โดยปกติแล้วจะใช้ในการบรรยายปรมาจารย์ที่ดำรงชีวิตหลายร้อยปี

นางปีนี้อายุสิบสี่ปี แต่ว่าก็เหมาะสมกับประโยคนั้น

ลมตอนเช้าตรู่ยังคงพัดโชยต่อไป พัดโชยบนไหล่ของนางกระจายไปถึงเสื้อผ้า บนไหล่มีเส้นผมสีดำปรกลงมา เส้นผมปลิวไสวบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์งดงามของนาง ทำให้นางยิ้มขึ้นมา

นางใช้เวลาเพียงแค่ห้าอึดใจ ลืมเลือนจดหมายก่อนหน้าฉบับนั้น ลืมของนอกกาย หลงเหลือเพียงแค่ความสงบเงียบ ดังนั้นจึงยิ้มขึ้นมา

รอยยิ้มของนางในฤดูใบไม้ผลิ ดั่งดอกไม้ทั่วทุกเทือกเขาและป่ากำลังเบ่งบาน

มีนกแปลกประหลาดบินมานับไม่ถ้วน ส่งเสียงร้องไม่หยุด จนกระทั่งมองเห็นเป็นหงส์คราม*จำนวนหนึ่ง

มีนกจำนวนมากมายเข้ามาทำความเคารพนาง

นางคือลูกหงส์ที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร

นางคือเทพธิดาของนิกายทิศใต้คนต่อไป

นางเป็นอันดับหนึ่งของการประกาศชิงอวิ๋น

นางคือสวีโหยว่หรง

นางยังคงไร้เดียงสา แต่ว่าความไร้เดียงสานั้นมิใช่ความดื้อด้าน แต่คือความใสซื่อบริสุทธิ์

รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความใสซื่อ แต่ความใสซื่อนี้มิใช่ความรู้สึก แต่คือความสุข

นางมิได้ใส่ใจผู้คนและเรื่องราวบนโลกนี้ คนบนโลกคิดว่าเกี่ยวข้องกับนาง แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวพันกัน ดังเช่นการหมั้นหมายที่นางเกือบจะลืมนั้น รวมไปถึงชิวซานจวินด้วย

นางยอมรับว่าศิษย์พี่ชิวซานจวินแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังดีเลิศยิ่งนัก ในสายตาของผู้คนเขาเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุด แต่เรื่องนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับนางเล่า

สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี แต่นางไม่ปรารถนา

แน่นอน นักพรตเต๋าหนุ่มคนนั้นนางก็ไม่ปรารถนา

สิ่งที่นางต้องทำตอนนี้มีเพียงแค่ยืนอยู่ริมหน้าผา เก็บยาสมุนไพร อ่านตำรา อ่านตำรา และก็อ่านตำราตลอดไป

ในหนังสือมีมหามรรคา ตำราหนึ่งม้วนดีกว่าความรักจนนับไม่ได้

หนึ่งใจของนางถวายแด่เต๋า ใครจะกล้าสั่นคลอนจิตใจของนาง

เฉินฉางเซิงออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งไปยังสำนักแห่งที่สองนับจากอันดับสุดท้ายของใบรายชื่อที่อาจารย์ให้

เขาอยากจะรู้ยิ่งนัก วันนี้คุณหนูสวีจะมีวิธีอะไรที่ทำให้ตนพ่ายแพ้

แน่นอน ถ้าหากว่าครั้งนี้พ่ายแพ้อีก เขาก็ไม่สั่นคลอน

เมื่อตอนที่เขาเยาว์วัย เขาทำเรื่องต่างๆ เช่นการอยู่เฝ้าระวังที่วัด เก็บกวาดหิมะ ปิดกั้นน้ำฝน กินโอสถ อ่านตำรา อ่านตำรา และก็อ่านตำรา

ในตำรามีมหามรรคา ตำราหนึ่งม้วนดีกว่าพันภูผาหมื่นสายน้ำ

หนึ่งใจของเขาศึกษาหาความรู้ ใครจะยับยั้งก้าวเดินของเขาได้

*หงส์คราม คือ นกชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ตระกูลหงส์ มีขนสีคราม มีหางลักษณะคล้ายกับนกยูง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset