ฝนที่เทกระหน่ำลงมาพลันหยุดลง แสงสว่างได้มาเยือนอีกครา ทรายที่เต็มพื้นใต้หอชำระธุลี ถูกน้ำฝนชะล้างจนเป็นร่องน้ำ มองแล้วประหนึ่งที่ราบสูงอยู่ติดกับมหาสมุทรทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ขึ้นชื่อผืนนั้น
บัณฑิตสำนักต้นไหวผู้นั้นล้มลงอยู่มุมกำแพง ชุดคลุมยาวถูกน้ำฝนและโลหิตทำให้เปียกชุ่ม
ลั่วลั่วเก็บแส้ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คล้ายกับว่ามิได้ลงมือ มีเกียรติสูงส่ง ยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใคร
“องค์หญิง…ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสี่สินะ”
เจ้าสำนักเด็ดดาราที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองภาพที่อยู่ข้างล่าง เอ่ยอย่างปลงๆ “นี่จะเกินไปเสียหน่อยแล้ว”
ที่จริงเกินไปยิ่งนัก มิได้เอ่ยว่าการต่อสู้ของลั่วลั่วสนามนี้ได้แสดงฝีมือประณีตเกินไป ทางกลับกัน นางลงมือมิได้ประณีตวิจิตรแม้แต่น้อย มีลมฝนเทลงมากระหน่ำเสียดื้อๆ อาศัยพลังกำลังที่แข็งแกร่งบดขยี้คู่ต่อสู้ ง่ายดายสุดขีด คำที่เรียกว่าจักรพรรดิลงมือท่ามกลางสายฝน ก็คงจะเป็นเช่นนี้
ถ้าหากลั่วลั่วพบกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับวิทยายุทธ์สูงส่ง ดังเช่นโก่วหานสือที่ผ่านขั้นทะลวงอเวจี เป็นธรรมดาที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ท่ามกลางผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มีระดับวิทยายุทธ์เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนพลังปราณแท้หรือว่าระดับความบริสุทธิ์ รวมถึงความบ้าระห่ำในการปล่อยพลัง ล้วนแต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
สายเลือดพรสวรรค์ของแซ่ไป๋ตี้คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังถึงระดับนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชมการต่อสู้อยู่บนชั้นสองตกตะลึงไร้คำเอื้อนเอ่ย ในใจครุ่นคิดว่าการวิเคราะห์ของหอความลับสวรรค์มิได้ผิดเพี้ยน ในรุ่นคนหนุ่มสาว นอกจากสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวินที่สามารถเทียบกับองค์หญิงลั่วลั่วได้ ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติมีสายเลือดพรสวรรค์สามารถเทียบกับองค์หญิงได้
การต่อสู้ของการสอบใหญ่ถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เริ่มค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด ละครที่สนุกก็ได้แสดงต่อไป
หลังจากลั่วลั่วต่อสู้ชนะบัณฑิตแห่งสำนักต้นไหวผู้นั้น ต่อมาก็เป็นการต่อสู้ของเจ๋อซิ่วหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่ากับกวนเฟยไป๋ การต่อสู้สนามนี้ดึงดูดสายตาของทุกคน เฉินฉางเซิงก็ไม่เว้น เขาถึงขนาดว่าให้ความสนใจมากกว่าผู้เข้าสอบคนอื่น เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยได้ถอนตัวในการแข่งขันไปแล้ว คนที่ทำให้เขารู้สึกระมัดระวังไม่สงบ เพราะอาจจะคุกคามทำร้ายลั่วลั่วก็เหลือเพียงแค่เจ๋อซิ่วคนเดียว
ประตูของหอชำระธุลีปิดลงอีกครั้ง การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น
การต่อสู้ของเจ๋อซิ่วกับกวนเฟยไป๋เข้าสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดตั้งแต่แรกเริ่ม ค่ายกลกั้นเสียงของหอชำระธุลีพลันถูกทำลายลง พวกผู้เข้าสอบที่อยู่ด้านนอกหอยังไม่ทันได้เตรียมใจ ก็ได้ยินเสียงกังวานใสติดต่อกัน ผู้เข้าสอบที่มีพลังจิตค่อนข้างอ่อน สีหน้ากลายเป็นสีขาวฉับพลัน เช่นนี้เสี่ยงจะถูกเสียงเหล่านั้นทำอันตรายต่อห้วงแห่งจิต
เสียงกังวานใสเหล่านั้นมิใช่เสียงตีเข้าหากัน และก็มิใช่เสียงปะทะกัน มีบรรยากาศของความดุเดือดรุนแรง คงจะเป็นเสียงปลายแหลมของกระบี่ตัดผ่านในอากาศ
คณะทูตของทิศใต้อยู่ที่จิงตูเป็นเวลายาวนาน ลูกศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานยิ่งได้รับความสนใจ ขณะนี้ มีคนจำนวนมากต่างก็ทราบดีว่าชีเจียนใช้เพลงกระบี่โถงบทบัญญัติเขาหลีซานในตำนาน กวนเฟยไป๋ใช้กลับเป็นกระบวนท่าที่ธรรมดา เป็นเพียงกระบี่ที่มีมูลค่าเพียงห้าตำลึง เวลานี้ได้ยินเสียงกระบี่ที่ดุเดือดรุนแรง ผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างตะลึงงัน สามารถใช้กระบี่ยาวที่มีค่าเพียงห้าตำลึง นำเสียงคำรามกระบี่ออกมาได้ชัดเจนเช่นนี้ พลังปราณแท้ของกวนเฟยไป๋ทรงพลังขนาดไหนกัน! สิ่งที่ทำให้ผู้คนยิ่งตกตะลึงก็คือเจ๋อซิ่วหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่า เขาที่ไม่มีอาวุธ แล้วจะใช้อะไรในการทัดทานกระบี่ที่น่าหวาดกลัวนั้น
เสียงคำรามของกระบี่ขับออกมาดุดันรุนแรง ฟ้าดินของตำหนักศึกษาในโลกใบเล็กก่อเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ ก้อนเมฆเป็นชั้นๆ ที่อยู่บนท้องฟ้าสีครามเริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้า ไม่หยุดที่จะเปลี่ยนรูปร่าง เพียงชั่วพริบตาประหนึ่งยอดภูเขา เพียงชั่วพริบตาก็ประหนึ่งคลื่นซัดกระทบหน้าผา พลังกระบี่พุ่งทะยานออกไป เยือกเย็นสุดขีด อย่างไรก็ตามรูปร่างของก้อนเมฆเหล่านั้นก็อยู่ได้ไม่นาน คล้ายกับว่ากลางทุ่งหญ้ามีเสียงคำรามของสายลม อีกทั้งเหมือนเสียงคำรามของฝูงสุนัขป่า
ด้านนอกหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ มีผู้เข้าสอบจำนวนมากที่ได้ยินเสียงนั้นและจินตนาการภาพนั้น ตกใจจนสีหน้ากลายเป็นขาวซีด พวกเขาไม่อาจจินตนาการต่อไปได้อีก ถ้าหากเวลานี้เป็นตนที่อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับพลังกระบี่ทะยานข้ามเมฆหรือว่าเสียงลมคำรามที่น่าหวาดกลัว นอกจากว่ารีบยอมแพ้ ยังจะทำอะไรได้อีก
ท่าทางบนใบหน้าของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
ในการชุมนุมไม้เลื้อย กวนเฟยไป๋เคยทดลองประลองกับลั่วลั่ว ถึงแม้ตอนนั้นจะมิได้ใช้พลังปราณแท้ แต่เขาก็เห็นได้ชัดเจน คนผู้นี้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ฝึกบำเพ็ญเพียรยากลำบากอย่างยิ่ง ระดับของกระบี่ก็โดดเด่นอย่างมาก เรื่องเล่าขานที่ว่าเขามีพลังกระบี่เทียบเท่าชิวซานจวินนั่น มีเหตุผลยิ่งนัก…ถึงอย่างไรก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ตั้งแต่แรกเริ่มจนสุดท้ายเขาไร้หนทางจะสะกดคู่ต่อสู้ในตอนนี้ได้
หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่นามว่าเจ๋อซิ่วแท้จริงแล้วแข็งแกร่งถึงระดับไหน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เสียงคำรามของกระบี่ค่อยๆ หายไป และก็มิได้มีเสียงลมคำราม ตามมาเป็นเสียงแอ๊ดของประตูดังขึ้น
ประตูหอชำระธุลีเปิดขึ้นแล้ว
เจ๋อซิ่วเดินออกมาจากหอชำระธุลี สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย ท่าท่ายังคงเมินเฉยเหมือนเดิม นัยน์ตาที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึกใดๆ มองแล้วเดิมทีไม่เหมือนกับมนุษย์
เขาเดินลงบันไดหิน ระดับความเร็วช้าลงเล็กน้อย ทุกครั้งที่ยกหัวเข่าคล้ายกับว่ามีปัญหาบางอย่าง
ผู้คนถึงสังเกตเห็น หัวเข่าซ้ายของเขามีคราบโลหิตอยู่จุดหนึ่ง
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ โลหิตก็ไหลมาจากขากางเกงลงมายังข้อเท้า
เขาไม่ได้สวมรองเท้า ตั้งแต่แรกเริ่มจนสุดท้ายใช้เพียงเท้าเปล่า ด้วยเหตุนี้โลหิตจึงมองได้ชัดเจนยิ่งนัก
จากนั้น กวนเฟยไป๋ก็เดินออกมาจากหอชำระธุลี ร่างกายของเขายังคงยืนตระหง่าน ชุดคลุมยาวที่ซักจนเป็นสีขาวเล็กน้อยมิได้มีรอยแผล และมองไม่เห็นรอยคราบเลือด คล้ายกับว่ามิได้รับบาดเจ็บ
ผู้คนมองเขาเดินไปยังริมคลอง รู้สึกตกตะลึง ในใจคิดว่ากวนเฟยไป๋จะชนะง่ายดายเช่นนี้แล้วหรือ
เจ๋อซิ่วเดินไปยังพื้นหญ้าที่อยู่ด้านนอกผู้คน นั่งลงเริ่มกำหนดลมปราณ หลับตาทั้งสอง ไม่ใส่ใจเสียงสนทนาที่ดังมาจากรอบข้าง
ท่านั่งของเขาแปลกประหลาด มิใช่การนั่งขัดสมาธิ และมิใช่การนั่งบนข้อเท้าของตน มองแล้วประหนึ่งคุกเข่า
เวลานี้เองกวนเฟยไป๋ไปถึงยังริมคลอง เขามองโก่วหานสือ เตรียมที่จะเอ่ยบางอย่าง
โก่วหานสือส่ายหน้า เป็นสัญญาณให้เขาไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปประหนึ่งสายลม จิ้มลงบนหน้าอกเขาสามจุดประหนึ่งอสนีบาต นำพลังปราณเข้าไปหนึ่งสาย
สีหน้าของกวนเฟยไป๋เปลี่ยนเป็นแดงเล็กน้อย จากนั้นกลายเป็นขาว ราวกับว่าเกิดขึ้นซ้ำกันสามรอบ หลังจากนั้นมีเสียงพรวดดังขึ้น พ่นโลหิตสดออกมา
โลหิตร่วงบนหญ้าป่าหย่อมหนึ่งริมคลอง เสียงแค่กดังขึ้น หญ้าหย่อมนั้นเหี่ยวเฉาด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้ จากนั้นโรยรา
ทั่วทั้งผืนเสียงดังอื้ออึง พวกผู้เข้าสอบถึงได้ล่วงรู้ เดิมทีเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เพียงแต่ว่าอดทนมาจนถึงตอนนี้ อาการบาดเจ็บปะทุออกมา
โลหิตสดที่เขาพ่นเหล่านั้นมิได้มีพิษแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นพลังปราณแท้อันดุเดือดของเจ๋อซิ่วที่ยังหลงเหลืออยู่ พลังเหล่านั้นซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของกวนเฟยไป๋ เกรงว่าจะกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขาอย่างร้ายแรง ก็เป็นเช่นนี้ เวลานี้สีหน้าของเขาขาวซีด ซีดเผือดจนขีดสุด ประหนึ่งป่วยหนักก็มิปาน
คิดไปถึงหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าลงมือได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เหลียงปั้นหูมองไปทางนั้น สายตาเยียบเย็น ใบหน้าเล็กของชีเจียนที่โกรธแค้นแดงก่ำขึ้นมา
กวนเฟยไป๋เช็ดหยดโลหิตริมฝีปาก เอ่ยว่า “ความสามารถไม่ทัดเทียม ไม่อาจโทษใครได้”
โก่วหานสือตบไหล่เขา เพื่อแสดงการปลอบใจและชื่นชม
เวลานี้ นักบวชพระราชวังหลีผู้นั้นปรากฏอยู่บนบันไดหิน ประกาศว่า “สำนักเด็ดดารา จางทิงเทาชนะ”
ถึงตรงนี้ การต่อสู้รอบที่สามได้สิ้นสุดลง
ด้านนอกหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ ไร้ผู้คนกู่ร้องก้องตะโกน แม้แต่การสนทนายังไม่มี
เพราะผู้คนต่างรับรู้ได้ว่า การต่อสู้จะเปลี่ยนเป็นยิ่งดุเดือดขึ้น เป็นธรรมดาที่กลิ่นคาวโลหิตจะยิ่งโหดเหี้ยมขึ้น
ในบรรยากาศที่อึดอัดและไม่สงบ ก่อเกิดเป็นผู้แข็งแกร่งสิบหกคนของการต่อสู้ในการสอบใหญ่ ลำดับต่อมาก็คือการต่อสู้ในรอบที่สี่
สิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ เจ๋อซิ่วก็ได้ลงสนามในทันทีอีกครั้ง และคู่ต่อสู้ของเขา เป็นผู้แข็งแกร่งหนุ่มน้อยพรรคกระบี่หลีซานที่นามว่าชีเจียน
พบเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งทั้งสองคนติดต่อกัน อีกทั้งในระหว่างการต่อสู้ทั้งสองสนามยังไม่มีเวลาให้พักหายเหนื่อย ถึงแม้จะกล่าวว่านี่เป็นผลลัพธ์ของการจับฉลาก สุดท้ายแล้วก็มีความไม่ยุติธรรม ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้เข้าสอบธรรมดา อาจจะขอเวลาจากผู้คุมสอบให้เวลาปรับลมปราณเล็กน้อย ทว่าเจ๋อซิ่วยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด ท่าทางเฉยเมยเดินเข้าไปในหอชำระธุลี
ในหอเงียบสนิทยิ่งนัก การต่อสู้ได้ยุติลง เจ๋อซิ่วจ้องมองทรายเต็มพื้นที่อยู่เบื้องหน้า คล้ายกับว่ากลับไปยังบ้านเกิดยามฤดูร้อน ข้ามผ่านเนินลู่หมิงก็มีแม่น้ำสายหนึ่ง ที่นั่นปลูกถั่วเหลืองกับข้าวเกาเหลียง ไม่ต้องล่าสัตว์ ก็อิ่มท้องได้ เพียงแต่ความหอมของข้างเกาเหลียงย่าง อย่างไรเสียก็ไม่ได้หอมเท่าเนื้อย่าง
ข้าเป็นสุนัขป่าตัวหนึ่งที่มาจากทิศเหนือ
สุนัขป่าเดินทางไกลหมื่นลี้เพื่อกินเนื้อ นี่เป็นสัจธรรมของฟ้าดิน
ถึงแม้เจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กเยาว์วัย แต่ในเมื่อเป็นคู่ต่อสู้ แน่นอนว่าจะไม่ออมมือแม้แต่น้อย เพราะเหตุใดจะต้องโกรธแค้นถึงเพียงนี้
เขามองไปยังข้างหน้า บนใบหน้าที่เมินเฉยได้ปรากฏความรู้สึกเป็นครั้งแรก ความรู้สึกนั้นยากที่จะอธิบายได้ แปลกประหลาดยิ่งนัก
ชีเจียนยืนอยู่ตรงหน้า ในการต่อสู้เส้นผมสีดำแผ่สยายบนบ่า ราวกับว่ายิ่งทำให้ผอมเกร็งเพิ่มขึ้น
เยี่ยเสี่ยวเหลียนแห่งวัดฉือเจียน เซวียนหยวนผ้อจากสำนักฝึกหลวง และยังมีเขาเป็นสามคนที่อายุน้อยที่สุดเข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้
ใบหน้ากลมมนของเขาอ่อนเยาว์ เวลานี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
เจ๋อซิ่วไม่เข้าใจความโกรธแค้นของชีเจียนยิ่งนัก คิดไปว่าไม่กี่กระบวนท่าที่เข้าใช้เมื่อประชิดตัวในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะโหดเหี้ยม แต่…การต่อสู้ก็คือความเป็นความตาย หากหน้าเนื้อใจเสือแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า หรือว่าผู้อาวุโสพรรคกระบี่หลีซานไม่เคยสั่งสอนว่าการต่อสู้เป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ของเจ้าแสดงได้สง่างามมากกว่าเจ้านัก
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาใช้กระบวนท่าที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดชีเจียนโกรธพลันแค้นทันทีทันใด ไม่เหมือนตอนแรกเริ่มที่ระมัดระวัง พลังปราณแท้ได้ปะทุออกมา กระบวนท่าคลุ้มคลั่งบ้าระห่ำหลายสิบกระบวนท่าต่อเนื่องกัน ประหนึ่งคนบ้าที่กำลังต่อสู้กับเจ๋อซิ่ว ถ้าหากมิใช่เจ๋อซิ่วที่ผ่านความเป็นความตายมาแล้วหลายปี ก็คงจะเกือบถูกเขาใช้กระบี่ฟาดจนตายเสียแล้ว
ถ้าหากให้โก่วหานสือล่วงรู้ว่าศิษย์น้องแสดงออกมาเช่นนี้ เขาจะต้องชื่นใจอย่างมากเป็นแน่
แม้เป็นคนประหลาดดังเช่นเจ๋อซิ่ว เพลงกระบี่ที่คลุ้มคลั่งดุจไฟปะทุของชีเจียนก่อนหน้านี้ ก็ทำให้หวาดผวาเล็กน้อย
ความโกรธแค้นบางทีก็เป็นพลังอย่างหนึ่งจริงๆ
น่าเสียดายก็คือ พลังของความโกรธแค้นชนิดนี้ยากที่จะยั่งยืน เพลงกระบี่ที่บ้าคลั่งของชีเจียนไม่อาจฟาดฟันให้เจ๋อซิ่วเสียชีวิตได้ เจ๋อซิ่วจึงเอาชนะได้ในตอนสุดท้าย
เดินออกมาจากหอชำระธุลี ชีเจียนเดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าโก่วหานสือ เม้มริมฝีปากแน่น เบ้าตาแดงก่ำ ราวกับว่าเสียใจยิ่งนัก
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” โก่วหานสือขมวดคิ้วเล็กน้อย ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นครั้งแรกที่เขาถูกทำให้โกรธแค้นจริงๆ
ชีเจียนเช็ดน้ำตา พลางเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ศิษย์พี่ ท่านจะต้องช่วยข้าล้างแค้น”
โก่วหานสือมองเจ๋อซิ่วที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง ตอบออกไป “ได้”
เจ๋อซิ่วหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าชนะติดต่อกันสองครั้ง คนของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพทั้งสองคนถูกคัดออกสองคนติดกัน ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นจำนวนมาก
แต่เรื่องที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดตกตะลึงก็คือเฉินฉางเซิงชนะอีกแล้ว
คู่ต่อสู้สามรอบแรกของเฉินฉางเซิง รอบแรกกับรอบที่สามล้วนแต่อ่อนด้อย รอบที่สองเขาพบกับฮั่วกวงสำนักต้นไหว ฮั่วกวงถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น มีคนจำนวนมากไม่อาจจะตัดสินระดับความสามารถของเฉินฉางเซิงได้ชัดเจน อีกทั้งรอบนี้ คู่ต่อสู้ของเขาเป็นหนุ่มน้อยผู้มีฝีมือที่มาจากเมืองซวงเฉิง
หนุ่มน้อยผู้มีฝีมือสูงจากเมืองซวงเฉิงผู้นี้ อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นอับดับที่ยี่สิบกว่า
เมื่อทุกคนต่างคิดว่าเรื่องที่เฉินฉางเซิงเข้าร่วมการสอบใหญ่จะสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ เขาก็ทำให้ทั่วทั้งสนามสั่นคลอนอีกครา เพราะเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนได้
ผู้คนยากที่จะเข้าใจ สุดท้ายแล้วเขาชนะได้อย่างไร