ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 160 กระบี่ที่ง่ายดาย

เจ๋อซิ่วแท้จริงแล้วต้องการสิ่งใด เป็นเรื่องที่ตอนนี้เฉินฉางเซิงอยากจะรู้ที่สุด ผ่านการคิดทบทวนอย่างจริงจังแล้ว เขามั่นใจว่ามองไม่ผิด เมื่อเข้าในตำหนักฝึกฝน เจ๋อซิ่วหันมามองลั่วลั่วแวบหนึ่งจริงๆ ก็เพราะว่าสายตานั้น ทำให้เขารู้สึกว่าหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าอันตรายยิ่งนัก ใครจะไปคาดคิด ถังซานสือลิ่วนำไก่ย่างขาหนึ่งไป ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับเป็นผู้ช่วยของสำนักฝึกหลวงได้

เรื่องนี้ฟังแล้วช่างน่าเหลวไหลจริงๆ แต่ว่าได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว

ลั่วลั่วก็กำลังมองไปที่เจ๋อซิ่ว ความรู้สึกสลับซับซ้อน

สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรส่วนมากแล้ว การสอบใหญ่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ว่าสำหรับบางคน การสอบใหญ่เป็นเพียงแค่โอกาส เป็นโอกาสที่พวกเขาจะนำมาแลกเปลี่ยนสิ่งที่ปรารถนาอย่างแท้จริง หากเปลี่ยนคำพูดแล้วนั้น คล้ายกับว่าการสอบใหญ่ที่ศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่เวทีการประมูลเท่านั้น

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยถอนตัวออกจากการแข่งขัน เจ๋อซิ่วตอบรับข้อตกลงระหว่างสำนักฝึกหลวง ต่างก็เป็นเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นเฉินฉางเซิงเล่า นางชัดเจนยิ่งนักว่าเขามิได้ปรารถนาในชื่อเสียง แล้วเหตุใดเขาจะต้องเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ด้วย นางเคยถามเขามาก่อนแล้ว ถังซานสือลิ่วก็เคยถาม แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ให้คำตอบ

การต่อสู้ในการสอบเพิ่มเติมดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ถังซานสือลิ่วเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย โชคการจับฉลากของเซวียนหยวนผ้อก็ไม่ได้เลวนัก เขาไม่ได้พบคู่ต่อสู้แข็งแกร่งที่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น จึงเอาชนะได้อย่างราบรื่นเช่นกัน เมื่อพิจารณาคะแนนการสอบความรู้รวมกัน เซวียนหยวนผ้อยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปอยู่ขั้นสามได้หรือไม่ ทว่าถังซานสือลิ่วไม่มีปัญหาแน่นอน

การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งทั้งแปดยังคงเป็นการจับฉลาก เพียงแค่จำนวนคนขณะนี้มีไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงแบ่งก็เป็นสองกลุ่มบนและล่าง การจับฉลากครั้งหนึ่งก็สามารถจัดการลำดับในการต่อสู้ทั้งหมดได้

ผลของการจับฉลากคือลั่วลั่วคู่กับหนุ่มน้อยจงฮุ่ยแห่งสำนักต้นไหว คู่ต่อสู้ของโก่วหานสือคือสตรีเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น คู่ต่อสู้ของเจ๋อซิ่วก็คือผู้เข้าสอบของสำนักเด็ดดารา คู่ต่อสู้ของเฉินฉางเซิงก็คือจวงห้วนอวี่ การต่อสู้สี่สนาม มีสองสนามเป็นการต่อสู้ภายใน พรรคกระบี่เขาหลีซานกับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นับว่าเป็นนิกายเดียวกัน และเจ๋อซิ่วใช้ชื่อของสำนักเด็ดดาราในการเข้าร่วมการแข่งขันครานี้

นี่ช่างไม่สอดคล้องกับที่ถังซานสือลิ่วได้คำนวณไว้

สำหรับเขาแล้ว ผลของการจับฉลากที่ดีที่สุดก็คือเจ๋อซิ่วคู่กับโก่วหานสือ องค์หญิงลั่วลั่วคู่กับจวงห้วนอวี่ กลุ่มหลังเป็นจงฮุ่ยคู่กับผู้เข้าสอบสำนักเด็ดดาราผู้นั้น เฉินฉางเซิงคู่กับสตรีจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นเช่นนี้ถ้าหากโก่วหานสือเอาชนะเจ๋อซิ่วได้ ต่อมายังต้องคู่กับองค์หญิงลั่วลั่ว นับว่าเป็นสองสนามที่ดุเดือดต่อเนื่องกัน โก่วหานสือจะแข็งแกร่งเพียงใดก็คงต้องขาอ่อนบ้าง อีกทั้งเฉินฉางเซิงที่กระดูกแข็งหนังหนา การเอาชนะสตรีเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าหากด่านต่อมาสามารถเอาชนะจงฮุ่ยได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเอาอันดับแรกประกาศแรกได้

แต่ตอนนี้ โก่วหานสือเพียงแค่ต้องการเอาชนะเจ๋อซิ่วสนามเดียว เขาก็สามารถเข้าไปสู้รอบตัดสินได้ เห็นได้ชัดเจนว่าสตรีเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมิใช่คู่ต่อสู้เขา แน่นอนว่า ผลการจับฉลากเช่นนี้ก็นับว่ามีประโยชน์ นั่นก็คือเพียงแค่เฉินฉางเซิงสามารถเอาชนะจวงห้วนอวี่ได้ ก็สามารถเข้าไปสู้รอบตัดสิน เพราะว่าลั่วลั่วคงเอาชนะจงฮุ่ยได้ อีกทั้งรอบต่อไปเมื่อจะต้องมาเจอกับเฉินฉางเซิง แน่นอนว่านางจะต้องสละสิทธิ์

เริ่มต้นคู่แรก เป็นการต่อสู้ระหว่างเฉินฉางเซิงกับจวงห้วนอวี่

การสอบใหญ่ในวันนี้ จวงห้วนอวี่ก็เหมือนกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่เงียบนิ่งเคร่งขรึม เพียงแค่การนิ่งเงียบเคร่งขรึมของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นเพราะเขาเตรียมตัวในการถอนตัวในการแข่งขันมานานแล้ว แต่การนิ่งเงียบของจวงห้วนอวี่กลับเป็นเพราะว่าต้องการจะเดินไปให้ไกล อีกทั้งในรอบก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้จนให้เขาต้องแสดงความสามารถออกมาให้หมดได้

จวงห้วนอวี่อยู่ในรุ่นผู้แข็งแกร่งของต้าลู่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดของการประกาศชิงอวิ๋น เป็นผู้อยู่ในอันดับที่สูงส่งของบรรดาสำนักไม้เลื้อย เป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้า นอกจากสามอันดับแรกแล้ว พละกำลังของคนที่อยู่ครึ่งแรกของประกาศชิงอวิ๋นก็ห่างกันเพียงน้อยนิด เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงที่เฉินฉางเซิงเคยต่อสู้มา

ในหอชำระธุลีเงียบสงบยิ่งนัก

จวงห้วนอวี่จ้องมองเฉินฉางเซิงใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “โชคของเจ้าวันนี้ไม่เลว”

จากการต่อสู้รอบแรกจนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือฮั่วกวงรวมถึงรอบที่แล้วคือหนุ่มน้อยลำดับที่สิบสองในประกาศชิงอวิ๋นที่มาจากเมืองซวงเฉิง ได้ยินมาว่าก็แข็งแกร่งอยู่ อย่างไรก็ตามผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมในการสอบใหญ่วันนี้ไม่รู้ว่ามีเท่าใด เขาไม่ได้พบกับคนของพรรคกระบี่หลีซาน และไม่ได้พบกับเจ๋อซิ่วและคนอื่น ตามสถิติแล้ว นับว่าโชคเขาไม่เลวนัก

“โชคของเจ้าก็ดีอย่างยิ่ง” เฉินฉางเซิงมองเขาพลางเอ่ยออกมา

นี่ก็เป็นความจริง เริ่มการต่อสู้จนมาถึงตอนนี้ จวงห้วนอวี่แม้แต่คู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมกันก็ยังไม่ได้พบ ถ้าหากจะบอกว่าเป็นโชคในการจับฉลาก ไม่ว่าเฉินฉางเซิงหรือว่าผู้ใดล้วนแต่ไม่อาจเทียบกับเขาได้ นี่มิใช่ปัญหาของโชคแล้ว แต่จะต้องเป็นคนในนิกายหลวงทำกลอุบายในการจับฉลากเป็นแน่

สำนักเทียนเต้าเป็นสำนักภายใต้การควบคุมแนวหน้าของนิกายหลวง ไม่ว่าเหมาชิวอวี่กับรองเจ้าสำนักจวงจะคิดเห็นอย่างไร นิกายหลวงก็จะต้องผลักดันนักเรียนที่เป็นตัวแทนออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งครึ่งปีมานี้สำนักฝึกหลวงมีเค้าลางว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครา นิกายหลวงเป็นธรรมดาที่ไม่ยินยอมให้ความสง่าผ่าเผยของสำนักเทียนเต้าถูกช่วงชิงไป

“การพบเจอกันของคนที่มีโชคดีอย่างยิ่งทั้งสองคน ข้าคิดว่าคงไม่อาจพึ่งพาโชคได้อีกต่อไปเสียแล้วกระมัง” จวงห้วนอวี่มองเขาพลางเอ่ยออกมา

ไม่อาศัยโชคชะตา แน่นอนว่าอาศัยเพียงแค่พลัง

เวลานี้เอง นักบวชพระราชวังหลีที่ควบคุมการต่อสู้อยู่บนชั้นสอง ตะโกนถาม “เตรียมตัวเสร็จหรือยัง”

จวงห้วนอวี่พยักหน้า

เฉินฉางเซิงกลับส่ายหน้า จากนั้นเขาได้ทำเรื่องที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึง

เขาเดินไปข้างใต้ชายหลังคาหอชำระธุลี ถอดรองเท้าหนังคู่ใหม่เอี่ยม จากนั้นวางไว้ที่ข้างใต้บันไดหิน วางไว้เป็นระเบียบอย่างยิ่ง ราวกับว่าไปเป็นแขกของผู้อื่น

ในห้องที่เงียบสนิทของชั้นสอง มีเสียงดังขึ้นเบาๆ คิ้วสวยได้รูปของม่ออวี่ขมวดเล็กน้อย บนใบหน้ามิได้แสดงความรู้สึกอะไร ในดวงตาลึกกลับมีความรู้สึกขบขันบางๆ ออกมา เฉินหลิวอ๋องคอยสังเกตท่าทางของนางมาตลอด โดยเฉพาะทุกครั้งที่เฉินฉางเซิงลงสนาม มักจะเห็นปฏิกิริยาตอบโต้ของนาง จึงไม่อาจหักห้ามความฉงนไว้ได้

เฉินฉางเซิงเดินกลับเข้ามาในสนามอีกครั้งด้วยเท้าเปล่า มีเม็ดทรายเกาะติดรอบๆ อุ้งเท้า

เขายกมือข้างขวาขึ้น กุมด้ามกระบี่สั้นที่อยู่ข้างเอว

ระหว่างกระทำการดังกล่าว ในหอชำระธุลียิ่งเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในห้องบนชั้นสองต่างก็มิได้สนทนากัน สายตากลับเปลี่ยนเป็นสว่างไสวขึ้นมา ท่าทางหนักอึ้ง

ก่อนหน้านี้เมื่อเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่มาจากเมืองซวงเฉิงผู้นั้น เฉินฉางเซิงยังคงไม่ชักกระบี่ อาศัยเพียงแค่ย่างก้าวหยั่งเทวาแปลกประหลาดยากจะคาดเดาได้เหล่านั้น สุดท้ายจึงหยิบยืมระดับความเร็วและพละกำลังได้ แต่เมื่อมองแล้ว สนามนี้เขาได้เตรียมพร้อมในการชักกระบี่ไว้ก่อนแล้ว มองแล้ว การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีระดับแข็งแกร่งดังเช่นจวงห้วนอวี่ เขาคงไม่มีสิ่งใดสงวนไว้อีกเป็นแน่

ยังคงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาจะเอาชนะจวงห้วนอวี่ได้ ถึงแม้การต่อสู้หลายสนามก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงพละกำลังและความรวดเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ออกมา อีกทั้งยังมีย่างก้าวหยั่งเทวาที่แปลกประหลาดชุดนั้น แต่ระยะเวลาในการชำระล้างกระดูกของเขาสั้นเกินไป หากเปรียบเทียบจำนวนพลังปราณแท้กับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว ก็มองไม่เห็นโอกาสในการชนะอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีปัญหาอยู่ที่ จวงห้วนอวี่แข็งแกร่งจริงๆ

“ผู้สวมรองเท้าควรจะกลัวผู้เปลือยเท้าเปล่าหรือไม่”

สายตาจวงห้วนอวี่ร่วงลงบนเท้าเปล่าของเฉินฉางเซิงที่มีเม็ดทรายติดอยู่รอบๆ หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “หรือว่าเจ้าไม่เข้าใจ เมื่อก่อนอยู่ที่ชนบท ข้าก็มีโอกาสน้อยยิ่งที่จะสวมรองเท้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรองเท้าใหม่เอี่ยม”

เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่เขาชัดเจนยิ่งนักว่าจวงห้วนอวี่จะเอ่ยสิ่งใด

จวงห้วนอวี่เป็นบุตรชายของรองเจ้าสำนักจวง แต่คอยปรนนิบัติมารดาอยู่ในชนบท คอยดูแลเป็นเวลาหลายปีถึงดีขึ้นมา หลังจากนั้นจึงกลายมาเป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้าในวันนี้

แม้ตอนนี้ เขาก็ยังสวมรองเท้าผ้าธรรมดา

เฉินฉางเซิงเพียงแค่ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดเมื่อเขามองตนดวงตาถึงเย็นชาปานนั้น แฝงไปด้วยพลังแห่งศัตรู เขายิ่งไม่เข้าใจว่าตนได้เคยล่วงเกินคนผู้นี้เมื่อใดกัน

จวงห้วนอวี่เป็นคนสำคัญของขุมอำนาจใหม่ของนิกายหลวงในอนาคต เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะเป็นปฏิปักษ์กับสำนักฝึกหลวง ส่วนความแค้นระหว่างเขากับถังซานสือลิ่ว ที่จริงแล้วมีความรู้สึกดังเช่นกวนเฟยไป๋กับถังซานสือลิ่ว ส่วนมากล้วนเป็นคนที่เกิดมายากจนข้นแค้นเกลียดชังคนร่ำรวยที่ใช้ชีวิตไม่ระมัดระวัง เช่นนั้นเพราะเหตุใดเขาถึงไม่ชื่นชอบตนเอง

“เริ่มหรือยัง” จวงห้วนอวี่เอ่ยถาม

น้ำเสียงเขาปกติอย่างยิ่ง ราวกับตอนกำลังเข้าชั้นเรียนที่สำนักเทียนเต้า เอ่ยถามสหายร่วมสำนักว่าจะเข้าเรียนได้หรือยัง

เฉินฉางเซิงพยักหน้าตอบกลับ

จวงห้วนอวี่ชักกระบี่ออกจากด้ามฝัก มือซ้ายถือด้ามฝัก มือขวาถือด้ามกระบี่ จ้องมองเขาเงียบๆ เอ่ยว่า “เชิญ”

มือขวาของเฉินฉางเซิงกุมด้ามกระบี่สั้นที่อยู่ข้างเอว มือขวายื่นไปด้านข้างเอ่ย กล่าวว่า “เชิญ”

การต่อสู้สนามนี้ก็เริ่มต้นโดยปกติอย่างยิ่ง

แต่พอเริ่มขึ้นกลับไม่ปกติอย่างยิ่ง

เสียงพรึ่บดังขึ้น จวงห้วนอวี่ชักกระบี่ออกจากฝัก คล้ายกับว่าแกว่งออกไปข้างหน้ากลางอากาศ

เพียงดูคล้ายกับว่าตามสบาย แต่ที่จริงแล้วกระบี่นี้มุ่งมั่นอย่างยิ่ง กระบี่ฟาดฟันกลางอากาศ หลงเหลือเพียงแค่รอยกระบี่ ขนานไปกับพื้น มิได้เอียงเอนใดๆ!

มิใช่กระบี่ทั้งหมดที่เมื่อฟาดฟันออกมาก็มีเส้นตรงเช่นนี้

กระบี่ของจวงห้วนอวี่ ฟาดฟันเป็นเส้นตรง

ห่างไปด้านนอกสิบกว่าจั้ง กลับปรากฏเส้นโค้งขึ้นมา

นั่นเป็นแสงโค้งกลมมนเล็กน้อย สว่างไสวอย่างยิ่ง

แสงโค้งสว่างไสวเส้นนั้น ไม่ได้ปรากฏอยู่กลางอากาศ และก็ไม่ได้ปรากฏบนพื้นทราย แต่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเฉินฉางเซิง

ดวงตาของเฉินฉางเซิงสว่างแวววาว นัยน์ตาดำขลับ ไม่เหมือนกับสีดำของท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่เป็นสีดำที่สะอาดสะอ้าน

แสงกระบี่ที่โค้งเล็กน้อย ปรากฏในดวงตาดำของเขา ชัดเจนยิ่งนัก

นั่นเป็นเพราะกระบี่ในมือของจวงห้วนอวี่ เส้นตรงนั้นกวัดแกว่งกลางอากาศ เพียงชั่วครู่ก็ทำลายอากาศออกไป มองข้ามระยะห่างสิบกว่าจั้ง มาถึงยังด้านหน้าของเขา

ระยะห่างแสงกระบี่สายนั้นกับสายตาของเขา ไม่ถึงสามฉื่อ

เมื่อมาถึงปลายทั้งสองแสงกระบี่มารวดเร็วเกินไปจนเชื่องช้า เมื่อกระบี่ขึ้นเส้นตรง หลังจากมาถึงด้านหน้าของเฉินฉางเซิง พลันเปลี่ยนเป็นเส้นโค้ง!

นี่เป็นเส้นโค้งที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะตอบโต้อย่างไร ก็ยากที่จะโจมตีได้ เพราะว่าเส้นโค้งนี้แข็งแรงที่สุด ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยากที่จะป้องกัน เพราะไม่ว่าเขาโจมตีกระบี่โค้งที่แห่งใด ส่วนของเส้นโค้งกระบี่นี้ จะอาศัยระดับความเร็ว กลายเป็นเส้นวงกลม พันเข้ากับร่างกายของเขา

เมื่อแรกเริ่มเป็นการต่อสู้ที่ปกติ พอเริ่มแล้วก็ไม่ปกติอย่างยิ่ง

จวงห้วนอวี่เพียงออกมือก็เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุด เป็นกระบี่ฉับพลัน

ในห้องชั้นสองมีเสียงชื่นชมเบาๆ ดังออกมา

กระบี่ง่ายดายยิ่งนัก กลับมองเห็นว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรของจวงห้วนอวี่ไม่ง่ายยิ่งนัก

ถึงแม้วางไว้ในการสอบใหญ่ กระบี่ของเขา ก็สามารถเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรก

เฉินฉางเซิงจะทะลวงกระบี่นี้อย่างไร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset