ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 167 การต่อสู้ที่ยาวนานทั้งสองสนาม

มีคนเห็นถังซานสือลิ่วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เจ๋อซิ่ว แต่ไม่มีใครคิดโยงไปได้ว่านั่นคือธนบัตร เพราะภาพพจน์ที่หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าทิ้งไว้ให้ผู้คนบนโลกนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเงินทองพรรค์นี้ ก็เหมือนกับลั่วลั่วและเซวียนหยวนผ้อ ถึงแม้จะเห็นกับตาตนเองก็ยังยากที่จะเชื่อได้

เจ๋อซิ่วเดินเข้าไปในหอชำระธุลี เจ๋อซิ่วเดินออกมาจากหอชำระธุลี คู่ต่อสู้ของเขามิได้เดินออกมาด้วย เป็นเหมือนกับโก่วหานสือ เขาได้รับชัยชนะในสนามนี้อย่างมิต้องโต้เถียงใดๆ แต่นอกจากผลลัพธ์แล้ว ขั้นตอนการต่อสู้กลับมีมากกว่าโก่วหานสือ เพราะว่าคู่ต่อสู้ของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงถูกส่งไปยังตำหนักฝึกฝน

สายตาของผู้เข้าสอบเคลื่อนลงบันไดตามเขา ไปยังด้านหน้าคนไม่กี่คนที่อยู่ข้างชายป่า

ถังซานสือลิ่วไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด จึงเอ่ยว่า “เจ้าใช้ฐานะของสำนักเด็ดดาราในการสมัครสอบ ขณะนี้ยังใช้ชื่อปลอมว่าจางทิงเทา ศิษย์น้องผู้นั้นก็นับว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงลงมือหนักเช่นนี้เล่า”

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ คล้ายกับว่าไม่เข้าใจเพราะเหตุใดเขาถึงใส่ใจเรื่องพรรค์นี้ จากนั้นเอ่ยว่า “ข้าบอกไว้แล้วว่าจะต่อสู้ให้ดี”

ธนบัตรของถังซานสือลิ่วทำให้เขาพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านี้จึงพยักหน้าเป็นสัญญาณ และได้ให้สัญญาว่าจะต่อสู้ให้ดี จึงไม่เข้าใจยิ่งและคร้านจะเข้าใจ สิ่งที่หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าเรียกว่าต่อสู้ให้ดีก็คือใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้ เช่นนั้นคู่ต่อสู้ที่ลงสนามของเขาก็คงจะรู้ดีแล้ว

“เช่นนั้นแล้วตอนนี้เจ้ามาทำอะไรเล่า”

สายตาของพวกผู้เข้าสอบรวมกันอยู่ข้างชายป่า ทำให้ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าได้รับแรงกดดัน เขาไม่อยากให้ข้อตกลงระหว่างสำนักฝึกหลวงกับเจ๋อซิ่วมีคนล่วงรู้ มิได้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศและชื่อเสียง แต่เป็นเพราะเขาต้องการรักษาความลับนี้ อีกทั้งเจ๋อซิ่วยังเป็นคนที่สามารถใช้เงินซื้อความลับได้

ตอนนี้เจ๋อซิ่วก็เท่ากับว่าเป็นทหารรับจ้างของสำนักฝึกหลวง ทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุดก็คือไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้

“เจรจาเรื่องราคา” เจ๋อซิ่วเอ่ยออกมา

ถังซานสือลิ่วรู้ว่าเขาหมายถึงสนามต่อไป

มิได้มีสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เจ๋อซิ่วจะพบกับโก่วหานสือ

ลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อก้มหน้ามองกิ่งไม้บนพื้นดิน มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าต้องการปกปิดความพะอืดพะอมของตน

เฉินฉางเซิงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่านี่เป็นเรื่องของเขา ถ้าหากหลังจากผ่านเรื่องไปนี้แล้วจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ เขาคิดว่าคนที่จะต้องถูกหัวเราะเยาะควรจะเป็นตน มิใช่ถังซานสือลิ่ว

“สิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าไม่อาจรับรองว่า…ข้ามีหรือไม่ แต่ข้าจะพยายามสุดความสามารถให้แก่เจ้า” เขามองเจ๋อซิ่วพลางเอ่ยออกมา

เจ๋อซิ่วจ้องเขม็งที่ดวงตาเขา ท่าทางนิ่งเฉยกล่าวออกมา “เจ้าจะต้องมีเป็นแน่”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ถ้าหากมี ก็มอบให้แก่เจ้า”

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งเป็นเวลานาน เอ่ยว่า “ได้”

จากนั้นเขามองไปยังถังซานสือลิ่ว เงียบนิ่งเป็นเวลานาน เอ่ยว่า “สามเท่าได้หรือไม่”

ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน หลังจากนั้นถึงรู้สึกตัว รีบสะกดกลั้นความยินดี เอ่ยออกมาสงบนิ่ง “ไม่มีปัญหา”

เจ๋อซิ่วพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกเขาอีกครา จึงหันกายออกไป

“มองแล้วเจ้าเด็กคนนี้คงจะทำเป็นเพียงแค่สังหารคน กลับเจรจาต่อรองราคาไม่เป็น”

ถังซานสือลิ่วมองภาพเบื้องหลังของเขา เอ่ยออกมาอย่างปลดปลง

ต่อสู้กับโก่วหานสือ มีราคามากกว่าต่อสู้กับผู้เข้าสอบสำนักเด็ดดาราผู้นั้นเพียงแค่สามเท่า เจ๋อซิ่วเปิดราคามา ที่จริงแล้วทำให้เขาเหนือความคาดหมาย

จากนั้นเขาคิดไปถึงเรื่องหนึ่งได้ หันหน้ากลับไปมองเฉินฉางเซิง คิ้วขมวดเข้าหากันพลางเอ่ยถาม “เจ้ารู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดหรือ”

ชัดเจนอย่างยิ่ง หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าขาดแคลนเงินยิ่งนัก อีกหนึ่งเหตุผลที่เขายินยอมช่วยเหลือสำนักฝึกหลวง สาเหตุที่สำคัญก็คือ เขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงจ้องมองลั่วลั่ว เอ่ยว่า “ข้าเดาได้รางๆ ว่าเขาต้องการสิ่งใด เพียงแค่ไม่มั่นใจว่าจะช่วยเขาได้หรือไม่”

……

……

การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งแปดคนสุดท้าย ลั่วลั่วพบกับจงฮุ่ยบัณฑิตหนุ่มน้อยสำนักต้นไหว

หนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์คู่ควรที่จะอยู่อันดับเก้าของประกาศชิงอวิ๋น อยู่ในหอชำระธุลี จงฮุ่ยแสดงพลังปราณแท้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนกับเพลงกระบี่ ประสบความสำเร็จ…ยืนหยัดได้ครึ่งก้านธูป

หลังจากนักบวชพระราชวังหลีได้ประกาศผล จงฮุ่ยออกจากหอชำระธุลีเงียบๆ

มองภาพด้านหลังที่ให้ความรู้สึกเงียบเหงาของหนุ่มน้อยสำนักต้นไหว ลั่วลั่วมิได้รู้สึกอะไร เปิดประตูเงียบๆ รอคอยให้คู่ต่อสู้คนต่อไปเข้ามา

นางมิได้ออกจากหอชำระธุลี นางขอร้องจะเป็นคู่แรกในการต่อสู้ของผู้แกร่งกล้าสี่คนรอบแรก ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนชั้นสองเหล่านั้นก็จะต้องให้เกียรตินางเสียหน่อย

ประตูของหอชำระธุลีได้ปิดลงแล้ว หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่ ประตูได้เปิดอีกครา

ได้ยินเสียงแอ๊ดของประตูดังขึ้น ลั่วลั่วเดินออกมา จากนั้นประคองคู่ต่อสู้เข้ามาอย่างระมัดระวัง

คู่ต่อสู้รอบนี้ของนางคือเฉินฉางเซิง

สนามต่อสู้ถูกน้ำฝนชะล้างมาแล้ว ยังมีทรายที่เปียกชื้นหลงเหลืออยู่ บันไดที่อยู่ติดกับผนังทั้งสี่ด้าน ยังนับว่าสะอาดสะอ้าน และค่อนข้างแห้ง

ลั่วลั่วประคองเฉินฉางเซิงนั่งบนบันไดหิน ส่งน้ำสะอาดไปให้ ป้อนให้เขากิน จากนั้นเอ่ยว่า “อาจารย์ ยาต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะออกฤทธิ์”

เฉินฉางเซิงมองมือที่พันด้วยเส้นสีทองเอาไว้ เอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าหากอีกชั่วครู่ยังไม่ดีขึ้น ข้าค่อยคิดหาวิธี”

ลั่วลั่วกล่าวตอบ “อาจารย์ เช่นนั้นท่านก็พักอีกสักหน่อย”

เฉินฉางเซิงมองไปยังชั้นสอง ในใจครุ่นคิดเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ

หอชำระธุลีเป็นสนามประลองการต่อสู้ของการสอบใหญ่ หลังจากผู้เข้าสอบเข้ามาแล้ว จิตใจก็อยู่ในการต่อสู้ มีโอกาสน้อยอย่างยิ่งที่จะสังเกตรูปร่างของหอ

เวลานี้เขากลับสามารถมองได้เต็มตา

เพียงแค่ สุดท้ายแล้วรู้สึกไม่สงบ

“จะถูกคนว่าเอาได้หรือไม่” เขามองลั่วลั่ว เอ่ยถามออกมา

ลั่วลั่วครุ่นคิด ตนนั้นหาได้กลัวผู้อื่นกล่าวซุบซิบแต่อย่างใด ทว่าคิดไปถึงนิสัยที่ระมัดระวังรอบคอบของเขา กลอกตาแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเรามาคุยอะไรกันหน่อยก็ดี”

จะคุยอะไรกันเล่า? ต้นไทรใหญ่ของสำนักฝึกหลวงมีลำต้นใหญ่ขึ้นหรือไม่? ยืนอยู่บนลำต้นของต้นไทรยังมองเห็นร้านรวงขายของเหล่านั้นหรือไม่? หิมะหน้าหนาวของสำนักฝึกหลวงปีที่แล้วหนาขึ้นหรือไม่?

“อาจารย์ ท่านเอาชนะจวงห้วนอวี่ได้อย่างไร” ลั่วลั่วเอ่ยถามปัญหาที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จากนั้นอธิบายรายละเอียดของการต่อสู้รอบที่แล้วมิได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อยให้นางฟัง

เป็นธรรมดาที่ลั่วลั่วจะตกตะลึง มีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่ เอ่ยออกมา “โชคดีที่มีฝนสายนั้น…”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า เวลานี้คิดได้ว่า ถ้าหากไม่มีสายฝนอันเหน็บหนาวร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า แม้เขาไม่ถูกละอองดาวแผดเผาจนเสียชีวิต ก็คงจะเป็นเพราะอุณหภูมิของร่างกายสูงเกินไปจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

แล้วฝนห่านั้นมาจากแห่งใดกันเล่า

“ตำหนักฝึกฝนอยู่ในโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช คนที่จะทำให้ฝนตกลงมา ก็มีเพียงแค่ใต้เท้าสังฆราชเท่านั้น”

ลั่วลั่วไม่รู้ว่าคิดไปถึงสิ่งใด เงียบนิ่งเป็นเวลานาน จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมา “อาจารย์ เรื่องนี้นับวันยิ่งจะซับซ้อนเสียแล้ว”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด ถ้าหากคนที่ทำให้สายฝนตกลงมาเป็นใต้เท้าสังฆราชจริง แล้วจะอธิบายได้อย่างไรเล่า

เขากับสำนักฝึกหลวงเป็นขุมอำนาจเก่าของนิกายหลวงที่ได้รับการให้ความสำคัญ

ทุกคนต่างรู้ดี ขุมอำนาจของนิกายหลวงหรืออาจจะกล่าวได้ว่า บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่ซื่อสัตย์ต่อเชื้อพระวงศ์เฉิน พุ่งเป้าไปยังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราช

ใต้เท้าสังฆราชเพราะเหตุใดจะต้องช่วยเหลือตน หรือจะกล่าวให้ถูกต้อง ช่วยชีวิตตนด้วยเล่า

ทั่วทั้งต้าลู่ต่างทราบดี นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง การประกาศของใต้เท้ามุขนายก ล้วนแต่มีปัญหามากมายซุกซ่อนอยู่

เฉินฉางเซิงเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แน่นอนว่ายิ่งชัดเจน เพียงแค่แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยคิดทางด้านนี้มาก่อน

ประการแรกเป็นเพราะเขาไม่ปรารถนาจะคิด เป้าหมายของเขาก็คืออันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของจิงตูต้องการทำสิ่งใด มิได้เกี่ยวข้องกับเขา

ประการที่สองเขาไม่เข้าใจ ความคิดของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น หนุ่มน้อยดังเช่นเขาก็ไม่อาจมองได้ทะลุปรุโปร่ง

“อย่างน้อย ตอนนี้มองแล้ว ก็มีประโยชน์ต่อข้า” เฉินฉางเซิงมองลั่วลั่วที่มีท่าทางหนักอึ้ง เอ่ยออกมาอย่างสบายใจ

ลั่วลั่วกล่าวตอบ “ข้าคิด อาจจะใช้ประโยชน์ได้”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “ใช้ประโยชน์อย่างไร”

สายตาของลั่วลั่วร่วงหล่นบนรอยแผดบาดเจ็บจากกระบี่บนหน้าอกของเขา เอ่ยว่า “อีกสักครู่เมื่อถึงรอบตัดสิน พยายามเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย”

เฉินฉางซิงเข้าใจความหมายของนาง

หากตามความคิดของลั่วลั่ว คงจะไม่เสนอให้เขาทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อเฉินฉางเซิงจะต้องเอาประกาศแรกอันดับแรก จะไม่ทำก็คงไม่ได้

นางกับเฉินฉางเซิงต่างไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นเคยทำสิ่งใดไว้บ้าง

มีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากที่ปรารถนาจะให้เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้ และมีอีกจำนวนมากที่ไม่อยากให้เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้

ใต้เท้าสังฆราชให้สายฝนร่วงหล่นลงมายังตำหนักฝึกฝนได้ ก็สามารถทำให้สายฝนร่วงหล่นมามากกว่านี้ได้

เช่นนั้นเฉินฉางเซิงควรจะตกอยู่ในอันตราย ต้องร้องขอความช่วยเหลือท่ามกลางความเป็นตาย เช่นนี้ ถึงจะสามารถหยิบยืมพลังจากผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าหยิบยืมสายฝนจากใต้เท้าสังฆราชอีกหลายครา

คำที่เรียกว่าใช้ประโยชน์ ก็คือฉวยโอกาส

ลั่วลั่วรู้สึกไม่สบายใจเอ่ยว่า “แต่ท่านจะต้องระมัดระวังความปลอดภัย”

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปคลำเส้นผมของนาง เอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร”

จิตใจของลั่วลั่วย่ำแย่ พลางกล่าวว่า “ขออภัย วันนี้ข้าช่วยอะไรอาจารย์ไม่ได้”

นางขอร้องใต้เท้าสังฆราชทั้งคืน ถึงเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้ สำหรับนางแล้วลำดับมิได้มีความหมายใดๆ สิ่งที่นางต้องทำก็คือ คุ้มกันการเดินทางให้แก่เฉินฉางเซิง ดังเช่นรอบก่อนหน้านี้ที่ชนะจงฮุ่ย เวลานี้เฉินฉางเซิงถึงนั่งพักผ่อนบนบันไดหินได้ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องใช้ร่างกายที่บาดเจ็บหนักมาเผชิญหน้ากับนักเรียนสำนักต้นไหว

แต่ว่าสำหรับนางแล้ว นี่มิได้นับเป็นอะไรเลย

เป้าหมายของนางก็คือเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับโก่วหานสือ

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเพราะว่านางถึงถอนตัวจากการแข่งขัน แต่ว่ายังเหลือโก่วหานสืออีกหนึ่งคน

……

……

ในหอชำระธุลีเงียบสงัด

ด้านนอกหอชำระธุลีกลับคึกคัก เพราะว่าไม่มีผู้ใดสนใจการแพ้ชนะในการต่อสู้ข้างใน ทุกคนต่างทราบดี องค์หญิงลั่วลั่วจะทำสิ่งใด

บรรดาผู้เข้าสอบเกาะกลุ่มกันสองสามคน พูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการจัดลำดับ คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าระดับพลังของเฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วอยู่ระดับใด จะรับมือกับโก่วหานสือได้กี่กระบวนท่า

ตามเวลาที่ผ่านไป หอชำระธุลียังคงเงียบนิ่ง ประตูบานนั้นสุดท้ายแล้วก็ยังไม่เปิดออกมา พวกผู้เข้าสอบรอคอยจนเบื่อหน่าย มีผู้เข้าสอบบางคนจนถึงขนาดว่าง่วงนอน

กวนเฟยไป๋มองไปยังประตูใหญ่ของหอชำระธุลีที่ปิดแน่น กล่าวด้วยความโมโหออกมา “มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า”

เหลียงปั้นหูมองไปยังข้างชายป่า ส่ายหน้าตะโกนลั่นออกมา “แม้แต่คนดังเช่นถังถังยังรู้สึกเสียหน้า องค์หญิง…เหตุใดถึงกล้าเล่า”

โก่วหานสือเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด คิดว่าสำนักฝึกหลวงเพียงเพื่อให้เฉินฉางเซิงได้ประกาศแรกอันดับแรก ถึงกับยอมทำทุกวิถีทาง การต่อสู้รอบสุดท้าย เกรงว่าจะไม่ง่ายดายเสียแล้ว

ข้างชายป่า เซวียนหยวนผ้อนั่งยองๆ บนพื้น ไม่รู้ว่ากำลังมองสิ่งใดอยู่ ก่อนหน้านี้ลั่วลั่วที่นั่งกับเขา เวลานี้ได้เปลี่ยนเป็นถังซานสือลิ่วแทน สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่พวกเขา ทำให้รู้สึกถึงแรงกดดัน

……

……

“นี่หมายความว่าอะไรกัน”

ริมหน้าต่างบนชั้นสองของหอชำระธุลี ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองจ้องมองคู่หนุ่มสาวบนบันไดหิน สีหน้าน่าเกลียดยิ่ง

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วกำลังสนทนากัน ศิษย์อาจารย์อยู่ใกล้กัน พูดคุยกระซิบกระซาบ ที่จริงแล้วภาพนี้น่ามอง ทำให้รู้สึกไร้เดียงสา

ปัญหาอยู่ที่ นี่เป็นหอชำระธุลี เป็นสนามต่อสู้อันดุเดือดของการสอบใหญ่ มิใช่ริมสระน้ำของสำนักฝึกหลวง และก็มิใช่แคร่ของสวนร้อยหญ้า

เซวียสิ่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “นี่…ไม่เหมาะสมกระมัง”

เฉินหลิวอ๋องอยากจะหัวเราะยิ่งนัก แต่เพื่อจิตใจของคนเหล่านี้ จึงอดทนไม่หัวเราะออกมา

ใบหน้าม่ออวี่ไร้ความรู้สึก มองเฉินฉางเซิงกับองค์หญิงลั่วลั่วสองคนเงียบๆ ระหว่างคิ้วกลับมีความแห้งผากอยู่

ทุกคนต่างรู้ดีว่าองค์หญิงลั่วลั่วมีแผนการอะไร นางปรารถนาจะให้การต่อสู้สนามนี้เป็นการพักของเฉินฉางเซิง ธรรมดาว่ายิ่งนานยิ่งดี อย่างไรก็ตามตอนนี้ทั่วทั้งต้าลู่ตื่นเต้นรอคอยให้การจัดลำดับสุดท้ายของการสอบใหญ่มาถึง หากนางกับเฉินฉางเซิงอยากจะพักผ่อนให้นานขึ้น โลกใบนี้ก็จะต้องรอคอยอีกนานเท่าใด

ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดอยู่ที่ ในการสอบใหญ่ไม่มีกฎระเบียบควบคุม ใครเอ่ยว่าการต่อสู้ทั้งสองฝ่ายจะต้องปะทะกับความเป็นความตาย ใครเอ่ยว่าระหว่างคู่ต่อสู้ไม่อาจเสแสร้งแกล้งพูดคุยสองสามประโยค ลั่วลั่วกับเฉินฉางเซิงมีเหตุผลนับไม่ถ้วนหรืออาจจะกล่าวว่าข้ออ้าง ถ่วงเวลาไว้ช่วงหนึ่ง นำการต่อสู้กลายมาเป็นการสนทนา

ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองโมโหเอ่ยว่า “เชิญองค์หญิงเร็วกว่านี้อีกหน่อย ไม่เช่นนั้นก็ตัดสินให้คนทั้งสองติดลบ ให้ตกรอบเสีย”

นักบวชพระราชวังหลีนำความหมายของใต้เท้ามุขนายกบอกแก่หนุ่มสาวทั้งสองที่คุยกันอยู่บนบันไดหินอย่างครบถ้วน

ลั่วลั่วโกรธยิ่งนัก เอ่ยว่า “ไม่เห็นว่าพวกเรากำลังโคจรพลังหรือ ผู้ใดกล้าตัดสินให้พวกเราตกรอบกัน”

นักบวชพระราชวังหลีผู้นั้นอยากจะเผยอปากออก อยากจะบอกว่าองค์หญิงทรงให้คนทั้งโลกเป็นคนตาบอดหรือ มีการโคจรพลังที่ไหนกันใช้เวลาครึ่งชั่วยาม คนทั้งสองโคจรพลังกันจนไหล่ชนไหล่รึ แต่เขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

เสียงแอ๊ดดังขึ้น หน้าต่างห้องชั้นสองในที่สุดก็ถูกผลักออก

เซวียสิ่งชวนมาถึงยังสนาม เดินมายังข้างหน้าของลั่วลั่ว ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงต่ำสองสามประโยค

ลั่วลั่วยังคงไม่ยินยอมลุกขึ้นออกไป

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “พักผ่อนพอแล้ว ออกไปพร้อมกันเถอะ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่ลำบากใจ”

ลั่วลั่วเชื่อฟังเขายิ่งนัก อีกทั้งรู้ว่าไม่อาจอยู่ในหอชำระธุลีเป็นเวลานานเกินไป จึงประคองเขาให้ยืนขึ้น เดินออกไปยังด้านนอกหอ

เซวียสิ่งชวนมองภาพด้านหลังของหนุ่มสาวทั้งคู่ ส่ายศีรษะออกมา คล้ายกับว่าจนปัญญายิ่งนัก

ก็เป็นเช่นนี้ การต่อสู้รอบแรกของสี่ผู้แข็งแกร่งในการสอบใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว

องค์หญิงลั่วลั่วสละสิทธิ์เป็นดังเช่นที่ทุกคนคาดคิดไว้ เวลาเดียวกันยังพยายามหาเวลาอันมีค่าในการพักผ่อนและรักษาอาการบาดเจ็บของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเข้าไปสู่รอบการตัดสิน

เขาห่างจากเป้าหมายที่ทั่วทั้งต้าลู่หัวเราะเยาะเพียงแค่ก้าวเดียว

เพียงแค่ขั้นตอนคล้ายกับว่าจะไม่ถูกต้องไปเสียหน่อย

ถึงอย่างไร เขาก็มิได้สนใจ

ลั่วลั่วก็มิได้สนใจ

……

……

การต่อสู้ในการสอบใหญ่มาถึงลำดับสุดท้าย ดำเนินรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะว่าพละกำลังของทั้งสองฝ่ายยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าจะห่างกันเพียงแค่เส้นกั้นเดียว การตัดสินรู้แพ้รู้ชนะก็เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่า หลังจากผ่านรอบที่สองไป ทุกสนามการต่อสู้ใช้เวลาเพียงแค่สั้นๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นก็คงไม่มาถึงยังช่วงสุดท้ายได้ด้วยระยะเวลาที่สั้นเพียงนี้

การต่อสู้ระหว่างเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วสนามนี้ ใช้เวลาไปทั้งครึ่งชั่วยามเต็มๆ เทียบกับการต่อสู้สิบกว่าสนามก่อนหน้านี้เป็นเวลานานกว่าเสียอีก แน่นอนว่า ทุกคนต่างชัดเจนยิ่งนัก นี่เป็นสถานการณ์พิเศษ และยังมีเพียงคนที่มีฐานะพิเศษดังเช่นองค์หญิงลั่วลั่ว ถึงสามารถกระทำเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนแต่คิดว่านี่เป็นการต่อสู้ในการสอบใหญ่ที่ใช้เวลายาวนานที่สุด การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งสี่คนในรอบที่สองระหว่างโก่วหานสือกับเจ๋อซิ่วได้ทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างยิ่ง เพราะว่าการต่อสู้สนามนี้ดำเนินเป็นระยะเวลายาวนาน อีกทั้งมองสภาพการณ์แล้ว คล้ายกับว่าจะต้องดำเนินต่อไป มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องดำเนินมากกว่าครึ่งชั่วยาม

ได้ยินเสียงน่ากลัวที่ดังออกมาจากหอชำระธุลีบ่อยๆ ท่าทางของถังซานสือลิ่วยิ่งนานยิ่งหนักอึ้ง ความศรัทธาในดวงตายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาหันไปมองเฉินฉางเซิง เอ่ยออกมาด้วยความเงียบขรึม “นอกจากชีวิต ลูกสุนัขป่าผู้นั้นต้องการอะไรจากเจ้าก็ให้ไปเถอะ”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset